xs
xsm
sm
md
lg

สีจิ้นผิง ตีเส้นมาตรฐานพรรคจีน

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะจัดประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 18 วาระสำคัญก็คือการเปลี่ยนถ่ายคณะผู้นำพรรคฯ จากชุดปัจจุบันที่มีหูจิ่นเทาเป็นแกนนำ มาเป็นชุดใหม่ที่มีสีจิ้นผิงเป็นแกนนำ

การเปลี่ยนถ่ายลักษณะนี้ จะดำเนินไปในท่ามกลางสายตาชาวโลก ที่กำลังคาดหมายประเทศจีนไปในทิศทางเดียวกัน คือ ขับเคลื่อนตัวเองไปสู่ความสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง ในขณะที่โลกส่วนอื่นยังคงง่วนอยู่กับการแก้ไขปัญหาวิกฤตของตนเอง

ด้วยสถานภาพของความเป็น “ว่าที่” ผู้นำรุ่นใหม่ การขยับเขยื้อนใดๆของสีจิ้นผิง จึงเป็นที่จับตาเป็นพิเศษ เพื่อดูว่าเขาได้ฉายแววแห่งความเป็นผู้นำพรรคการเมืองใหญ่ที่สุดในโลก บริหารประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก อย่างไรบ้าง?

ตามระบบพรรคฯ จีน ที่ได้ยึดปฏิบัติกันเป็นประเพณีแล้วก็คือ เมื่อที่ประชุมสมัชชาพรรคมีมติให้ใครก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำชุดใหม่ ก็จะให้รั้งตำแหน่ง “รอง” ทั้งภายในพรรคและภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งของพรรคและหัวหน้ารัฐบาล เช่นในรุ่นที่แล้ว หูจิ่นเทาและเวินเจียเป่า ถูกวางตัวเป็นรองของเจียงเจ๋อหมินและจูหรงจี และรุ่นนี้ สีจิ้งผิงและหลี่เค่อเฉียง ถูกวางตัวเป็นรองของหูจิ่นเทาและเวินเจียเป่า

ตลอดเวลาห้าปีของการรั้งตำแหน่งรอง คณะผู้นำชุดใหม่จะสามารถเรียนรู้ปัญหาของพรรคฯ และประเทศชาติได้โดยตรง เข้ามีส่วนร่วมกับคณะผู้นำชุดเดิมแก้ไขปัญหาและนำเสนอทางออกได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งสร้างบารมีการเป็นผู้นำได้เป็นอย่างดี ไม่ต่างจากนักวิ่งผลัด สามารถสปีดความเร็วในช่วงรับไม้ต่อจากนักวิ่งคนก่อนได้เกือบเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ การคัดสรรผู้นำภายในพรรคเพื่อให้ได้ “นักวิ่ง” ฝีเท้าจัด จึงสำคัญมาก

ในยุคเหมาเจ๋อตง สามารถคัดสรรขึ้นมาในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ ผู้นำส่วนใหญ่จึงเป็นผู้นำมวลชน มาจากมวลชน ต่อมาในยุคสร้างชาติ โดยเฉพาะยุคเติ้งเสี่ยวผิง ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้นำไว้อย่างชัดเจน ว่าจะต้องมีอุดมการณ์ มีประสบการณ์ มีความรู้ และยังหนุ่มแน่นหรือยังสาว

ต่อมาเจียงเจ๋อหมินได้พัฒนาเป็นทฤษฎี “สามตัวแทน” และหูจิ่นเทาขยายผลด้วยการรณรงค์สร้างพรรคให้มี “ลักษณะก้าวหน้า” และ “จับงานจริง”

มาบัดนี้ สีจิ้นผิงได้นำเสนออย่างชัดเจนแล้วว่า จะต้องสร้างให้เป็นพรรค “สะอาด/บริสุทธิ์”

ในบทความเรื่อง “扎实做好保持党的纯洁性各项工作” (ทำงานจริงๆ จังๆ ในทุกๆ ด้าน เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสะอาดบริสุทธิ์ของพรรค) ที่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สีจิ้นผิงกล่าวว่า การธำรงไว้ซึ่งความสะอาดบริสุทธิ์คือแก่นแท้ของความเป็นพรรคการเมืองลัทธิมาร์กซ์ที่ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะต้องทำให้ได้เสมอ โดยทางด้านความคิดอุดมการณ์ จะต้องยึดมั่นในหลักทฤษฎีปรมาจารย์และชุดทฤษฎีของพรรคฯ ยึดมั่นทางการปฏิบัติ ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริงและหาสัจจะจากความเป็นจริง และยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งที่สวนทางกับลัทธิมาร์กซ์ในทุกๆ ด้าน

ทางด้านการเมือง ยืนหยัดปฏิบัติงานตามแนวทางสร้างชาติที่ถือเอาการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหัวใจ ยึดมั่นในหลักการสังคมนิยม และดำเนินการปฏิรูปอย่างรอบด้านต่อสู้กับความโน้มเอียงใดๆ ที่จะทำให้การปฏิบัติงานไขว้เขวไปจากนี้ ทางจัดตั้ง ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยรวมศูนย์ ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ ระเบียบวินัยพรรคอย่างเคร่งครัด เสริมสร้างความสามัคคีภายในพรรค สร้างมาตรฐานสมาชิกพรรค สำหรับผู้ที่พิสูจน์แล้วว่า ขาดคุณสมบัติของความเป็นสมาชิกพรรค ประพฤติตัวตกต่ำ ก็ให้คัดออกไป

