xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

"แม้ว" ใช้เงินฟาดหัวโจรใต้ ดอดเจรจา “หัวโจกพูโล” ต้นตอคาร์บอมบ์หาดใหญ่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หนังสือพิมพ์รายวันกวงหัวหนังสือพิมพ์ภาษาจีนในมาเลเซีย ยืนยัน “ทักษิณ” อ้างตำแหน่งที่ปรึกษา “ยิ่งลักษณ์” บินพบหัวหน้ากลุ่มพูโลเมื่อ 18 มี.ค. ที่โรงแรมใหญ่กลางกรุงกัวลาลัมเปอร์แต่คว้าน้ำเหลว ก่อนเกิดเหตุระเบิดใหญ่ที่หาดใหญ่-ยะลา 31 มี.ค.
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงมาทันทีทันใด เมื่อเกิดกระแสข่าวทั้งในเว็บไซต์ในและต่างประเทศว่า นช.ทักษิณ ชินวัตร ได้ขนเอาบรรดานักการเมืองพรรคเพื่อไทยและและผู้บริหารศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นำทีมไปเจรจาลับกับแกนนำกลุ่มพูโล ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อให้หยุดการเคลื่อนไหวก่อเหตุร้ายในพื้นที่ 3 จังหวัดแดนภาคใต้

แน่นอน เรื่องนี้ย่อมหนีไม่พ้นทำให้บรรดาลิ่วล้อออกมาฟาดงวงฟาดงาแสดงอิทธิฤทธิ์ตอบโต้กันยกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นนายนพดล ปัทมะ ทนายหน้าหอผู้จงรักภักดี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย หรือนายประชา ประสพดี ส.ส.พรรคเพื่อไทย ฯลฯ

ไม่เว้นแต่ นช.ทักษิณ นายใหญ่แห่งดูไบ ต้นตอของเรื่องนี้ก็ยังทนไม่ไหวต้องออกมาปฏิเสธด้วยการให้สัมภาษณ์กับสื่อระหว่างพักอยู่ที่ประเทศฮ่องกง ถึงเรื่องกรณีที่ทาง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาเผยแพร่ภาพการเข้าพบ กลุ่มพูโล ซึ่งเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบทางภาคใต้ โดย นช.ทักษิณ กล่าวว่า "ผมมีสิทธิ์เกี่ยวข้องอะไรที่จะไปพูดคุย ผมมันแค่คนตกงาน สิ่งที่ผมทำได้ คือ การขอความช่วยเหลือจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันการก่อการร้าย ถ้าถามว่าควรมีการเจรจาไหม ผมเห็นว่าสมควรอย่างยิ่ง สงครามต้องสิ้นสุดกันที่โต๊ะเจรจา ไม่ใช่อยู่ในสมรภูมิ"

ทว่า นั่นเป็นเพียงแค่คำแก้ตัวที่ทำให้ดูขำๆ เพื่อกลบเกลื่อน แต่ในความเป็นจริงสังคมก็ย่อมรู้กันดีอยู่แล้วว่า ทักษิณเป็นทุกอย่างของรัฐบาลชุดนี้ และหากพิจารณาจากคำสัมภาษณ์ที่ออกมาก็ยังมีความเห็นว่าควรไปเจรจากับโจรใต้พวกนั้นเสียด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ นช.ทักษิณจะออกมาปฏิเสธเพราะกระทบต่อภาพลักษณ์ของเขาอย่างหนัก เนื่องจากนั่นหมายความว่า นช.ทักษิณคือชนวนให้เกิดคาร์บอมบ์ที่ “ลีการ์เดนส์” อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รวมถึงตามมาที่ยะลาและปัตตานี กระทั่งกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก

ที่สำคัญคือ แม้ นช.ทักษิณจะปฏิเสธอย่างไรก็มิอาจหักล้างข้อเท็จจริงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเว็บไซต์ของขบวนการพูโลเผยภาพ นช.ทักษิณโอบไหล่นายฮาซัน ตอยิบ หัวหน้าขบวนการ ณ โรงแรมหรูแห่งหนึ่งด้วยความเอื้อเฟื้อจากผู้นำรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งส่งผลทำให้คำแก้ตัวของ นช.ทักษิณได้กลายเป็น “คำผายลม” ทางการเมืองไปเรียบร้อย

