ถัดจากการตะบี้ตะบันให้สภาผู้แทนราษฎรรับรองผ่านรายงานของคณะกรรมาธิการปรองดองชุดที่ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารนั่งเป็นหัวโต๊ะไปเรียบร้อย “โรงเรียนแม้ว” แล้ว เพียงอีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลังรัฐบาลเพื่อไทย ก็เดินเกมต่อเนื่องลุกลี้ลุกลน ชงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ในวาระที่ 2
เร่งจังหวะสุมอุณหภูมิแบบไม่ให้หายใจหายคอ จนหวั่นใจแทนว่า หากใส่เกียร์ห้าเดินหน้า แบบไม่ระวัง อำนาจที่อยู่ในมืออาจแตกดังโพละ เข้าให้อีก
เรื่องของเรื่อง ก็เพราะทุกเกม ทุกจังหวะก้าวของรัฐบาลในตอนนี้มองเป็นอื่นไม่ได้นอกจากประโยชน์สุขของ “ทักษิณ ชินวัตร” แต่เพียงผู้เดียว เหมือนกับเกรงว่า จะไม่มีผลงานไปขอรับการ “ปูนบำเหน็จ” หากเจอหน้ากันทัวร์รดน้ำดำหัว “พ่อแม้ว” เทศกาลสงกรานต์ที่ลาว-เขมร ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ต้องยอมรับว่า เวลาของบรรดา “ตัวสำรอง - อะไหล่เซียงกง” ระดับปลายแถวของระบอบทักษิณ ที่วันนี้มีโอกาสได้เชิดหน้าชูตาขึ้นชั้นเสนาบดี-ผู้แทนราษฎร ใกล้หมดอายุแล้ว หากครบกำหนดที่บรรดา “ตัวจริง” แถวหน้าพ้นคุกการเมือง ปลายเดือน พ.ค.55 นี้
โค้งสุดท้ายแบบนี้ มือใครยาวก็สาวกันไป เผื่อได้ต่ออายุการใช้งานไปอีกเฮือก
หลายคนที่ยังไม่ได้สัมผัสเก้าอี้ “เสนาบดี” ก็ยังมีหวังงานระดับมาสเตอร์พีซ ด้วย “บันได 3 ขั้น” ทั้ง “แผนปรองดอง - แก้รัฐธรรมนูญ” ก่อนจะตามมาด้วย “แผนนิรโทษกรรม” จะเรียกคะแนนต่อความหวังให้ได้มีคำนำหน้าชื่อว่า “พะนะท่าน” อย่างใครเขาบ้าง แม้จะริบหรี่ก็ตาม
แต่อย่าลืมว่าความฝัน-ความหวังทำให้ชีวิตเดินต่อไปได้
คนแรกๆ ที่ “นายแม้ว” ต้องระลึกนึกถึงอย่างแน่นอน เพราะเป็น “คีย์แมน” ตัวจักรสำคัญในการผลักดันเรื่องร้อนๆ ผ่านฝ่ายนิติบัญญัติในรอบเดือนนี้ก็หนีไม่พ้น เจ้าของฉายา “ค้อนปลอมตราดูไบ” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่พ่วงตำแหน่งประธานรัฐสภาอีกเก้าอี้ ผู้ยัดวาระ “แผนปรองดอง - แก้รัฐธรรมนูญ” เข้ามาติดๆ ไม่ให้ตกปฏิทินที่วางไว้แต่แรก
โดยเฉพาะวาระหลัง ที่เจ้าตัว “เสียสละ” เวลาวันหยุดมาเซ็นหนังสือเรียกประชุมร่วมรัฐสภาแบบกระทันหัน แถมบอกว่า จำเป็นต้องรีบพิจารณา เหตุเพราะ ส.ส. - ส.ว. ติดคิวทัวร์นอกช่วงปลายเดือนเม.ย.กันส่วนใหญ่
