ย้อนความหลังอันอัปยศตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญ “หักดิบ” คดีซุกหุ้นทักษิณ ยังผลให้ให้ระบบการเมืองและอำนาจรัฐตกอยู่ใต้อำนาจเถื่อนตลอดมา ไม่ว่าของใคร พรรคก็เถื่อนเกือบทุกพรรค ต่างได้อำนาจมาผิดครรลองกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ และผิดหลักรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย
สักแต่อ้างเลือกตั้ง หาได้ทำให้เกิดความชอบธรรมหรือเป็นประชาธิปไตยไม่ ความเถื่อนในยุครัฐบาลนอมินีของสมัครและสมชายมีอย่างไร ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีอย่างนั้น ซ้ำยังมากขึ้น สมัครกับสมชายไม่ยอมออกกฎหมายแม้แต่ฉบับเดียว และรัฐบาลกลับคุมสภาไว้ใต้อุ้งตีน ซึ่งก็เท่ากับทำลายอำนาจอธิปไตยทางนิติบัญญัติที่พระมหากษัตริย์มอบให้สภาใช้ เพื่อนำไปออกกฎหมายและควบคุมการบริหารของรัฐบาล เพราะ กกต.ตาบอดจึงไม่มีผู้ใดตักเตือนและลงโทษตามกฎหมาย แถมยังมีความผิดอื่นๆ อีกมาก
หากกกต.ทำหน้าที่ก็อยู่จนเลือกตั้งสืบอำนาจไม่ได้ แม้รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็จะไม่เกิด รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็จะไม่ถูกข่มขืนมาเกิดให้ชำเราประเทศไทยด้วยการออกพระราชกำหนดทั้งๆ ที่สภายังเปิดประชุมอยู่และกฎหมายซึ่งล้วนแล้วแต่ผิดหลักนิติธรรม เพราะมุ่งแต่จะฟอกผิดและทำประโยชน์ให้พวกพ้องเป็นส่วนใหญ่
การเลือกตั้งกรกฎาคมยิ่งสารพัดผิด “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” โฆษณาหลอกลวงซื้อแหลกแจกแถมทุกอย่าง แม้คนต่างด้าวคือธนาคารโลกเห็นป้ายโฆษณาถึงกับช็อก บอกสัญญาอย่างนี้ได้อย่างไร ยิ่งเป็นรัฐบาลแล้วขืนทำประเทศชาติล้มละลายแน่ นี่ไม่นับการเอาโจร คนขี้คุก และพวกเผาบ้านเผาเมืองติดคดีคาราคาซังมาสมัคร ดีหน่อยที่ไม่เอามาตั้งเป็น รมช.ยุติธรรม ไม่มียุคใดที่จะเหมือนกับของอดีตนายกฯ ทักษิณและรัฐบาลซากเดนทั้ง 3
ในปี 2551 ผมได้บรรยายความเถื่อนไว้ 10 ประการ ดังนี้
1. รัฐบาลนายสมัครและรัฐบาลนายสมชายเป็นรัฐบาลเถื่อน เพราะจัดตั้งและดำเนินการผิดกฎหมาย
2.พรรคพลังประชาชนและเพื่อไทยเป็นพรรคเถื่อนผิดกฎหมาย เพราะลอกคราบมาจากพรรคไทยรักไทย
3. ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพิจารณาคดีมาตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2548 ก่อน คมช.เกิด (19 ก.ย. 49) ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทยเพราะ “พฤติการณ์ของพรรคไทยรักไทย ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พรรคไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมืองที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองของประเทศโดยรวมได้อีกต่อไป”
4. ศาลยืนยันพยานหลักฐานว่าการกระทำของพรรคไทยรักไทย “เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน”
5. ศาลยังได้ตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคจำนวน 111 คนเป็นเวลา 5 ปี การตัดสิทธินี้ รวมทั้งการจัดตั้งเป็นสมาชิกและดำเนินการในพรรคการเมืองทั้งตรงและอ้อม เพื่อป้องกันมิให้ “การบังคับเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย (ย่อม) ตกเป็นอันไร้ผล”
6. ตั้งแต่ผู้นำพรรคไทยรักไทยได้ไปซื้อหัวของพรรคพลังประชาชนมาดำเนินการ ปรากฏจากเทปหาเสียงของทักษิณ การหาเสียง และการควบคุมชี้นำการดำเนินการของพรรคพลังประชาชนโดยอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเป็นไปโดยฝ่าฝืนคำสั่งของศาลอย่างโจ่งแจ้ง ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้