แถมด้วยก่อนหน้านี้ก็ยังมีหลักฐานมัดแน่นว่า นักโทษชายหนีคดีผู้นี้ได้ส่งพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผอ.ศอ.บต. คนกันเองที่รับบทเป็นพระเอก ไปเจรจาแบบเต็มคณะถึงประเทศมาเลเซีย แถม นช.ทักษิณ เองก็ยังคอยเป็นหน่วยสนับสนุนในการเจรจาอีกด้วย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2555 หนังสือพิมพ์รายวันกวงหัว (Kwong Wah) หนังสือพิมพ์ภาษาจีนที่เผยแพร่ในประเทศมาเลเซีย โดยผู้สื่อข่าวคือนายหลี่ เจิ้นเหวย ได้ตีพิมพ์รายงานพิเศษเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 นั่นคือเหตุการณ์การก่อการร้ายวางระเบิดใหญ่ในพื้นที่สองจังหวัดคือ จ.ยะลา และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก

หนังสือพิมพ์กวงหัวได้อ้างคำให้สัมภาษณ์ของสมาชิกสภาที่ปรึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ระบุชัดเจนว่าก่อนเกิดเหตุก่อการร้ายดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปีจากศาลฎีกาแต่หลบหนีการลงโทษ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบันได้เปิดการเจรจากับผู้นำองค์กรปลดปล่อยสหปัตตานี (พูโล) เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ทว่าประสบความล้มเหลว

สมาชิกสภาที่ปรึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยผู้นี้มีชื่อว่า “นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล” ซึ่งนอกจากตำแหน่งดังกล่าวแล้วนายไชยยงค์ยังเป็นนายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทยอีกด้วย
นายไชยยงค์ ระบุว่า การเจรจาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ณ โรงแรมแกรนด์ คอนติเนนตัล กัวลาลัมเปอร์ (Hotel Grand Continental Kuala Lumpur) โดย พ.ต.ท.ทักษิณเข้าร่วมการเจรจาในนามของ ‘กลุ่มคลังสมองที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีไทย’ ขณะที่ฝ่ายขบวนการพูโลที่ร่วมเจรจา คือ นายฮาซัน ตอยิบผู้นำกลุ่มพูโล

หนังสือพิมพ์กวงหัวอ้างคำให้สัมภาษณ์ของนายไชยยงค์โดยระบุว่า ในการเจรจาดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ร้องขอพบผู้นำกลุ่มพูโลด้วยตัวเอง โดยหลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย พ.ต.ท.ทักษิณก็ประกาศตนเป็นหนึ่งที่สมาชิกของกลุ่มคลังสมองที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้สถานะในการเป็นที่ปรึกษาช่วยประคับประคองอำนาจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งการคลี่คลายสถานการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ก็เป็นเป้าหมายหนึ่งของการรักษาอำนาจดังกล่าว ทว่า เนื่องจากกองกำลังอิสระของพูโลไม่ยอมรับข้อเสนอในการประนีประนอมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของกลุ่ม ในที่สุดการเจรจาจึงต้องล้มเหลวลงในลักษณะดังกล่าว

นอกจากนี้ นายไชยยงค์ยังเปิดเผยด้วยว่า กลุ่มแบ่งแยกดินแดนมุสลิมทางตอนใต้ของไทยแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ ขบวนการพูโล และ ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี (บีอาร์เอ็น; ผู้สื่อข่าวของ นสพ.กวงหัวใช้ชื่อย่อว่า บีอาร์เอ็ม) ซึ่งถ้าหากรัฐบาลไทยต้องการคลี่คลายสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ก็ต้องพูดคุยกับทั้งสองกลุ่ม โดยสองขบวนการนี้เป็นคนละกลุ่มกัน แต่ก็มีการติดต่อและไปมาหาสู่กัน ถึงปัจจุบันกลุ่มพูโลไม่ค่อยมีบทบาทเท่าใดแล้วในประเทศไทย แต่ในระดับสากลยังมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ขณะที่กลุ่มบีอาร์เอ็นกลับถูกชี้ว่าเป็นกลุ่มที่ก่อความรุนแรงในพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศไทยอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งถ้ารัฐบาลไทยสามารถเจรจากับกลุ่มพูโลได้สำเร็จ บนเส้นทางในการสร้างความสงบในพื้นที่ภาคใต้ ไทยก็จะก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ในวันนั้นการเจรจาของทักษิณไม่ประสบผลใดๆ

