xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ถวิล เปลี่ยนศรี “เรื่องของผมต้องถึงครูอังคณา” “ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองลอยเป็นเศษสวะเช่นนี้”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ถวิล เปลี่ยนศรี
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ถือเป็นข้าราชการระดับสูงคนหนึ่ง สำหรับ "ถวิล เปลี่ยนศรี" ที่ต้องถูกเซ่นสังเวยต่อการกลับมีอำนาจอีกครั้งหนึ่งของ "ระบอบทักษิณ" ที่ได้ชนะการเลือกตั้ง จนสามารถดันให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยหลังจากนั้นเขาถูกพิษการเมืองโยกย้ายจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ด้วยข้อหาที่สวยหรูว่า เป็นตำแหน่งใหม่ที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถในการทำงาน

แต่แท้ที่จริงแล้ว เบื้องหลังของการโยกย้ายครั้งนี้นั้น จะเป็นอื่นไปเสียมิได้นอกจากต้องการขับไล่ไสส่งให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้นโยกมานั่งเก้าอี้ของถวิล และแต่งตั้งให้ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” พี่เมียของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแทน

ด้วยเหตุดังกล่าวถวิลจึงได้นำเรื่องไปฟ้องร้องต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม หรือก.พ.ค.เพื่อความเป็นธรรม แต่แล้วดูเหมือนจะเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะเรื่องดังกล่าวได้ถูกยกคำร้องจาก ก.พ.ค. จนเกิดเป็นประเด็นที่ต้องร้อนไปถึงการฟ้องร้องหาความเป็นธรรมต่อศาลปกครอง เกี่ยวกับการทำงานของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ซ้ำซ้อนขึ้นมาอีกประเด็น

"ถวิล เปลี่ยนศรี" ได้เปิดใจกับ "ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์" ถึงความไม่เป็นธรรมที่ได้รับจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมไปถึงเปิดเผยถึงผลวินิจฉัยของ ก.พ.ค. ที่ทำให้ตัวเขาเองรับไม่ได้ซ้ำสองจนต้องไปฟ้องร้อง เพื่อขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครองแบบหมดเปลือก

• ย้ายมาอยู่ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำนานเท่าไหร่แล้ว

ย้ายมาตั้งแต่ 6 กันยายน 2554 ก็เป็นเวลากว่า 7 เดือนแล้ว ซึ่งไม่เคยคิดเหมือนกันว่าบั้นปลายชีวิตข้าราชการจะต้องมาทำเรื่องฟ้องร้อง ก.พ.ค. (คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม) ต่อศาลปกครอง คิดว่าชีวิตราชการของตัวเองที่ฝึกฝนมานานตั้งแต่ระดับซี 3 -4 เป็นเวลายาวนาน มาถึงบั้นปลายชีวิตน่าจะได้ใช้วิชาความรู้ ประสบการณ์ที่สั่งสมมา แต่ต้องกลับมานั่งฟ้องร้องต่อศาลปกครองถึงเรื่องได้รับความไม่เป็นธรรม

• เหลือเวลาอีกเท่าไหร่ ถึงจะวันเกษียณอายุราชการ

นับจากวันนี้ก็เหลือเวลาอีก 2 ปี ถ้าจะว่าไปแล้วก็นับว่ายังเหลือเวลาทำอะไรได้อีกเยอะ ซึ่งเราจะสามารถใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมา 20-30 ปี มาใช้งานได้อย่างเต็มที่ เปรียบเทียบตอนรับราชการใหม่จะทำอะไรก็ไม่ได้มากเท่าไหร่ มาถึงตอนนี้ถึงเวลาที่พอจะทำอะไรได้ ก็ต้องถูกสั่งให้มานั่งว่างไปวันๆ ส่วนเงินเดือนส่วนตัวก็ไม่ใช่ว่าจะน้อย ขนาดที่ว่าตัดเงินลดตำแหน่งไปแล้ว 40,000 กว่าบาท ก็ยังเหลือที่รับตอนนี้ก็เป็นหลักแสนอยู่ แล้วมาใช้งานผมแบบที่ว่าใช้งานเสมียนเงินเดือน 5,000 บาทก็ยังได้ มันทำให้ผมดูถูกตัวเองอีกว่า บั้นปลายชีวิตเราทำไมต้องถูกคนอื่นมากำหนดให้แบบนี้ ทำไมระบบที่ให้เงินเดือนผมแค่หลักพันถึงไม่ได้กำหนด ทำไมถึงไม่สามารถใช้งานผมให้คุ้มกับเงินเดือนเป็นแสน