7. ยิ่งเมื่อมีคำวินิจฉัยของอนุกรรมการ กกต.ว่า พรรคพลังประชาชนคือพรรคต่างหน้าหรือนอมินีของพรรคไทยรักไทย แต่ไม่มีบทบัญญัติใดๆ ให้ลงโทษพรรคนอมินีได้ การกระทำของอดีตผู้บริหารก็ยิ่งโจ่งแจ้งขึ้น ถึงขนาดให้อดีตกรรมการบริหารเข้าไปคุมกิจการของพรรค แบ่งสรรตำแหน่งรัฐมนตรี และรับคำสั่งทักษิณมาดำเนินการอย่างเปิดเผย โดยหาคำนึงถึงคำสั่งศาลที่ยังมีผลอยู่ และหลักกฎหมายตัวการ-ตัวแทนที่มีอยู่ว่า การใดที่ตัวการต้องห้ามว่ากระทำมิได้ ตัวแทนก็ย่อมกระทำมิได้เช่นกัน เรื่องนี้ต้องถือว่า กกต.เป็นผู้สมคบเต็มประตู
8. ในวันที่ 19 ตุลาคม 2549 พรรคพลังประชาชนมีสมาชิกอยู่เพียง 7,840 คน มีกรรมการบริหาร 37 คน และสาขาพรรคเพียง 4 แห่ง เวลาจากวันที่ 19 ตุลาคม-23 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งนั้นนับได้ 64 วัน น่าสงสัยว่าสมาชิกดั้งเดิมของพรรค 7,840 คนนี้ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งกี่คน และผู้สมัครรับเลือกตั้งใหม่มาจากไหน จำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นทำได้อย่างไร เพราะพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองบัญญัติว่าการสมัครเป็นสมาชิกต้องกระทำด้วยตนเอง ณ ที่ทำการพรรคและมีขั้นตอนตามกฎหมาย การเพิ่มจำนวนสมาชิกอย่างรวดเร็วและการสรรหาตัวผู้สมัครตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายย่อมจะเป็นไปได้ด้วยยาก นอกจากการแต่งบัญชีและโยกย้ายสมาชิกมาจากทะเบียนเดิมของพรรคไทยรักไทย โดยนายทะเบียนคนเดียวกันคือนายสมาน เลิศวงศ์รัฐ การกระทำเช่นว่านี้เสี่ยงต่อการปลอมแปลงเอกสารและผิดกฎหมาย
9. นอกจากนั้นการจัดตั้งและแต่งตั้งสมาชิกของพรรคประชาราช มัชฌิมาฯ เพื่อแผ่นดิน และรวมใจไทย-ชาติพัฒนา ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิก กรรมการบริหาร และจำนวนสาขาของพรรคต่างๆ มีดังนี้ มัชฌิมาฯ 20-8-0 เพื่อแผ่นดิน 18-18-0 รวมใจไทย 29-13-0 ในบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล แม้แต่พรรคชาติไทยในเดือนพฤศจิกายน ยังมีข้อมูลพรรคที่ต้องนำไปแก้ไขถึง 893,976 ราย สมาชิกซ้ำซ้อนกับพรรคอื่นถึง 227, 136 ราย
จึงแทบสรุปได้ว่าพรรคเหล่านี้คือแก๊งเลือกตั้งซึ่งยังมิได้ทำตามขั้นตอนของกฎหมายทั้งสิ้น มิหนำซ้ำ ผู้ที่เข้ามาเป็นหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคต่างๆ นอกจากพรรคชาติไทยได้แก่ เสนาะ เทียนทอง สุวิทย์ คุณกิตติ พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร ล้วนแล้วแต่เคยเป็นกรรมการบริหารของพรรคไทยรักไทยทั้งสิ้น น่าจะตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 97 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ตอนหนึ่งมีความว่า
“ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป จะจดแจ้งตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกมิได้”
10. กรณีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งต้องกล่าวหาและถูกเร่งให้รับตำแหน่งประธานสภาเพื่อรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มีพิรุธทำให้ต้องวิเคราะห์การกระทำหรืองดเว้นการกระทำของ กกต.หลายประการ นอกจากจะเร่งแล้ว เมื่อนายยงยุทธซึ่งเป็นหัวหน้าทีมผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชาชนได้ใบแดงแล้ว ทำไมนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งอยู่เบอร์เดียวกันและได้ประโยชน์จากคะแนนซื้อเสียงของนายยงยุทธด้วยจึงลอยนวลอยู่ได้ ความรู้และความสามารถในการใช้กฎหมายทั่วไปและกฎหมายเลือกตั้งของ กกต.สมควรได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจัง
นั่นก็เป็นเรื่องของสมัคร สมชาย แต่เรื่องของยิ่งลักษณ์ซึ่งโจ่งแจ้งและพิสดารกว่ายังมีอีก
เมืองไทยจึงตกอยู่ภายใต้การโกงกินอย่างมหาศาลมโหฬารของนักการเมือง เกิดการ “ทำลายกฎหมาย” “ทำลายความยุติธรรม” จากทุกกระทรวง ทบวง กรม ทุกจังหวัด ทุกพื้นที่อย่างไม่มียางอาย
บรรดาคนที่หลับตามองไม่เห็น ไม่เว้นแม้แต่พลเอก ผู้บัญชาการทหาร ซี 11 ปลัดกระทรวง ศาสตราจารย์ อาจารย์รัฐศาสตร์ ปราชญ์กฎหมาย ปริญญาโท-เอก รวมทั้งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งผู้เขียนขอเรียกว่าพวก “ครึ่งแรก” และพวก “ครึ่งหลัง” ที่เป็นชาวนา ภารโรง ผู้ขายแรงงาน โสเภณี จบชั้น ป. 4 หรือไม่รู้หนังสือเลย ล้วนแต่มีข้ออ้างและคำตอบเดียวกันหมด คือ รัฐบาลเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมตามกฎหมาย มีที่มาที่ไปจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง ผมไม่โทษพวกครึ่งหลัง
แต่ขออนุญาตครับ ถุย ถุย ถุย เฉพาะพวกครึ่งแรกและเป็นกลาง และ ถุย ถุย ถุย ถุย เป็นพิเศษสำหรับห้าปีรับพวกที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
ผมถุยมาห้าปี ชะรอยจะมีคนเริ่มได้ยิน อย่างน้อยการเปิดเวทีของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ที่ธรรมศาสตร์เมื่อ 6 กุมภาพันธ์นี้ ก็ยืนยันแล้วว่า เมืองไทยตกอยู่ในเงื้อมมือทุนนิยมเผด็จการผูกขาดอำนาจด้วยเงิน และเพื่อหาเงินและอำนาจให้พวกพ้องมากยิ่งขึ้น
คำถามคือ หนูตัวไหนจะเอากระพรวนไปผูกคอแมว หรือหมาตัวไหนจะเลิกกินขี้โดยสมัครใจ
สักแต่อ้างเลือกตั้ง หาได้ทำให้เกิดความชอบธรรมหรือเป็นประชาธิปไตยไม่ ความเถื่อนในยุครัฐบาลนอมินีของสมัครและสมชายมีอย่างไร ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีอย่างนั้น ซ้ำยังมากขึ้น สมัครกับสมชายไม่ยอมออกกฎหมายแม้แต่ฉบับเดียว และรัฐบาลกลับคุมสภาไว้ใต้อุ้งตีน ซึ่งก็เท่ากับทำลายอำนาจอธิปไตยทางนิติบัญญัติที่พระมหากษัตริย์มอบให้สภาใช้ เพื่อนำไปออกกฎหมายและควบคุมการบริหารของรัฐบาล เพราะ กกต.ตาบอดจึงไม่มีผู้ใดตักเตือนและลงโทษตามกฎหมาย แถมยังมีความผิดอื่นๆ อีกมาก
หากกกต.ทำหน้าที่ก็อยู่จนเลือกตั้งสืบอำนาจไม่ได้ แม้รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็จะไม่เกิด รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็จะไม่ถูกข่มขืนมาเกิดให้ชำเราประเทศไทยด้วยการออกพระราชกำหนดทั้งๆ ที่สภายังเปิดประชุมอยู่และกฎหมายซึ่งล้วนแล้วแต่ผิดหลักนิติธรรม เพราะมุ่งแต่จะฟอกผิดและทำประโยชน์ให้พวกพ้องเป็นส่วนใหญ่
การเลือกตั้งกรกฎาคมยิ่งสารพัดผิด “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” โฆษณาหลอกลวงซื้อแหลกแจกแถมทุกอย่าง แม้คนต่างด้าวคือธนาคารโลกเห็นป้ายโฆษณาถึงกับช็อก บอกสัญญาอย่างนี้ได้อย่างไร ยิ่งเป็นรัฐบาลแล้วขืนทำประเทศชาติล้มละลายแน่ นี่ไม่นับการเอาโจร คนขี้คุก และพวกเผาบ้านเผาเมืองติดคดีคาราคาซังมาสมัคร ดีหน่อยที่ไม่เอามาตั้งเป็น รมช.ยุติธรรม ไม่มียุคใดที่จะเหมือนกับของอดีตนายกฯ ทักษิณและรัฐบาลซากเดนทั้ง 3