ขณะเดียวกันนายไชยยงค์ยังเปิดเผยด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมา แผนการก่อความไม่สงบของ ‘กลุ่มบีอาร์เอ็น’ คือต้องการใช้ระยะเวลาในช่วง 10 ปี ระหว่างปี 2555-2565 เพื่อขับไล่ชาวจีนโพ้นทะเลและชาวไทยเชื้อสายจีนออกจากพื้นที่จังหวัดยะลา ปัตตานีและนราธิวาส และรวม 3 จังหวัดนี้เป็นเขตปกครองตนเองพิเศษ ก่อนก้าวไปสู่การเป็นอิสระต่อไป โดยจุดยืนของรัฐบาลไทยคือไม่ยินยอม และไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงในการที่ ‘กลุ่มบีอาร์เอ็น’ จะดำเนินการแยกพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศออกเป็นอิสระ ด้วยเหตุนี้ ‘กลุ่มบีอาร์เอ็น’ จึงใช้ความรุนแรงก่อความไม่สงบอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ทั้งระบุด้วยว่า คาดว่าการก่อการร้ายทางตอนใต้ของประเทศไทยจะเกิดขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนต้องอาศัยอยู่อย่างหวาดกลัว และชีวิตต้องตกอยู่ภายใต้การคุกคามตลอดเวลา โดยรัฐบาลไทยก็จนปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากเป้าหมายสุดท้ายของกลุ่มกองกำลังแบ่งแยกดินแดนมุสลิมเหล่านี้ก็คือต้องการเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐบาล และต้องการปกครองตนเอง หรือกระทั่งต้องการตั้งประเทศของตัวเองเหมือนติมอร์ตะวันออก

นายไชยยงค์ระบุด้วยว่า ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ความผิดพลาดที่สุดของเขาก็คือ ใช้กำลังเข้าจัดการกับกองกำลังแบ่งแยกดินแดนชาวมุสลิมเหล่านี้ ซึ่งการใช้กำลังดังกล่าวในเวลาต่อมาส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับและได้ผลตรงกันข้ามกับที่ต้องการ ก่อให้เกิดการก่อการร้ายมากขึ้น และทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบ

ส่วนรายละเอียดของกองกำลังบีอาร์เอ็นนั้น นายไชยยงค์เปิดเผยว่า ก่อตั้งขึ้นมากว่า 40 ปีแล้ว ทั้งยังมีอายุยาวนานกว่าขบวนการพูโล ทว่า ขาดเป้าหมายที่แน่ชัด อีกทั้งจำนวนสมาชิกไม่ชัดเจน ใช้ประโยชน์จากความเชื่อด้านศาสนาในการชักจูงคนเข้าร่วม โดยเริ่มล้างสมองคนตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงระดับมัธยมศึกษา สมาชิกถูกปลูกฝังแนวความคิดนิยมความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเมื่อพวกเขาอายุครบ 21 ปีจึงกลายเป็นกำลังพลใหม่ที่เข้ามาก่อความรุนแรงต่อไป

“กองกำลังบีอาร์เอ็นไม่มีระบบการจัดการอีกทั้งยังไร้ทิศทาง ซึ่งเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้เมื่อเร็วๆ นี้ เป็นเพียงแค่บีอาร์เอ็นต้องการใช้ความรุนแรงเพื่อแสดงให้สมาชิกเห็นถึงศักยภาพของกองกำลัง ขณะที่ในชีวิตประจำวันเหล่าสมาชิกบีอาร์เอ็นล้วนไม่ได้มีพฤติกรรมเลวร้าย ทุกคนมีงานทำ ภายนอกเป็นประชาชนธรรมดา ต่อเมื่อพวกเขาได้รับคำสั่งจากผู้นำจึงค่อยเปิดฉากก่อการร้ายขึ้น”นายไชยยงค์ให้ข้อมูล