มองอย่างไรสิ่งที่ “ขุนค้อน” บอกมานั้น ฟังดูไม่ได้ใกล้เคียงคำว่า “เหตุผล” แม้แต่น้อย แต่จะมองว่าเป็น “ข้ออ้าง” ก็ดูจะฟังไม่ขึ้น เพราะเอาสีข้างเข้าถูจนแสบร้อนไปเลยทีเดียว เพราะแม้แต่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สั่งพิมพ์ด่วนมาถึงมือ ส.ส.แบบที่หมึกยังไม่ทันแห้งกันเลยทีเดียว
แว่วข่าวว่า ทุ่มสุดตัวหนนี้ เหมือนเบื่องาน “ประมุขนิติบัญญัติ” ที่มีเกียรติก็จริง แต่ไม่เร้าใจ อยากหวนไปดอมดมเก้าอี้รัฐมนตรีอีกคำรบ หลังเคยนั่งช่วงสั้นๆ มา 2 กระทรวง ในช่วง 6 เดือนคาบเกี่ยวรัฐบาลสมัคร - สมชาย ก่อนหน้านี้
อีกคน “เสี่ยไก่ - วัฒนา เมืองสุข” ที่พะยี่ห้อ อดีตรัฐมนตรีรัฐบาลไทยรักไทย ที่โชคดีรอดตัวไม่ติดบ่วงการเมืองไปกับเพื่อนๆ บ้านเลขที่ 111 หากให้คะแนนก็คงเป็นลิ่วล้อ “เกรดบี +” แต่กลับไร้เก้าอี้รัฐมนตรีรองก้น ในรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ไปแบบพลิกความคาดหมายพอสมควร
ความหวังสุดท้ายก็หวังเอาผลงานชักใยกรรมาธิการปรองดอง ที่ทำให้ “บิ๊กบัง - สนธิ บุญยรัตกลิน” ซ้ายหัน ขวาหัน ตามระเบียบพัก แบบชายชาติทหาร แม้แต่ให้เปลื้องผ้าถอดชุดหัวหน้าคณะรัฐประหาร มาสวมบทหัวหมู่ของนายแม้ว ก็ยังเอาด้วยอย่างว่าง่าย
ผลงานอันเอกอุที่แม้วันนี้จะยังไม่มีข้อสรุปเป็นรูปธรรมออกมา เพราะต้องโยนให้รัฐบาลเป็นคนสานต่อ แต่อย่างน้อยก็ถือได้ว่า ได้ตัดถนนปูทางไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงตัดสินใจเคาะครั้งสุดท้ายว่าจะเทคอนกรีต ราดยางมะตอย หรือ “โรยกลีบกุหลาบ” ในรูปแบบกฎหมายปรองดองล้มกระดานความผิดทั้งหมด ที่เจ้าตัวเองก็ได้ประโยชน์ไปด้วย เพราะมีคดีค้างอยู่ในชั้น ป.ป.ช.เหมือนกัน
จับอาการ “เสี่ยไก่” แม้จะเครียดหนักในการฟาดฟันกับฝ่ายตรงข้าม ระหว่างเกมในสภาอย่างหนัก แต่ก็ยังเห็นออกอาการยิ้มกริ่ม มั่นอกมั่นใจ เพราะ “นายใหญ่” ส่งสัญญาณสายตรงชัดแจ๋วมาถึงเจ้าตัวว่า เลือกแนวทางปรองดองของกรรมาธิการชุดนี้ จน “เฉลิม อยู่บำรุง” ที่ตระเตรียมสูตรปรองดอง ล้มคดีแบบครอบจักรวาลด้วยกฎหมายสั้นๆ 6 มาตรา ไว้ต้องมองเคือง
ไม่เว้นแม้แต่ลิ่วล้อที่ชื่อ “ประชา ประสพดี” ส.ส.สมุทรปราการ ผู้รับบท “องครักษ์พิทักษ์แม้ว” มาอย่างยาวนาน ก็แทรกคิวจุดประเด็นทะลุกลางปล้องเสียงดังๆว่า จะเริ่มล่าชื่อพรรคพวก ส.ส.เพื่อดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทันที แถมหวังให้จบภายในสมัยประชุมนี้ ที่แม้ยังไม่เคาะวันปิดสมัยออกมา แต่ก็คาดว่าไม่น่าเดินสิ้นเดือนเม.ย. เต็มที่คงเป็นช่วงกลางเดือนพ.ค.