• เป็นเพราะไม่ได้เป็นคนพรรคพวกเดียวกันกับรัฐบาลหรือไม่

บ้านเมืองนี้เป็นของเขาหมด เขาถึงกำหนดได้ว่าจะใช้งานใครไม่ใช้งานใคร ซึ่งถ้าเอาหลักการว่าทำเพื่อบ้านเมืองมันก็คงไม่ออกมาแบบนี้แน่ๆ ที่พูดแบบนี้ไม่ได้เป็นศัตรูกับฝ่ายการเมืองนะ เพราะผมเป็นข้าราชการประจำก็ต้องทำงานให้กับทุกรัฐบาลอยู่แล้ว ถ้าอะไรที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ไว้ใจผมได้ แต่ว่าเรื่องที่ท่านจะเอาชนะกันเรื่องเสื้อแดง เสื้อเหลือง ก็เป็นเรื่องของท่านไปว่ากันเอง

• ทำไมถึงไม่ยอมแพ้ต่อคำสั่งที่เกิดขึ้นทั้งที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นคนสั่ง และมติของ ก.พ.ค.ที่ได้ออกมาก่อนหน้านี้

คือทั้งสองเรื่องมันมีเงื่อนงำ ที่ผมบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากที่ท่านนายกรัฐมนตรีสั่งโอนผมมาตำแหน่งนี้ สำหรับที่ท่านนายกฯ ย้ายผมมาถือว่าไม่เป็นธรรม และที่ก.พ.ค.วินิจฉัย ผมก็เห็นว่ายังไม่มีความเป็นธรรมอยู่ดี ผมถึงยังต่อสู้ด้วยการไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองในที่สุด พูดอย่างนี้เบื้องต้นเหมือนกับว่าความเป็นธรรมมันผูกอยู่ที่ผมหรือไม่ ซึ่งผมมีเหตุผล ข้อเท็จจริง บอกว่าทำไมจึงเกิดความไม่เป็นธรรม แต่ต้องย้อนไปดูข้อเท็จจริงต่างๆว่า การกระทำของท่านนายกฯ และการวินิจฉัยของ ก.พ.ค.เป็นธรรมกับผมจริงหรือไม่ ถ้าความเป็นธรรมหรือระบบข้าราชการมันมีข้อยุติแบบนี้ ที่ฝ่ายการเมืองสามารถใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ ผมก็จะได้รู้และทำใจถอนตัวจากระบบข้าราชการเสีย

เรื่องของท่านนายกฯที่โอนย้ายผม มันมีคำถามสำคัญอยู่ว่าการโอนย้ายผมซึ่งเป็นข้าราชการ กินเงินเดือนภาษีของประชาชน ถ้าเป็นไปด้วยประโยชน์ของข้าราชการ เพื่อบ้านเมือง มันก็พอจะตอบคำถามได้ แต่เท่าที่ผมย้อนดูกี่รอบต่อกี่รอบ ทั้งตื่นอยู่ ฝันอยู่ก็เห็นว่ามันไม่มี ความเป็นธรรมกับผม ไม่ได้โอนย้ายผมเพื่อความเป็นไปของระบบข้าราชการ เพื่อชาติบ้านเมือง แต่เป็นไปด้วยความอคติ เล่นพรรคเล่นพวก ซึ่งก็เป็นไปอย่างนี้จริงๆ ความจริงก็คือการที่นายกฯย้ายผมออกจากเลขา สมช. เพราะว่ามันมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ปัจจุบัน พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ เป็นผบ.ตร.อยู่ ที่สำคัญ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี หรือบรรดาส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็เป็นคนที่เปิดประเด็นมาตั้งแต่ต้นว่า ผมเป็นคนทำงานให้กับรัฐบาลชุดที่แล้ว อยากถามกลับว่าจะให้ผมเกียร์ว่างเพื่อรอทำงานกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ ทั้งที่ผมเป็นข้าราชการประจำ หรือเกิดรัฐบาลนี้พ้นไปแล้ว ผมไม่ทำงานรอให้รัฐบาลใหม่มาถึงจะทำงาน มันก็ใช่เรื่องเสียเมื่อไหร่ จะมาบอกว่าผมทำงานให้รัฐบาลชุดที่แล้ว ผมฟังอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น ซึ่งถ้าผมทำงานไปตามความรับผิดชอบ แต่เกิดไปสะดุดใครเข้า ผมไม่รับผิดชอบด้วย แต่ถ้าผมไม่กลั่นแกล้งใครอย่างนั้นผมรับผิดชอบได้

