โดย..นักข่าวชายขอบ
หลายปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ทำให้ย้อนคิดถึงเรื่องราวกว่า 30 ปีก่อน เรื่องของพรรคคอมมิวนิสต์ไทย แม้ว่าผมจะยังอยู่ในวัยเด็กก็ตาม ผู้ใหญ่คุยกันเรื่องนี้กันอยู่เนืองๆ ทำให้มีความอยากรู้อยากเห็น กอปรกับคอการเมืองอย่างผมได้มีโอกาสร่ำเรียนมาก็ทางรัฐศาสตร์มีมาสเตอร์ดีกรีประดับบารมีอยู่ พอที่จะมองการเมืองในยุคนี้ได้ทะลุปรุโปร่งอยู่พอควร
4-5 ปีที่ผ่านมาผมเห็นพัฒนาการทางการเมืองในแง่มุมของความเปลี่ยนแปลงอยู่มากทีเดียว ทั้งก่อนการรัฐประหาร หลังรัฐประหาร จวบจนปัจจุบันที่พรรคเพื่อไทยเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ไปได้อีกครั้ง และยิ่งสื่อหลายสำนักทำแผนที่ออกมาแสดงโซนสีแดง-สีฟ้า ออกมาเมื่อคราวเลือกตั้งเสร็จสิ้นให้เห็นยิ่งทำให้สะท้อนใจทีเดียวเพราะคิดเรื่องนี้อยู่ลึกๆ และเชื่อว่าอีกไม่นานจะเห็นผลผลิตของสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยสายตา นั่นคือ “การผสมพันธุ์กันระหว่างทุนสามานย์ กับคอมมิวนิสต์กลายพันธุ์” ผลผลิตที่ออกมาอีกไม่นานในช่วงชีวิตของพวกเรานี่แหละครับจะได้เห็นกัน
ผมไปสืบค้นข้อความเนื้อหาเรื่องของคอมมิวนิสต์มาจากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี ได้ความว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) (อังกฤษ: Communist Party of Thailand - CPT) เป็นพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย แม้ตามกฎหมายไทย พคท.จะยังไม่ใช่พรรคการเมืองจดทะเบียน เนื่องจากไม่เคยจดทะเบียนจัดตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ในทางปฏิบัติต้องถือว่าเป็นพรรคการเมืองจริง มีอุดมการณ์การเมืองชัดเจนตั้งแต่ก่อตั้ง ดำเนินแนวทางตามลัทธิมาร์กซ์, ลัทธิเลนิน และความคิดเหมาเจ๋อตง
นอกจากนั้น ในอดีตยังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของไทยที่สังกัด พคท.อีกด้วย ได้แก่ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในปัจจุบันถึงแม้จะยังไม่มีการประกาศยุบพรรค แต่ก็มิได้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองแต่อย่างใด ช่วงปี พ.ศ. 2547 มีกระแสข่าวจากหลายสื่อว่า ทางพรรคอาจจะมีการจัดการประชุมสมัชชา พคท.อีกครั้ง (เป็นการประชุมครั้งที่ 5) แต่ก็ไม่เกิดขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2553 พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ได้เปิดเผยอีกครั้งว่าแกนนำ พคท.ได้เข้าครอบงำกลุ่มคนเสื้อแดง (นปช.) และอาจจะมีการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 5
ส่วนประวัติศาสตร์ที่มาของพรรคนี้ สารานุกรมเสรีวิกิพีเดียเพจนี้ยังอธิบายความไว้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เดิมเรียก พรรคคอมมิวนิสต์สยาม เริ่มก่อตั้งโดยโฮจิมินห์ ชาวเวียดนาม ใช้นามแฝงว่า สหายซุง โดยประชุมครั้งแรกแบบลับๆ ที่ โรงแรมตุ้นกี่ หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง เมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2473 โดยแต่งตั้งหลี หรือโงจิ๊งก๊วก เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก และมีตัวแทนสองคนคือ ตัง หรือ เจิ่นวันเจิ๋น และเหล่าโหงว หรืออู่จื้อจือ จนก่อตั้งเป็นรูปร่างเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2485
หลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 ที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีสมาชิกก่อตั้ง 57 คน พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นพรรคแนวอุดมการณ์ ยึดมั่นในลัทธิมาร์กซ์ เลนิน และความคิด “เหมา“” โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสร้างความเสมอภาคทางชนชั้นชี้นำสังคมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ และต่อสู้เอาชนะระบบทุนนิยมด้วยวิธี “ป่าล้อมเมือง”
นั่นเป็นที่มาของป่าล้อมเมืองในยุคเก่าครับ!!