คาดว่า สีจิ้นผิงจะนำเสนอแนวคิดชี้นำลักษณะนี้ออกมาเรื่อยๆ ตลอดห้วงของการทำหน้าที่ผู้นำพรรคและรัฐสังคมนิยมจีน สะท้อนให้เห็นวิธีการนำพรรคและบริหารประเทศของคณะผู้นำจีน ที่มีพัฒนาการมานานเกือบร้อยปี

อาจกล่าวได้ว่า 90 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน 60 ปีของสาธารณรัฐประชาชนจีน และ 30 ปีของการปฏิรูปและเปิดประเทศ ได้พิสูจน์ถึงคุณค่าของการนำแบบใหม่ในประวัติศาสตร์ชาติจีน ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นหัวใจของ “โมเดลจีน”

“โมเดลจีน” ที่มิใช่เพียงแค่แบบอย่างของความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่เป็นแบบอย่างของการสร้างชาติ พลิกประเทศจากสภาวะล้าหลังยากจน มาเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าอย่างรอบด้าน โดยถือเอาการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนเป็นที่ตั้ง

“โมเดลจีน” ที่สามารถ “ตอบโจทย์” ความเรียกร้องต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคมได้อย่างเป็นจริง เกินกว่าศักยภาพโดยรวมของระบอบทุนนิยม ทั้งที่เป็นทุนนิยมเสรีและทุนนิยมสวัสดิการ

ด้วยเหตุนี้เอง ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงยืนยันมาโดยตลอดว่า ระบอบสังคมนิยมเท่านั้น คือทางออกของประเทศจีน และลัทธิมาร์กซ์คือเครื่องมือทางปัญญาที่พวกเขานำมาใช้ได้ผลดีที่สุดในยุคปัจจุบัน

ด้วยลัทธิมาร์กซ์ พวกเขาจึงก่อตั้งพรรคการเมืองชนชั้นกรรมาชีพขึ้นในประเทศจีน นำประชาชนจีนปฏิวัติสังคม และสร้างชีวิตใหม่ กระทั่งกลายเป็นแบบอย่างของการสร้างชาติแบบใหม่ในสายตาชาวโลก

ในห่วงโซ่แห่งพัฒนาการนี้ คณะผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน แสดงบทบาทเป็น “หัวใจ” ของการขับเคลื่อนกระบวนการใหญ่ทั้งหมด

ทั้งนี้ คณะผู้นำพรรคฯ จีน ก็คือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลภายในพรรคที่สามารถนำเสนอแนวทางการเคลื่อนไหวปฏิวัติสังคมในยุคต้นได้อย่างถูกต้อง และบุคคลหรือกลุ่มบุคคลภายในพรรคที่สามารถนำเสนอแนวทางการพัฒนาสร้างสรรค์ได้อย่างถูกต้องในยุคปัจจุบัน

ในยุคต้น เหมาเจ๋อตงนำเสนอแนวทางการปฏิวัติด้วยการทำสงครามประชาชน สร้างเขตปลดปล่อยและฐานที่มั่นในชนบท ดำเนินการปฏิวัติที่ดิน สถาปนาอำนาจรัฐของประชาชน ต่อมาเมื่อปฏิวัติสำเร็จแล้ว ก็นำเสนอแนวทางสร้างชาติด้วยการสร้างสรรค์ระบอบสังคมนิยม และเมื่อพบว่าการสร้างสรรค์สังคมนิยมแบบเดิมๆ มีจุดอ่อน ก็ปรับแนวคิดเสียใหม่ โดยเติ้งเสี่ยวผิงเป็นหัวหอก ดำเนินการปฏิรูปและเปิดประเทศ

ในทุกขั้นตอนที่พรรคจีนประสบความสำเร็จ ก็เป็นเพราะสิ่งที่นำเสนอสอดคล้องกับสภาพเป็นจริง เช่นในยุคต้น ทำการสร้างพรรคให้เป็นพรรคสู้รบ นำมวลชนทำสงคราม ในยุคสร้างชาติ ก็สร้างพรรคให้เป็นพรรคสร้างสรรค์ และเป็นพรรคบริหารประเทศที่มีคุณภาพ “มาตรฐานสากล”

ผู้เขียนไม่มีจุดประสงค์สร้างชาติไทยให้เป็นรัฐสังคมนิยม แต่ประเทศไทยจะก้าวพ้นวิกฤตและพลิกตัวเองไปสู่ความเป็นสังคมอารยะได้จริง ก็หนีไม่พ้นจะต้องสร้างองค์กรนำทางการเมืองที่ “ก้าวหน้า/บริสุทธิ์” ขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจการเมืองในระบอบเผด็จการรัฐสภาให้ได้

เพื่อให้ได้มาซึ่งคณะผู้บริหารประเทศคุณภาพดี มี “มาตรฐานสากล”
กำลังโหลดความคิดเห็น