ในปี 2551 ผมได้บรรยายความเถื่อนไว้ 10 ประการ ดังนี้
1. รัฐบาลนายสมัครและรัฐบาลนายสมชายเป็นรัฐบาลเถื่อน เพราะจัดตั้งและดำเนินการผิดกฎหมาย
2.พรรคพลังประชาชนและเพื่อไทยเป็นพรรคเถื่อนผิดกฎหมาย เพราะลอกคราบมาจากพรรคไทยรักไทย
3. ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพิจารณาคดีมาตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2548 ก่อน คมช.เกิด (19 ก.ย. 49) ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทยเพราะ “พฤติการณ์ของพรรคไทยรักไทย ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พรรคไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมืองที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองของประเทศโดยรวมได้อีกต่อไป”
4. ศาลยืนยันพยานหลักฐานว่าการกระทำของพรรคไทยรักไทย “เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน”
5. ศาลยังได้ตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคจำนวน 111 คนเป็นเวลา 5 ปี การตัดสิทธินี้ รวมทั้งการจัดตั้งเป็นสมาชิกและดำเนินการในพรรคการเมืองทั้งตรงและอ้อม เพื่อป้องกันมิให้ “การบังคับเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย (ย่อม) ตกเป็นอันไร้ผล”
6. ตั้งแต่ผู้นำพรรคไทยรักไทยได้ไปซื้อหัวของพรรคพลังประชาชนมาดำเนินการ ปรากฏจากเทปหาเสียงของทักษิณ การหาเสียง และการควบคุมชี้นำการดำเนินการของพรรคพลังประชาชนโดยอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเป็นไปโดยฝ่าฝืนคำสั่งของศาลอย่างโจ่งแจ้ง ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้
7. ยิ่งเมื่อมีคำวินิจฉัยของอนุกรรมการ กกต.ว่า พรรคพลังประชาชนคือพรรคต่างหน้าหรือนอมินีของพรรคไทยรักไทย แต่ไม่มีบทบัญญัติใดๆ ให้ลงโทษพรรคนอมินีได้ การกระทำของอดีตผู้บริหารก็ยิ่งโจ่งแจ้งขึ้น ถึงขนาดให้อดีตกรรมการบริหารเข้าไปคุมกิจการของพรรค แบ่งสรรตำแหน่งรัฐมนตรี และรับคำสั่งทักษิณมาดำเนินการอย่างเปิดเผย โดยหาคำนึงถึงคำสั่งศาลที่ยังมีผลอยู่ และหลักกฎหมายตัวการ-ตัวแทนที่มีอยู่ว่า การใดที่ตัวการต้องห้ามว่ากระทำมิได้ ตัวแทนก็ย่อมกระทำมิได้เช่นกัน เรื่องนี้ต้องถือว่า กกต.เป็นผู้สมคบเต็มประตู
8. ในวันที่ 19 ตุลาคม 2549 พรรคพลังประชาชนมีสมาชิกอยู่เพียง 7,840 คน มีกรรมการบริหาร 37 คน และสาขาพรรคเพียง 4 แห่ง เวลาจากวันที่ 19 ตุลาคม-23 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งนั้นนับได้ 64 วัน น่าสงสัยว่าสมาชิกดั้งเดิมของพรรค 7,840 คนนี้ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งกี่คน และผู้สมัครรับเลือกตั้งใหม่มาจากไหน จำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นทำได้อย่างไร เพราะพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองบัญญัติว่าการสมัครเป็นสมาชิกต้องกระทำด้วยตนเอง ณ ที่ทำการพรรคและมีขั้นตอนตามกฎหมาย การเพิ่มจำนวนสมาชิกอย่างรวดเร็วและการสรรหาตัวผู้สมัครตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายย่อมจะเป็นไปได้ด้วยยาก นอกจากการแต่งบัญชีและโยกย้ายสมาชิกมาจากทะเบียนเดิมของพรรคไทยรักไทย โดยนายทะเบียนคนเดียวกันคือนายสมาน เลิศวงศ์รัฐ การกระทำเช่นว่านี้เสี่ยงต่อการปลอมแปลงเอกสารและผิดกฎหมาย
