ถ้าหากประเทศประสบอุทกภัย รัฐบาลซึ่งมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นหุ่นเชิด ก็คงจะปฏิบัติการรับใช้ ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่แรกแม้จะผ่านไป 2-3 เดือน ภารกิจที่จะต้องรับใช้ทักษิณ ก็จะเริ่มขึ้น แม้ในช่วงที่ประเทศประสบอุทกภัยจะมีความพยายามบ้าง และยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะชาวบ้านรู้ทัน เช่น จะอาศัยช่วงที่มีการพระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณได้รับประโยชน์ด้วย เสียงคัดค้านก็กระหึ่มขึ้น
บัดนี้อุทกภัยผ่านไปแล้ว รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์บริหารประเทศมาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว ผู้คนเริ่มเห็นความไม่ประสีประสาทางการเมืองของเธอมากขึ้น ขืนทอดเวลานานออกไป การณ์ทั้งหลายที่คาดหมายเอาไว้จะไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้ทักษิณ จึงได้เสนอแนวทางปรองดองออกมา นั่นก็คือ
1. คดีทางการเมืองจะทำอย่างไร เช่น การยุบพรรค การตัดสิทธิทางการเมืองของบ้านเลขที่ 111 และ 109 เพราะกฎหมายไม่เป็นธรรม นั่นคือมาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญ
2. คดีอาญาที่ต่อเนื่องหลายคดีที่เริ่มด้วยการเอาคนที่เป็นปฏิปักษ์ และมีอคติกับทักษิณมาสอบ คือ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.)
3. เรื่องยึดทรัพย์ 4 หมื่นกว่าล้านบาทของทักษิณยุติธรรมแล้วหรือ เพราะคำพิพากษายึดทรัพย์ตัดแบ่งนับตั้งแต่ทรัพย์ในวันที่เป็นนายกฯ ยึดหมด วันที่เป็นนายกฯ หุ้นขึ้นโดยธรรมชาติแล้วถูกยึดไปด้วย สมมติว่า ทักษิณโกง อย่างน้อยก็ควรให้ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง
4. การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม คิดว่ามีหลายคดีที่เห็นแล้วไม่สบายใจ ต้องมาคุยกัน
5. เป็นเรื่องคดีความของทั้งสองฝ่าย ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง จะทำอย่างไร
6. การแก้ไขรัฐธรรมนูญคิดว่าควรกลับไปสู่ฐานรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือนำฉบับปี 2540 มาใช้ก็จะปลดเงื่อนไขการยุบพรรคตามาตรา 237 ไปด้วย
ทั้ง 6 ประเด็นนี้คือ ความมุ่งมาดปรารถนาของทักษิณตลอดมา
การเคลื่อนไหวจนกระทั่งเกิดการเผาบ้านเผาเมือง เผาสถานที่ราชการในปี 2552 และ 2553 โดยที่ทักษิณอยู่เบื้องหลังก็เพื่อให้ทั้ง 6 ข้อของทักษิณบรรลุเป้าหมาย ทักษิณจะเอาคำว่า ยุติธรรม ความเป็นธรรม ประชาธิปไตย มาเป็นข้อเรียกร้อง ทั้งที่ยุติธรรม ความเป็นธรรม หรือประชาธิปไตยที่เขาเรียกร้องนี้ในช่วงเวลาที่เขามีอำนาจ เขาก็ไม่เคยมีความยุติธรรม ความเป็นธรรมให้ใคร ความผิดของเขาก็จะเป็นเพียงความผิดเล็กๆ ผิดโดยสุจริต
ถ้าศาลตัดสินให้เขาชนะจึงจะเป็นการตัดสินที่ถูกต้องเป็นธรรม ถ้าให้เขาผิดถือว่า ไม่เป็นธรรม ไม่ถูกต้อง หรือประชาธิปไตยที่เขาพูดถึง เป็นประชาธิปไตยที่เขาจะต้องมีอำนาจเหนือคนอื่นคนเดียว พรรคการเมืองของเขาจะต้องเป็นใหญ่ด้วยการซื้อนักการเมือง กลุ่มการเมืองควบรวมพรรคการเมืองเล็กเข้ามาไว้กับพรรคของเขา