ฉะนั้นการที่นายกฯแก้คำร้องผมไปยัง ก.พ.ค.มันจึงไม่สมเหตุสมผล ทั้งเหตุผลที่ย้ายมาและเหตุผลในการทำงาน ที่ระบุว่าผมเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเป็นเลิศ มาช่วยงานในระดับที่สูงกว่าเดิม ผมก็แปลกใจว่ามันสูงกว่าเดิมตรงไหน จะสูงก็คงสูงเพราะชั้นที่มากกว่าเดิม ( หัวเราะ) นี่คือเหตุผลที่ท่านนายกฯให้ต่อ ก.พ.ค. ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเป็นการป้องกันต่อการที่ผมจะไปฟ้องร้องเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าจะระบุแบบท่านเฉลิมที่ว่า เคยทำงานกับพรรคประชาธิปัตย์ ทำงานให้กับศอฉ.(ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) ไว้ใจไม่ได้ ซึ่งท่านนายกฯจะออกมาระบุแบบนี้ก็คงไม่ได้ ซึ่งที่ให้เหตุผลต่อ ก.พ.ค.ไปก็เพื่อป้องกันไม่ให้โดนผมฟ้องเท่านั้น ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นหลังจากเอาผมออกจากตำแหน่ง เลขาสมช.เพื่อเอาเกลี่ยให้ตำแหน่งผบ.ตร.ว่างลง เพื่อจะเอาคนของตัวเองเข้าไปนั่ง จุดนี้ นายกฯก็ไม่ได้พูดถึง แต่คุณเฉลิมได้พูดถึง ประเด็นตรงนี้เลยไปที่ ก.พ.ค.ซึ่งต่อมาพอวินิจฉัยคำร้องของนายกฯ ก็ออกมาว่าคำร้องของนายกฯฟังขึ้น ที่ว่าย้ายมาเพราะเป็นผู้มีความสามารถเป็นเลิศ แต่ตัดประเด็นที่คุณเฉลิมพูดออกมาหมดไปโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น ท่านนายกฯจึงไม่ต้องรับผิดชอบจากคำพูดนี้ พอพูดมาแบบนี้ผมก็รู้เลยว่าไม่มีทางที่จะเอาผิด นายกฯได้ เพราะท่านก็คงไม่โง่ จะออกมาประกาศต่อสาธารณชนว่า ดิฉันไม่ชอบคุณถวิล ดิฉันต้องการจะตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ซึ่งเป็น ญาติของดิฉันเอง แล้วใครจะมาพูดแบบนั้นได้ ฉะนั้นแทนที่จะถามว่าใครเป็นคนพูดระหว่าง ท่านนายกฯ หรือท่านเฉลิม แต่ต้องถามว่าข้อเท็จจริงมันมีอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งก็ปรากฏต่อมาในกรรมการเสียงข้างน้อยของก.พ.ค. ถ้าจะว่าไปแล้วท่านเฉลิม ก็ไม่ใช่ตาสียายสาที่ไหน ถ้าใครบนถนนตะโกนแหกปากก็คงไม่ต้องไปใส่ใจ แต่นี่ท่านเฉลิม เป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทนนายกฯ ซึ่งกรรมการเสียงข้างน้อยของ ก.พ.ค.ก็เห็นว่าควรจะต้องรับฟัง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผม

นอกจากนั้นแล้วที่อ้างว่า ย้ายผมมาเพื่อสนองนโยบายให้ทำตามความรู้ความสามารถ ผมบอกตรงๆ เลยว่า 7 เดือนที่ผ่านมา ผมบอกได้เลยว่างานที่ได้รับมอบหมายตอนนี้ ให้พนักงานเสมียนธรรมดาๆ ที่ไหนมาทำก็ยังได้ แล้วไม่ได้เกี่ยวกับความรู้ ความสามารถที่ผมสั่งสมมาเลย ซึ่งทั้งหลายที่อ้างก็เหลวไหลทั้งสิ้น ที่เป็นไปทั้งหมดก็เพื่อเกลี่ยตำแหน่ง ผบ.ตร. นี่คือเหตุผลที่แท้จริง

• ในส่วนของ ก.พ.ค. เกิดอะไรขึ้นบ้าง

อย่างที่ผมยกตัวอย่างมาแล้ว ก.พ.ค.ก็กลับเห็นไปเป็นอย่างที่ทางนายกฯ อ้างมา ผมจึงต้องไปฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เหตุที่ผมเพิ่งจะไปศาลปกครอง เพราะว่า พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ให้ผมไปศาลปกครองทันทีไม่ได้ ซึ่งแต่ก่อนจะมีแต่ ก.พ. แต่ปัจจุบันก็มีการตั้ง ก.พ.ค.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระขึ้นมา ผมก็คาดหวังว่าเป็นที่รวมของอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เจตนารมณ์ก็เพื่อมาให้ระบบข้าราชการเพื่อผดุงความยุติธรรม ผมจึงมั่นใจใน ก.พ.ค.มาก แต่แล้วก็ผิดหวัง เปรียบกับถูกท่านนายกฯ ย้าย ผมยังไม่เสียใจเท่ากับการวินิจฉัยของ ก.พ.ค. ซึ่งเป็นองค์กรที่ควรจะอุ้มผม แต่กลับกระแทกผมกลับมา ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายถึง ก.พ.ค.ทั้งหมด ถ้าผมเล่ากระบวนการพิจารณาแล้วน่าจะทำให้เข้าใจมากขึ้น เรื่องก็คือ พอเรื่องร้องเรียนของผมเข้าไปที่ ก.พ.ค. เมื่อ ก.พ.ค.รับเรื่องไปแล้ว มีเวลา 150 วัน ที่ควรจะพิจารณาให้แล้วเสร็จ ซึ่งท่านนายกฯก็มีความพยายามเต็มที่ ที่จะทำให้เรื่องยืดยาวออกไป ผมได้ไปร้อง ก.พ.ค.เมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา ก.พ.ค.น่าจะส่งเรื่องต่อให้ท่านนายกฯหลังจากนั้น 1สัปดาห์ ท่านนายกฯมีเวลาอยู่ 15 วัน เพื่อแก้คำร้องของผม หลังจากครบ 15 วันแล้วก็ขอเวลาต่ออีก 30 วัน หลังจากครบแล้วก็ขอไปเรื่อยๆ เพื่อยืดเรื่องผม อย่างไรก็แล้วแต่ยังอยู่ในกรอบกติกาอยู่ อยู่ในดุลพินิจของ ก.พ.ค.ว่าถ้าไม่เสียหายก็ยืดเวลาได้ ถ้าพูดถึงฝ่ายท่านนายกฯ ก็เรียกว่าจัดเต็ม และเรื่องก็ล่าช้าเพราะต้องมาเจอน้ำท่วม จนยาวมาถึงวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ว่า ก.พ.ค.ได้ยกคำร้องผม โดยรวมสรุปว่าคำร้องผมฟังไม่ขึ้น คราวนี้สิทธิที่ผมจะไปศาลปกครองก็เกิดขึ้น ผมก็ฟ้องต่อศาลปกครองในมูลเรื่องเดิมคือส่วนของนายกฯที่ย้ายผมไม่เป็นธรรม และพ่วง ก.พ.ค.ไปด้วย