เล่นติดเทอร์โบเข้าทางลัดแซงหน้าเพื่อน หวังเอาหน้าอวดผลงานกับ “คนต่างแดน”
ทั้งหลายทั้งปวง หลากแนวหลายวิธีที่พลพรรคเพื่อไทยพยายามยัดทะนานเข้ามาตามล็อกปฏิทินของ “บันได 3 ขั้น” ก็ใช่ว่าจะเป็นกล้วยไข่ หรือหมูนุ่มที่กลืนกันได้คล่องคอ อย่าลืมยังมีก้างตำคอตำใจที่ชื่อ “ประชาธิปัตย์” คอยชักเย่อไม่รั้งไว้ไม่ให้เร่งฝีเท้าได้ถนัด
ค้านมืออาชีพด้วยวิทยายุทธ์การเมืองแบบหาตัวจับยาก
เอาง่ายๆ แค่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยื้อยุดฉุดกระชากกันในชั้นกรรมาธิการ จนฟลอร์ห้องประชุมร้อนฉ่าไม่เว้นแต่วัน เมื่อเรื่องเข้าที่ประชุมใหญ่ ก็จัดเต็มแปรญัตติกันเกือบทั้งพรรค 120 คน ลากยาวเกมแก้รัฐธรรมนูญไม่ให้จบง่ายๆ นอกจากเพิ่มวันประชุม 2 เป็น 3 วันแล้ว ดีไม่ดีหากปิดไม่ลงจริงๆ ยังขอถกกันต่อเนื่องหลังเทศกาลสงกรานต์ อีกด้วยซ้ำ
เฉพาะแค่วันแรกเปิดมา ด้วยวาระที่ 1 ว่าด้วยชื่อร่างรัฐธรรมนูญที่เปิดหัว “เรียกแขก” กันด้วยการใส่ชื่อ “ทักษิณ” และ“นปช.” เข้าไปในชื่อร่าง ที่แม้มีผู้แปรญัตติเพียง 3 คน แต่ก็เล่นเอาประท้วงกันวุ่นวายใช้เวลากันไป 6 - 7 ชั่วโมง แถมต้องขอพักการประชุมไป 2 หน เพราะคุมบรรยากาศไม่อยู่
ยังไม่รวมไปถึงในส่วนของสาระสำคัญที่ว่าด้วยที่มาของ ส.ส.ร. ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ สูตรสำเร็จ 99 อรหันต์ จากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน เป็น 77 คน และสรรหาโดยที่ประชุมของรัฐสภา อีก 22 คน แค่ตรงนี้ มีทั้งกรรมาธิการ ส.ส. และ ส.ว. ขอสงวนคำแปรญัตติมากที่สุดถึง 117 คน แบบสารพัดสูตร ตั้งแต่เลือกตั้งล้วนๆ 100 คน แบบของ “เหวง โตจิราการ” แกนนำนปช. เลือกตั้งบวกสรรหา 150 คน ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้นำฝ่ายค้าน หรือเลือกตั้ง 200 คน ของ ส.ส. - ส.ว.บางส่วน และอีกมากมาย จนแจกแจงในที่นี้ได้ไม่หมด
ก็แน่นอนแล้วว่า ตัวเลข 99 คน ไม่ใช่สูตรสำเร็จ ที่ถูกใจทุกฝ่าย โดยเฉพาะประชาธิปัตย์ ที่เห็นแววพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้ง ต้องดื้อดึง เพิ่มจำนวน ส.ส.ร.ให้ได้ หวังขยับอัตราส่วนให้สูสีกับนักเลือกตั้งในคราบเพื่อไทย ที่จะเข้าไปครอบงำกระบวนการฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ 2550 อย่างเบ็ดเสร็จ
“ทีมข่าวการเมืองASTVผู้จัดการ” ฟันธงว่า สุดท้ายก็ต้านไม่อยู่ เพราะคนมันมีนิสัยจะเอาอะไรต้องเอาให้ได้ แถมลิ่วล้อก็หวังสร้างผลงานให้เตะตานาย รับบำเหน็จรางวัลกันถ้วนหน้า ด้วยความที่ “พวกมาก” ก็ไม่ต้องใส่ใจกับเวียงนกเสียงกา
วาระ 2 ผ่าน รอฟาดกันอีกที เมื่อเข้าวาระ 3 ช่วงปลายเดือนนี้ ก็ยังคงได้แค่ยักแย่ยักยันดึงเกมให้ช้า แต่ก็ต้องพ่ายไปตามระเบียบในที่สุด
เพราะงานนี้ฝ่ายที่ได้เปรียบ คงตะแบงเดินหน้าทุกรูปแบบ ไม่ยี่หระกับแรงต้านใดๆ ทั้งสิ้น
มองไกลไปถึงบันไดขั้นสุดท้าย หากมีการ ชง ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้ามาจริงๆ คงซัดกันอุตลุดน่าดู เพราะทบทวนดูแล้ว ทั้งจากวาระปรองดอง และการแก้รัฐธรรมนูญ ยังดวลฝีปาก สาดน้ำลายกันขนาดนี้ ยังไม่รวมไปถึงวาทกรรมเดิมๆ จากเมื่อครั้งที่รัฐบาลเกือบ “ลักไก่” พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ เอื้อ“ทักษิณ” ได้สำเร็จเมื่อปลายปีก่อน คงกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
บรรยากาศคงวุ่นวายน่าดูชม