9. นอกจากนั้นการจัดตั้งและแต่งตั้งสมาชิกของพรรคประชาราช มัชฌิมาฯ เพื่อแผ่นดิน และรวมใจไทย-ชาติพัฒนา ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิก กรรมการบริหาร และจำนวนสาขาของพรรคต่างๆ มีดังนี้ มัชฌิมาฯ 20-8-0 เพื่อแผ่นดิน 18-18-0 รวมใจไทย 29-13-0 ในบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล แม้แต่พรรคชาติไทยในเดือนพฤศจิกายน ยังมีข้อมูลพรรคที่ต้องนำไปแก้ไขถึง 893,976 ราย สมาชิกซ้ำซ้อนกับพรรคอื่นถึง 227, 136 ราย
จึงแทบสรุปได้ว่าพรรคเหล่านี้คือแก๊งเลือกตั้งซึ่งยังมิได้ทำตามขั้นตอนของกฎหมายทั้งสิ้น มิหนำซ้ำ ผู้ที่เข้ามาเป็นหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคต่างๆ นอกจากพรรคชาติไทยได้แก่ เสนาะ เทียนทอง สุวิทย์ คุณกิตติ พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร ล้วนแล้วแต่เคยเป็นกรรมการบริหารของพรรคไทยรักไทยทั้งสิ้น น่าจะตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 97 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ตอนหนึ่งมีความว่า
“ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป จะจดแจ้งตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกมิได้”
10. กรณีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งต้องกล่าวหาและถูกเร่งให้รับตำแหน่งประธานสภาเพื่อรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มีพิรุธทำให้ต้องวิเคราะห์การกระทำหรืองดเว้นการกระทำของ กกต.หลายประการ นอกจากจะเร่งแล้ว เมื่อนายยงยุทธซึ่งเป็นหัวหน้าทีมผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชาชนได้ใบแดงแล้ว ทำไมนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งอยู่เบอร์เดียวกันและได้ประโยชน์จากคะแนนซื้อเสียงของนายยงยุทธด้วยจึงลอยนวลอยู่ได้ ความรู้และความสามารถในการใช้กฎหมายทั่วไปและกฎหมายเลือกตั้งของ กกต.สมควรได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจัง
นั่นก็เป็นเรื่องของสมัคร สมชาย แต่เรื่องของยิ่งลักษณ์ซึ่งโจ่งแจ้งและพิสดารกว่ายังมีอีก
เมืองไทยจึงตกอยู่ภายใต้การโกงกินอย่างมหาศาลมโหฬารของนักการเมือง เกิดการ “ทำลายกฎหมาย” “ทำลายความยุติธรรม” จากทุกกระทรวง ทบวง กรม ทุกจังหวัด ทุกพื้นที่อย่างไม่มียางอาย
บรรดาคนที่หลับตามองไม่เห็น ไม่เว้นแม้แต่พลเอก ผู้บัญชาการทหาร ซี 11 ปลัดกระทรวง ศาสตราจารย์ อาจารย์รัฐศาสตร์ ปราชญ์กฎหมาย ปริญญาโท-เอก รวมทั้งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งผู้เขียนขอเรียกว่าพวก “ครึ่งแรก” และพวก “ครึ่งหลัง” ที่เป็นชาวนา ภารโรง ผู้ขายแรงงาน โสเภณี จบชั้น ป. 4 หรือไม่รู้หนังสือเลย ล้วนแต่มีข้ออ้างและคำตอบเดียวกันหมด คือ รัฐบาลเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมตามกฎหมาย มีที่มาที่ไปจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง ผมไม่โทษพวกครึ่งหลัง
แต่ขออนุญาตครับ ถุย ถุย ถุย เฉพาะพวกครึ่งแรกและเป็นกลาง และ ถุย ถุย ถุย ถุย เป็นพิเศษสำหรับห้าปีรับพวกที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
ผมถุยมาห้าปี ชะรอยจะมีคนเริ่มได้ยิน อย่างน้อยการเปิดเวทีของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ที่ธรรมศาสตร์เมื่อ 6 กุมภาพันธ์นี้ ก็ยืนยันแล้วว่า เมืองไทยตกอยู่ในเงื้อมมือทุนนิยมเผด็จการผูกขาดอำนาจด้วยเงิน และเพื่อหาเงินและอำนาจให้พวกพ้องมากยิ่งขึ้น
คำถามคือ หนูตัวไหนจะเอากระพรวนไปผูกคอแมว หรือหมาตัวไหนจะเลิกกินขี้โดยสมัครใจ