แต่ในยุคนี้สังคมในโลกทุนนิยมได้ก่อกลืนอดีตเหล่านี้หายไปเสียสิ้นแล้ว กระแสของโลกตะวันตกได้ไหลบ่าเข้ามาท่วมท้นดินแดนแห่งโลกตะวันออก วิถีความเป็นไทย ความงดงามแห่งโลกตะวันออกค่อยๆ สูญหายไปเสียสิ้น กระแสทุนนิยมกำลังกลืนทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ได้ถูกเปลี่ยนสภาพกลายเป็นทุนโดยไม่รู้ตัว
ความเป็นมนุษย์นั้นมีสภาพเป็นเพียงเครื่องมือหาได้สร้างความเท่าเทียมเป็นธรรมเช่นอดีตไม่ กระแสทุนนิยม ที่หวังเพียงการประกอบการเพื่อผลกำไร ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเป็นกำไรมากขึ้น กำไรมากอย่างไร้ที่สิ้นสุด โดยมองข้ามทุกอย่างหวังเพียงผลกำไร นั่นคือประโยชน์สูงสุดของบุคคลและองค์กรเท่านั้น จนลุกลามมากลืนกินความเป็น “รัฐ” กาลเวลาเกือบ 40 ปีที่ผ่านมาบุคลในอุดมการณ์ความเป็นคอมมิวนิสต์ไม่ได้สู้เพื่อกรรมาชีพให้มีความเป็นธรรมนี่เท่าเทียมกันอีกแล้ว
ประเทศไทย เมื่อย้อนกลับไป 79 ปีที่แล้ว การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนฐานรากของชนชั้นนำที่แสวงหาความศิวิไลซ์ หมายจะสร้างความทัดเทียมกับนานาประเทศที่มีการปกครองในระบบประชาธิปไตย จึงใช้วิธีการลอกเขามาทั้งดุ้น โดยไม่ได้ดูพื้นผิวลอกมาแล้วจะติดทนแน่น ทนนานหรือไม่ หรือลอกมาแค่เปลือกผิวนอกหาได้ถึงแก่นของความเป็นประชาธิปไตย สิ่งที่ตามมาคือความเสื่อมไปตามด้านมืดของมนุษย์ที่ค่อยๆ แผ่ปกคลุมอย่าน่าสะพรึงกลัวขึ้นทุกวัน ท่ามกลางประชาชนพลเมืองที่อยู่ในสภาพ “โง่ จน เจ็บ” สภาพปัญหาที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ให้คำจำกัดความไว้
ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมาบทบาทความเคลื่อนไหวใครหลายๆ คนซ้อนอยู่บนฉากความเป็นประชาธิปไตย ราวกับฉากบนเวทีลิเก ประสบความสำเร็จซ้อนทับละม้ายคล้ายคลึงกับยุทธวิธี “ล้างสมอง” ขยายมวลชนผนวกกับทุนที่หล่อเลี้ยงเพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้าของทุน
อุดมการณ์คอมมิวนิสต์เนื้อแท้ ยอมที่จะใช้อุดมการณ์เพื่อสมประโยชน์แบบวิน-วิน คือการได้มวลชนสร้างอำนาจการต่อรอง ปรากฎการณ์ชิงเมืองเกิดขึ้นผ่านการคุกคาม ข่มขู่ แม้กระทั่งการเผาเมือง คล้ายกับหลายปีที่แล้วใครขวางอุดมการณ์คือการสังหาร ส่วนเจ้าของทุนได้อำนาจไปครองแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีมวลชนเป็นฐานรากค้ำจุน จิตวิญญาณของอุดมการณ์แห่งลิทธิคอมมิวนิสต์ค่อยๆ หายไป เหลือแต่ซากศพที่พร้อมจะคืนชีพกลายเป็นซอมบี้ไล่ล่าสังหารปฏิปักษ์ วิกฤตการที่ผ่านมายังไม่จบ เพียงแค่การเริ่มต้นสูตรสมการแห่งความวินาศรอบใหม่เท่านั้น
สมการที่ว่าคือ ทุนสามานย์+คอมมิวนิสต์กลายพันธุ์+โง่จนเจ็บ และไป X ด้วยความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่จริง ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ประเทศไทยฉิบหายครับ
ไม่ได้ดูถูกการตัดสินใจ แต่คนเหล่านั้นมีหน้าที่ได้แค่กาบัตรเลือกตั้งเท่านั้น ทุกอย่างยังเป็นไปเหมือนเดิม ไม่มีใครรวยขึ้น คนที่รวยขึ้นมีแต่คนที่อยู่ในสภาทั้งนั้น ผมเชื่อประโยคของอาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งในนครศรีธรรมราช ท่านบอกว่า “ครูเคยถามมัน มันบอกว่าอาจารย์เคยเห็นไหมเงินร้อยล้าน ผมเคยเห็น ผมจับต้องได้” ส่วนผู้ที่คลั่งประชาธิปไตย คลั่ง “สิทธิเสรีภาพ” หลังจากนี้ 1 ปีดูเงินทอง ฐานะ ที่ดิน รถยนต์มีมากขึ้นหรือ แล้วอีกพวกหนึ่งที่ยกย่องให้เป็น “แกนนำ” ผู้คนยังคงต้องยกมือไหว้เหมือนเดิม และมันก็รวยขึ้นกว่าเดิม หรือใครจะเถียงว่าไม่จริง...