เมื่อก่อนเรามีวาทกรรม “การเมืองนำการทหาร” คิดว่าจะแก้ปัญหาความขัดแย้งกันได้แบบง่ายๆ
ผมเห็นว่าการจะใช้การเมืองนำการทหารได้เป็นอย่างดีนั้น ก่อนอื่น การเมืองต้องดีเสียก่อน แต่หากการเมืองมันเน่าล่ะ มันจะมิแย่ยิ่งกว่าเอาการทหารที่ดีๆ ไปนำการเมืองดอกหรือ เพราะบรรดาขุนทหารนั้นเขาก็มีคนที่ฉลาดและดีกันพอใช้ได้อยู่ ใช่ว่าจะบุ่มบ่ามนิยมการรบราฆ่าฟันกันไปเสียหมด ...ดังที่มีภาษิตในแวดวงทหารกันว่า การรบที่ดีที่สุดคือการรบที่บรรลุเป้าหมายโดยไม่ต้องเสียกระสุนสักนัดเดียว
การเมืองทุกวันนี้มันเน่ามากๆ เพราะมันถูกนำด้วย “การตลาด”..ไม่งั้นธุรกิจการเมืองก็เจ๊ง
เท่ากับว่าการเมืองเป็น “สินค้า” ชนิดหนึ่งไปแล้ว บางทีก็มีวาทกรรมหรูว่า “ประชาธิปไตยที่กินได้” ไปโน่น คือทำให้การเมืองกับการค้าเป็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง
ส่วนที่ว่า “กินได้” ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ “ได้กิน” กันแน่ระหว่างนักการเมืองกับประชาชน สงสัยจะเป็นฝ่ายแรกเสียมากกว่า
อันคำว่า “การตลาด” นั้น มันเป็นคำที่ได้อารมณ์มาก เพราะ “ตลาด” นั้นถามว่า..คนพวกไหนเดินมากที่สุด ตอบ...ก็พวก “ตลาด..ตลาด” ไงล่ะ
แล้วถามว่าพวกตลาดตลาดนี้คือคนพวกไหน...ตอบ..คือพวก “เสียงข้างมาก” ไงล่ะ เพราะพวกตลาดนี้มีมากที่สุดในโลก ..... ดังที่สัญชัยปริพาชก ก็รู้ดีมาก่อนใครอื่น แต่สมัยพุทธกาลแล้ว
เรื่องเล่าในพระไตรปิฎกมีอยู่ว่า พระสารีบุตร ...เบื่อชีวิตการครองเรือนที่วุ่นวาย จึงไปขอบวชอยู่ในสำนักสัญชัยปริพาชก เรียนรู้ลัทธิของสัญชัยฯ ได้แตกฉานทั้งหมด ....แต่ยังไม่พอใจในคำสอนของสัญชัยปริพาชก ....มาณพทั้งสอง (สารีบุตร และ โมคคัลลานะ) ได้ไปชักชวนสัญชัยปริพาชก ให้ไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าด้วยกัน
สัญชัยฯ..ในโลกนี้คนโง่มากกว่าหรือคนฉลาดมากกว่า
มาณพทั้งสอง...คนโง่มากกว่ามากขอรับ
สัญชัยฯ ... ปล่อยให้คนฉลาดไปเป็นลูกศิษย์สมณโคดม ให้คนโง่ซึ่งมีจำนวนมากกว่ามากนักมาเป็นลูกศิษย์ของเรา เราจักได้รับเครื่องสักการะจากคนจำนวนมาก คนฉลาดจำนวนน้อยเช่นเธอทั้งสองจงไปเป็นศิษย์ของสมณโคดมเถิด
สุดยอดจริงท่านสัญชัย นี่ถ้าจดลิขสิทธิ์ “สัญชายาธิปไตย” ไว้ นักการเมืองหลายคนในเมืองไทยคงถูกฟ้องว่าละเมิดไปแล้ว เพราะใช้หลักการนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่านสัญชัย กล่าวคือ ทำการตลาดเพื่อเอาใจคะแนนเสียงข้างมากของคนโง่ที่มีจำนวนมากกว่าไว้ก่อน ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ระบบประชาธิปไตย เสียงข้างมาก ก็เป็นเช่นนั้นแล เหมือนกันทั่วโลก ไม่เว้นแม้อารยประเทศที่พวกเราชื่นชม
สรุปคือ เสียงข้างมาก คือ เสียงตลาด และประชาธิปไตยแบบตะวันตก ก็คือ ผลพวงของเสียงข้างมากที่มาจาก “การตลาด” นั่นเอง ....ใครๆ ก็รู้ แต่นักวิชาการไทยวันนี้กลับไม่รู้ ไปเชิดชูประชาธิปไตยฝรั่งกันอยู่นั่นหละ ยังไม่เห็นเคยได้ยินนักวิชาการรัฐศาสตร์การปกครองไทยออกมาเสนอประชาธิปไตยระบบใหม่กันบ้างเลย ที่มันสอดคล้องกับ “ตลาดไทย”