จากประจักษ์พยานดังกล่าว ทำเอาบรรดาลิ่วล้อพรรคเพื่อไทยเงียบเป็นเป่าสากไปตามๆกัน และยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของนายไชยยงค์ ดูจะเข้าเค้าพอเหมาะกับฝ่ายทหาร ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหา ทำให้ได้เห็นข้อมูลบางอย่าง ที่อาจเชื่อมโยงการพูดคุยกับกลุ่มโจรใต้ และที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือยังเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

เริ่มตั้งแต่ "พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา" รองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ว่ากลุ่มก่อเหตุเป็นกลุ่มใหม่หัวรุนแรงที่เป็น สายเหยี่ยวอยู่ในบีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต ซึ่งไม่เห็นด้วยกับแกนนำกลุ่มรุ่นเก่าที่เข้าเจรจากับคนของ ศอ.บต. ดังนั้น จึงมีการยิงเอ็ม 79 เข้าใส่บ้านนายนัจมุดดีน อูมา อดีต ส.ส.นราธิวาส เพราะ พ.ต.อ.ทวี แต่งตั้งนายนัจมุดดีนเป็นที่ปรึกษา

ขณะที่ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผบ.ทบ. ตอบคำถามของสื่อที่ว่า ฝ่ายรัฐบาลเข้าไปพูดคุยกับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นหรือไม่ว่า "มันก็แย่งชิงแกนนำกันในพวกเขาเอง แม้การพูดคุยไม่ได้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่หากคุยแล้วไม่ครบกลุ่มจะเกิดเหตุการณ์ขึ้น เพราะพวกนี้ต้องการสร้างสถานการณ์แย่งชิงแกนนำกันในกลุ่ม โดยใช้ความรุนแรงเข้าต่อสู้แสดงฤทธิ์ เพื่อให้คนในกลุ่มเล็กเข้ามารวมในกลุ่มของตนเอง"

ความหมาย พล.อ.ประยุทธ์ที่ต้องการสื่อให้เห็นก็คือ การเจรจาที่เกิดขึ้น เป็นการเจรจาผิดตัว ไร้ประโยชน์ หรือแม้ว่าจะถูกตัวก็ตาม แต่ก็ยังมีอีกหลายกลุ่มที่ไม่เอาด้วย ก็ยังก่อเหตุอยู่ ซึ่งสะท้อนปัญหาและความจริงที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวว่า หากมีการเจรจาจริง รัฐบาลจะไปเจรจากับใคร มีโจรก่อการร้ายกลุ่มไหนบ้างที่แสดงตัวออกมาให้เห็น เพราะจนถึงทุกวันนี้ ทางการยังเหมือนกับว่ายังไม่รู้จักตัวตน หรือองค์กรใต้ดิน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการแสดงความรับผิดชอบ
แน่นอน คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ทำไม นช.ทักษิณ ถึงต้องลงทุนไปเจรจากับแกนนำกลุ่มโจรใต้บางกลุ่ม เพื่อให้ยุติการก่อเหตุรุนแรงในช่วงเวลานี้ เพราะต้องยอมรับว่า เหตุวินาศกรรมศูนย์การค้าหรูและโรงแรม ลี การ์เดนส์ พลาซ่า ซึ่งตั้งอยู่กลางเมืองหาดใหญ่ ได้ทำเอาเสถียรภาพของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่สู้ดีเลยด้วยซ้ำ ยิ่งกลายเป็นกระตุกเปิดแผลรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า อ่อนด้อยต่อการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปชนิดถอยหลังลงคลอง

มาถึงยุค “ปูนิ่ม” ผ่านมา 7-8 เดือนยิ่งเลวร้ายสุดๆ เพราะนอกจากเธอจะเป็นได้แค่ พริตตี้ ที่แต่งตัวเฉิดฉายไปโชว์ตามงานอีเว้นท์ หรือหมายงานเยือนต่างประเทศแล้ว นอกนั้นคงต้องบอกว่าห่วยแตก ชนิดที่หาคำมาบรรยายเปรียบเทียบไม่ได้เลย ไม่เคยมีการมอบนโยบาย ไม่มีการประชุมเชิงยุทธศาสตร์ให้กับฝ่ายความมั่นคงในฐานะที่ตัวเองเป็น ผอ.กอ.รมน.โดยตำแหน่ง แถมยังโชว์ความรู้เสมือนเด็กอมมือ ด้วยการให้สัมภาษณ์ปล่อยไก่ว่า จังหวัดหาดใหญ่ ออกมาบอกแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ว่ากลุ่มก่อการร้ายเป็นแค่ โจรกลุ่มเล็ก เรียกนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซียว่าเป็นประธานาธิบดี
ทั้งนี้ทั้งนั้น กล่าวสำหรับตัว นช.ทักษิณ เองก็น่าจะพอรู้ศักยภาพน้องสาวตัวเองดีกว่าใคร ประเมินดูแล้วคาดว่าคงจะ "เอาไม่อยู่" ก็เลยต้องไปเจรจาใต้โต๊ะตกลงเรื่องเงินๆทองๆ อย่างที่มีกระแสออกมาอย่างหนาหูนั้นเอง

และว่ากันว่า ในการเจรจามีข้อตกลงใจความสำคัญว่า ตราบใดที่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังครองอำนาจอยู่ ขอให้ร่วมมือลดการก่อเหตุใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้น้อยลงได้หรือไม่ โดยเฉพาะในห้วงปีนี้ ที่นช.ทักษิณ ได้เร่งเกมเตรียมกลับประเทศ

และที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือ ความล้มเหลวในการเจรจาของประมุขรัฐไทยใหม่ได้ทำให้ความรุนแรงขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก โดยล่าสุดหลังเหตุวินาศกรรมที่ลี การ์เดนส์ก็ยังเกิดเหตุรุนแรงตามมาอีก อาทิ การตระเวนเผากล้องวงจรปิดทั่วรามันเสียหาย 21 ตัว เพื่อไม่ให้กล้องจับภาพได้และในวันเดียวกันยังพบ เหตุชาวบ้านถูกฆ่าตายไปถึง 3 คน ที่จังหวัดปัตตานี

สรุปนาทีนี้ ก็ต้องย้ำให้เห็นภาพอีกครั้งว่าความล้มเหลวที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะ เป็นผลงานของรัฐบาลทุกเรื่องล้วนแล้วแต่มาจากต้นตอคือ นช.ทักษิณคนเดียว ที่เป็นตัวการทำให้ไฟใต้โหมแรงมาถึงทุกวันนี้ มาในครั้งนี้ก็ยังไม่เคยเลิกนิสัยเดิมๆ อาศัยวิธีแก้ปัญหาแบบฉาบฉวยใช้การตลาดเพื่อสร้างภาพความสำเร็จ หวังผลทางการเมือง

สุดท้ายบทเรียนครั้งนี้ คงจะสอนให้ นช.ทักษิณ รู้ว่าการแก้ปัญหาแบบอาศัยความฉาบฉวย ใช้เงินแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง อย่างที่ตัวเองถนัด ได้สร้างความเดือดร้อนแก่ รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นทวีคูณด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซ้ำร้ายก็คือ หากปัญหาชายแดนใต้ยังคงโหมกระพือหนักกว่าทุกวันนี้ บางที นช.ทักษิณ คงจะต้องนอนฝันค้างถึงการกลับมาประเทศไทยอีกครั้งไปก่อน ด้วยความโง่เขลาของตัวเองล้วนๆ
รายละเอียดรายงานพิเศษจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์กวงหัว
นายหลี่ เจิ้นเหวย ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์กวงหัวถ่ายภาพกับนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล (สมาชิกสภาที่ปรึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ สภาที่ปรึกษา ศอ.บต.)
กำลังโหลดความคิดเห็น