เหตุผลที่พ่วง ก.พ.ค.ไปเพราะว่า พอผมไปร้องต่อ ก.พ.ค. ก็ได้ตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ขึ้นมา ซึ่งท่าน ศราวุธ เมนะเศวต ประธานก.พ.ค. ก็ลงมาเป็นประธานชุดเล็กเอง ซึ่งรวมท่านศราวุธแล้วก็มีอีก 2 ท่าน รวมเป็นกรรมการ 3 คน ในชั้นการพิจารณาวินิจฉัยร้องทุกข์ คำร้องของผมฟังขึ้น เลยมีมติให้ผมกลับไปเป็น เลขา สมช.เหมือนเดิม แต่ท่านศราวุธซึ่งเป็น 1ใน 3 ได้ทำความเห็นแย้งว่าที่นายกฯกล่าวอ้างมารับฟังได้ เรียกว่ากลับด้านทั้งหมด ก็ปรากฏว่าเรื่องก็ไปเข้ากรรมการชุดใหญ่ ก.พ.ค.อีกครั้ง ความจริงกรรมการ ก.พ.ค.มีอยู่ 7 คน ซึ่งเป็นหลักการทั่วไป แต่ไม่ทราบว่าโชคดีหรือโชคร้าย มีกรรมการท่านหนึ่งได้เสียชีวิตไป ก็เลยเหลือแค่ 6 คน แต่ก็ยังรอโปรดเกล้าฯอยู่

ท่านศราวุธ ที่เป็นหนึ่งในกรรมการชุดเล็กก็ได้นำเรื่องมาเข้าชุดใหญ่ เหมือนแบกเรื่องผมเข้าชุดใหญ่คนเดียวเลย ผมก็ตั้งข้อสังเกตว่าท่านเคยผ่านงานอะไรมากมายมาย อาทิ คณะกรรมการ ป.ป.ช.(คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ซึ่งถ้ามีกรรมการ 6 ท่านก็มีสิทธิที่เสียงจะชนกันได้ แต่ท่านก็ออกเสียงอีกรอบจนผลออกมา 4 ต่อ 3 ยิ่งเมื่อผมมาดูตั้งแต่ต้นก็กลายเป็นว่า กรณีของผมชนะชุดเล็ก 2 ต่อ 1 เสมอชุดใหญ่ 3 ต่อ 3 แต่สุดท้ายทำไมผมแพ้ ที่ผมแพ้เพราะว่าท่านประธานลงคะแนน 2 ครั้ง ซึ่งท่านประธานที่ควรจะนั่งเฉยๆ ดูกรรมการ 5 คน ตัดสิน ซึ่งมันรู้ผลแพ้ ชนะแน่นอน ซึ่งผมแพ้ผมก็ไม่ติดใจ แต่ท่านกลับไปลงคะแนนให้ออกมาเป็น 3 ต่อ 3 อีก ซึ่งผมก็มองว่าการวินิจฉัยแบบนี้อาจจะไม่เป็นกลาง ก็เลยร้องให้ศาลปกครองช่วยดู

ในกรณีนี้จะว่าไปก็เป็นไปตามข้อกฎหมาย แต่ปรากฏว่าพอเรื่องดำเนินการไปเรื่อยๆ ก็ชักผิดเพี้ยน ผมไม่ได้สงสัยว่าการเมืองครอบงำท่าน ศราวุธ ขนาดนั้น ถึงไม่เกี่ยวกับการเมืองก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้อยู่ดี ซึ่งผมก็สิทธิที่จะสงสัย ทั้งชนะชุดเล็ก เสมอชุดใหญ่ สุดท้ายทำไมผมถึงแพ้ เรื่องการพิจารณาถึงจะเป็นไปตามข้อกฎหมายทุกขั้นตอน แต่ก็ต้องไม่กลับที่จะมาดูอีกครั้งว่ามันมีความเป็นธรรมด้วยหรือไม่ เคยมีบางเรื่องที่เดินถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง แต่พอย้อนหลังกลับมาดูเพี้ยนไปก็มีให้เห็นมาแล้ว ซึ่งกล่าวถึง ก.พ.ค.ก็น่าจะมายืนอยู่ข้างผู้ที่ได้รับผลร้ายของผู้ถูกกระทำ พยายามไปค้นหาสาเหตุว่าที่ถูกกระทำนั้นมีจริงหรือไม่ ไม่ทราบว่า ก.พ.ค.เสียงข้างมาก 3 ต่อ 3 ไม่ได้ยึดหลักตรงนี้หรือเปล่า ย้อนกลับไปกรณีของท่านวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ กรณีนี้ค้นหาความจริงยากกว่าของผมมาก ยกตัวอย่างของผมมีไล่มาชัดเจนตั้งแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาถึงคุณเฉลิม ประกาศ เรียบร้อยเสร็จสรรพ ที่ว่ายากกว่า กรณีท่านวงศ์ศักดิ์มีการไปดูเรื่องประมูลระบบคอมพิวเตอร์ ยากกว่ากรณีผมตั้งเยอะแยะ แต่ก็กลับไม่ไปค้นหาความจริง