ระบบประชาธิปไตยฝรั่งพอใช้ได้ในประเทศฝรั่ง เพราะ “ตลาด” เขานั้นมีการยกระดับพอควรแล้ว ก็พอทน แม้ว่ายังสามารถทำให้ดีกว่านี้อีกมาก
ส่วนตลาดบ้านเรายังมีน้ำเน่าขังเฉอะแฉะ ไปทำการตลาดเอาใจตลาดแบบนั้นมันก็ได้แต่การเมืองน้ำเน่าแหละครับ ซึ่งส่งผลให้ประเทศเราเน่ามาจนถึงวันนี้
หลายบทความในอดีตของผมได้ปลุกระดมให้คิดกันถึง ปชต.ทางเลือก ที่สอดคล้องกับลักษณะ “ตลาดไทย” เช่น ที่ต้นทางต้องมีการคัดเลือกผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ไม่ใช่ว่าใครอายุเกินกำหนดก็มีสิทธิเท่ากันแบบวันแมนวันโหวตเหมือนฝรั่ง
ที่กลางทางก็ต้องมีระบบที่คานอำนาจกันได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ปล่อยให้นายใหญ่ชี้นำการโหวตของ “เด็กๆ ในคอก” ได้หมด ..ซึ่งเป็นกลไกที่สร้างความชอบธรรมให้เผด็จการทุนนิยมในคราบของประชาธิปไตย เป็นการทำลายประชาธิปไตยที่น่ากลัวที่สุด ..แม้ระบบคานอำนาจนี้ผมก็ได้เสนอทางเลือกไว้หลายรูปแบบ
ที่ปลายทางก็ต้องมีการตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ ซึ่งในขณะนี้ก็ดูว่าดีอยู่พอควร แต่พวกนายใหญ่และเด็กๆ ในคอก กลับไม่ชอบกระบวนการนี้ เพราะมันไป “ขวางทางกิน” ของพวกเขานั่นเอง ดังนั้นพวกเขาจึงกำลังคิดการณ์จะยุบทิ้งเสียให้หมด ด้วยเสียง “พวกมากลากไป” ตามการชี้นำของ “นายใหญ่” นั่นแล
ระบบประชาธิปไตยไทยเรา..ถ้าไม่ปรับใหญ่ให้ทันกาล ผมขอทำนายว่าจะนำพาประเทศไทยไปสู่การสิ้นชาติใน ๑๘ ปี (เคยทำนายทำนองเดียวกันนี้ไว้แล้วเมื่อ ๒ ปีก่อน วันนี้เลยเหลือเพียง ๑๘ ปี)
ผมเห็นว่าการจะใช้การเมืองนำการทหารได้เป็นอย่างดีนั้น ก่อนอื่น การเมืองต้องดีเสียก่อน แต่หากการเมืองมันเน่าล่ะ มันจะมิแย่ยิ่งกว่าเอาการทหารที่ดีๆ ไปนำการเมืองดอกหรือ เพราะบรรดาขุนทหารนั้นเขาก็มีคนที่ฉลาดและดีกันพอใช้ได้อยู่ ใช่ว่าจะบุ่มบ่ามนิยมการรบราฆ่าฟันกันไปเสียหมด ...ดังที่มีภาษิตในแวดวงทหารกันว่า การรบที่ดีที่สุดคือการรบที่บรรลุเป้าหมายโดยไม่ต้องเสียกระสุนสักนัดเดียว
การเมืองทุกวันนี้มันเน่ามากๆ เพราะมันถูกนำด้วย “การตลาด”..ไม่งั้นธุรกิจการเมืองก็เจ๊ง
เท่ากับว่าการเมืองเป็น “สินค้า” ชนิดหนึ่งไปแล้ว บางทีก็มีวาทกรรมหรูว่า “ประชาธิปไตยที่กินได้” ไปโน่น คือทำให้การเมืองกับการค้าเป็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง
ส่วนที่ว่า “กินได้” ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ “ได้กิน” กันแน่ระหว่างนักการเมืองกับประชาชน สงสัยจะเป็นฝ่ายแรกเสียมากกว่า
อันคำว่า “การตลาด” นั้น มันเป็นคำที่ได้อารมณ์มาก เพราะ “ตลาด” นั้นถามว่า..คนพวกไหนเดินมากที่สุด ตอบ...ก็พวก “ตลาด..ตลาด” ไงล่ะ
แล้วถามว่าพวกตลาดตลาดนี้คือคนพวกไหน...ตอบ..คือพวก “เสียงข้างมาก” ไงล่ะ เพราะพวกตลาดนี้มีมากที่สุดในโลก ..... ดังที่สัญชัยปริพาชก ก็รู้ดีมาก่อนใครอื่น แต่สมัยพุทธกาลแล้ว