• มั่นใจในกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองมากน้อยแค่ไหน

ผมไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองก็มั่นใจเต็มร้อยว่าจะได้รับความเป็นธรรม เหมือนกับที่เคยมั่นใจ ก.พ.ค. ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่ ส่วนผลของ ก.พ.ค.ผมก็จะนำไปเป็นบทเรียนบอกเล่าต่อลูกน้อง ลูกหลานให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าเป็นแบบนี้ก็อย่าไปฝืนกับฝ่ายการเมือง ถ้ารักความรุ่งเรืองก้าวหน้า

• ฝ่ายการเมืองได้ส่งคนมาเจรจาอะไรบ้างหรือไม่

ไม่มีเลยนะตั้งแต่ย้ายมาตำแหน่งนี้ ก็มีได้คุยกับท่านโกวิท ( พล.อ.โกวิท วัฒนะ) ความจริงท่านดูแลผมโดยตรง และท่านก็ทำดีกับผมมาก แต่ผมก็ไม่ทราบได้ว่ามีใครสั่งการลงอย่างไรบ้าง ผมบอกได้เลยว่าถ้าระบบข้าราชการไม่มีความยุติธรรมเหลือ ก็ไม่สามารถเป็นหลักเป็นเกณฑ์ให้กับชาติบ้านเมืองได้ มันจะเต็มไปด้วยการเล่นพรรคเล่นพวก และจะกลายเป็นวงจรอุบาทว์ ต่อไปว่าคุณทำเรื่องนี้ได้ไหม ไม่ได้คุณก็ไป ถ้าข้าราชการเข้มแข็งด้วยตัวเอง ก็จะมีเกราะป้องกันตนเองจากฝ่ายการเมือง ตอนแรกผมเรียกร้องเพื่อตัวเอง แต่ตอนหลังก็หวังว่าจะเป็นบรรทัดฐานให้คนอื่นหลังจากนี้

• ตำแหน่งที่ถูกย้ายมาขณะนี้ เทียบเท่ากับตำแหน่ง เลขา สมช.

ถ้าไม่เท่ากันก็ไม่สามารถย้ายได้ ถึงจะไม่เท่าก็ต้องทำให้เท่า ไม่ต้องพูดเรื่องคุณธรรมจริยธรรมก็ไม่เข้าหลักกฎหมายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทุกอย่างเขาก็พยายามทำให้เท่ากันจนได้ แต่ถามจริงๆ ว่าเท่าหรือไม่ ความจริงก็คือไม่มีแม้แต่อย่างเดียวที่เท่าตำแหน่งเก่า ป่านนี้ถ้าเท่าจริงผมคงได้ไปลงไปช่วยงานที่ จ.ปัตตานี อะไรแบบนี้บ้าง

• ปัจจุบันงานหลักมีอะไรบ้าง

ตลอด 7-8 เดือนผมได้แต่ไปประชุมสมัชชาจิปาถะ ซึ่งผมก็บอกเหมือนเคยว่าให้ข้าราชการที่ไหนไปทำก็ได้ ผมไปบางคนยังถามว่ามาทำไม ผมก็บอกว่าเขาสั่งแล้วผมก็ต้องมา เพราะฉะนั้นไม่มีทางเลยที่เท่ากันจริง อยู่ที่ สมช.ผมเป็นตำแหน่งบริหาร ผมมีแผนงานชัดเจนเรื่องภาคใต้ เรื่องอะไรต่างๆ เยอะแยะมากมาย ท่านนายกฯย้ายผมมาเป็นที่ปรึกษานายกฯ พูดกับผมสักคำก็ไม่เคยพูด หลังๆ คงกลัวว่าผมจะไปโร่ฟ้องร้องก็เลยให้ตำแหน่งผมเพิ่มเป็นดูแลสำนักงานผู้แทนการค้าไทย ให้มีตำแหน่งบริหารนิดหน่อย ก็คงจะเมตตาให้ผมบ้างหลังจากทำร้ายผมมา 7-8 เดือน