เรื่องเล่าในพระไตรปิฎกมีอยู่ว่า พระสารีบุตร ...เบื่อชีวิตการครองเรือนที่วุ่นวาย จึงไปขอบวชอยู่ในสำนักสัญชัยปริพาชก เรียนรู้ลัทธิของสัญชัยฯ ได้แตกฉานทั้งหมด ....แต่ยังไม่พอใจในคำสอนของสัญชัยปริพาชก ....มาณพทั้งสอง (สารีบุตร และ โมคคัลลานะ) ได้ไปชักชวนสัญชัยปริพาชก ให้ไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าด้วยกัน
สัญชัยฯ..ในโลกนี้คนโง่มากกว่าหรือคนฉลาดมากกว่า
มาณพทั้งสอง...คนโง่มากกว่ามากขอรับ
สัญชัยฯ ... ปล่อยให้คนฉลาดไปเป็นลูกศิษย์สมณโคดม ให้คนโง่ซึ่งมีจำนวนมากกว่ามากนักมาเป็นลูกศิษย์ของเรา เราจักได้รับเครื่องสักการะจากคนจำนวนมาก คนฉลาดจำนวนน้อยเช่นเธอทั้งสองจงไปเป็นศิษย์ของสมณโคดมเถิด
สุดยอดจริงท่านสัญชัย นี่ถ้าจดลิขสิทธิ์ “สัญชายาธิปไตย” ไว้ นักการเมืองหลายคนในเมืองไทยคงถูกฟ้องว่าละเมิดไปแล้ว เพราะใช้หลักการนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่านสัญชัย กล่าวคือ ทำการตลาดเพื่อเอาใจคะแนนเสียงข้างมากของคนโง่ที่มีจำนวนมากกว่าไว้ก่อน ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ระบบประชาธิปไตย เสียงข้างมาก ก็เป็นเช่นนั้นแล เหมือนกันทั่วโลก ไม่เว้นแม้อารยประเทศที่พวกเราชื่นชม
สรุปคือ เสียงข้างมาก คือ เสียงตลาด และประชาธิปไตยแบบตะวันตก ก็คือ ผลพวงของเสียงข้างมากที่มาจาก “การตลาด” นั่นเอง ....ใครๆ ก็รู้ แต่นักวิชาการไทยวันนี้กลับไม่รู้ ไปเชิดชูประชาธิปไตยฝรั่งกันอยู่นั่นหละ ยังไม่เห็นเคยได้ยินนักวิชาการรัฐศาสตร์การปกครองไทยออกมาเสนอประชาธิปไตยระบบใหม่กันบ้างเลย ที่มันสอดคล้องกับ “ตลาดไทย”
ระบบประชาธิปไตยฝรั่งพอใช้ได้ในประเทศฝรั่ง เพราะ “ตลาด” เขานั้นมีการยกระดับพอควรแล้ว ก็พอทน แม้ว่ายังสามารถทำให้ดีกว่านี้อีกมาก
ส่วนตลาดบ้านเรายังมีน้ำเน่าขังเฉอะแฉะ ไปทำการตลาดเอาใจตลาดแบบนั้นมันก็ได้แต่การเมืองน้ำเน่าแหละครับ ซึ่งส่งผลให้ประเทศเราเน่ามาจนถึงวันนี้
หลายบทความในอดีตของผมได้ปลุกระดมให้คิดกันถึง ปชต.ทางเลือก ที่สอดคล้องกับลักษณะ “ตลาดไทย” เช่น ที่ต้นทางต้องมีการคัดเลือกผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ไม่ใช่ว่าใครอายุเกินกำหนดก็มีสิทธิเท่ากันแบบวันแมนวันโหวตเหมือนฝรั่ง
ที่กลางทางก็ต้องมีระบบที่คานอำนาจกันได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ปล่อยให้นายใหญ่ชี้นำการโหวตของ “เด็กๆ ในคอก” ได้หมด ..ซึ่งเป็นกลไกที่สร้างความชอบธรรมให้เผด็จการทุนนิยมในคราบของประชาธิปไตย เป็นการทำลายประชาธิปไตยที่น่ากลัวที่สุด ..แม้ระบบคานอำนาจนี้ผมก็ได้เสนอทางเลือกไว้หลายรูปแบบ
ที่ปลายทางก็ต้องมีการตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ ซึ่งในขณะนี้ก็ดูว่าดีอยู่พอควร แต่พวกนายใหญ่และเด็กๆ ในคอก กลับไม่ชอบกระบวนการนี้ เพราะมันไป “ขวางทางกิน” ของพวกเขานั่นเอง ดังนั้นพวกเขาจึงกำลังคิดการณ์จะยุบทิ้งเสียให้หมด ด้วยเสียง “พวกมากลากไป” ตามการชี้นำของ “นายใหญ่” นั่นแล
ระบบประชาธิปไตยไทยเรา..ถ้าไม่ปรับใหญ่ให้ทันกาล ผมขอทำนายว่าจะนำพาประเทศไทยไปสู่การสิ้นชาติใน ๑๘ ปี (เคยทำนายทำนองเดียวกันนี้ไว้แล้วเมื่อ ๒ ปีก่อน วันนี้เลยเหลือเพียง ๑๘ ปี)