• เคยคิดจะลาออกบ้างหรือไม่

คิดจะลาออกแต่ยังไม่ใช่วันนี้ ตอนนี้ต้องรอให้เรื่องถึงครูอังคณาให้รู้ดำรู้แดงกันไปก่อน ( หัวเราะ) แต่อย่างไรเสียต้องกลับมาจัดการชีวิตตัวเองแน่นอนไม่ปล่อยให้ตัวเองลอยเป็นเศษสวะไปมาแบบนี้แน่นอน

• เรื่องการเพิ่มตำแหน่งรองเลขา สมช.ขึ้นมาจากเดิม มีเงื่อนงำอย่างไร

จากเดิมรองเลขา สมช. มีอยู่แล้ว 3ตำแหน่ง ซึ่งจากการที่เดิมก็จะเป็นการรองรับ พล.ท.ภราดล พัฒนถาบุตร อดีตรองเลขา สมช.ซึ่งจะกลับไปดำรงตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้ท่านก็รับตำแหน่งเดียวกับผมอยู่คือที่ปรึกษานายกฯ ว่าไปแล้วเรื่องกำลังคนของ สมช.มีปัญหามาโดยตลอด ซึ่งกำลัง 100 กว่าคนไม่เพียงพอ ซึ่งก็ได้คาบเกี่ยวไปถึงตำแหน่งรองเลขา สมช. ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นประโยชน์เพื่อแผ่นดินจะเพิ่มอีกก็ได้ไม่มีปัญหา ซึ่งเท่าที่ผมพิจารณาดูแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มตำแหน่งรองเลขา สมช. ถ้าเป็นตำแหน่งผู้อำนวยการ ระดับ 8-9 ก็มีความจำเป็น หรือไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาก็มีความจำเป็นเช่นกัน แต่รองเลขา 3 คน ผมว่าเพียงพอแล้ว ร่องรอยของเรื่องนี้มันเคยมีมาก่อน เคยที่จะมีการย้ายรองเลขา สมช.หนึ่งท่านออกมา เพื่อเอาคนนี้กลับเข้าไป ซึ่งผมก็คิดว่าเขาคงไม่คิดแค่ถูกหวยเลขท้าย ก็คงจะหวังไปถึงตำแหน่งเลขา สมช. อย่างน้อยท่านวิเชียร (พจน์โพธิ์ศรี) เกษียณราชการปี 2556 หรืออาจสะดุดอะไรก่อน เพื่อให้คนนี้ไปอยู่ตำแหน่งเลขา สมช.แต่ไม่สำเร็จ ผมบอกได้อีกว่า ท่านโกวิท วัฒนะก็ได้เคยขวางไว้ รวมไปถึงบรรดารองเลขา สมช.คนอื่นๆก็เดือดร้อนที่จะอยู่ดีๆมาย้ายเขาออก ผมก็เคยบอกท่านวิเชียร ว่าท่านไม่ได้เป็นลูกรักของเขาเพียงแต่เขาหาที่อยู่ใหม่ให้ท่านเท่านั้นเอง วันดีคืนดีผมกับท่านวิเชียร จะกระเด็นไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้ เพียงแต่ท่านวิเชียรได้รับการปฏิบัติดีหน่อย ตรงที่ว่าด้านนั้นเดิมพันมันสูง ถ้าไม่เอาขนมล่อให้ออกมาไม่ได้ เดี๋ยวนี้ข้าราชการทำงานลำบาก เมื่อก่อนต้องเข้าชนกับสิ่งไม่ถูกต้อง มาตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเข้าพวกเข้ากลุ่มแล้วถูกหมด ข้าราชการเลยถูกแบ่งว่าพวกนั้นพวกนี้ บ้านเมืองก็เลยวุ่นวายไปกันใหญ่
กำลังโหลดความคิดเห็น