ข้อเรียกร้องทั้ง 6 ข้อนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความคิดที่จะเอาแต่ได้ของทักษิณ เขาและบรรดาลิ่วล้อ ลูกแหล่งของเขาจะพูดเสมอว่า การเอาผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับทักษิณมาเป็น คตส.ตรวจสอบทักษิณ ไม่เป็นธรรมกับทักษิณ แต่พวกเขาจะไม่พูดถึงสิ่งที่ คตส.ตรวจสอบพบนั้นเป็นจริงหรือไม่จริง อย่างกรณีซื้อที่ดินรัชดาฯ ให้ใครมาตรวจสอบก็จะได้ความจริงเหมือนกันหมดว่า ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ให้เมียซื้อที่ดินดังกล่าว ที่ดินผืนนั้นเดิมราคา 2,000 กว่าล้านบาท เมียทักษิณซื้อได้ไม่เกิน 800 ล้านบาท เดิมที่ดินตรงนั้นห้ามสร้างตึกสูง เมื่อเมียทักษิณซื้อได้เรียบร้อยแล้ว ข้อห้ามดังกล่าวยกเลิก ทักษิณให้วันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันทำงาน ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันส่งท้ายปี เป็นวันหยุดที่ทักษิณซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีให้เป็นวันทำงานพราะเกรงว่าเมียจะโอนที่ดังกล่าวไม่ทันในปีนั้น จะเสียภาษีเพิ่มขึ้น การที่ทักษิณให้เมียซื้อที่ดินดังกล่าว กฎหมาย ป.ป.ช.เขียนห้ามไว้ ทักษิณจึงมีความผิด
อนึ่ง ต้องไม่ลืมว่าเมื่อ คตส.ตรวจสอบแล้ว คตส.ต้องส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง หรือแม้หากอัยการไม่สั่งฟ้อง คตส.ฟ้องเอง ก็ต้องผ่านการพิจารณาของศาล มีหลายคดีที่อัยการหรือ คตส.ฟ้อง ศาลยกฟ้องก็มี ทักษิณ และบริษัทบริวารของทักษิณจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ศาลไม่เป็นธรรม ก็แต่เฉพาะที่ศาลลงโทษทักษิณ เมียทักษิณเท่านั้น
ความถูกต้อง ความเป็นธรรม หรือประชาธิปไตยที่ทักษิณพูดถึงก็แต่เฉพาะที่พวกเขาได้ประโยชน์ เช่น ประชาธิปไตยที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ทั้งที่องค์ประกอบก็ไม่ต่างจากรัฐบาลอื่น มีพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลก็เหมือนๆ กัน มีการใช้อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรมเหมือนๆ กัน
ความจริงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงความสามัคคีปรองดอง หรือแสวงหารูปแบบกันให้วุ่นวายเลย เพียงแต่ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย ไม่ว่าเสื้อสีใดทำผิดก็ดำเนินคดีไปตามตัวบทกฎหมายเรื่องก็จบ ประเทศก็ไม่ต้องวุ่นวาย
มาตรา 237 ที่ทักษิณบอกว่าเป็นต้นตอของการยุบพรรคนั้น เขาเขียนเอาไว้ชัดเจน ผู้สมัครรับเลือกตั้ง กรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ให้ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ถ้าหากทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ลงโทษ ศาลฎีกาแผนกเลือกตั้งก็ลงโทษ ศาลรัฐธรรมนูญก็ลงโทษ
ถ้าหากไม่ทำผิด เขาก็ไม่ลงโทษ หรือลงโทษไม่ได้
บอกหน่อยได้ไหมละว่า 111 และ 109 ที่เขาลงโทษนั้น เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เป็นกรรมการบริหารพรรคร่วมกับกรรมการบริหารพรรคที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
บัดนี้อุทกภัยผ่านไปแล้ว รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์บริหารประเทศมาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว ผู้คนเริ่มเห็นความไม่ประสีประสาทางการเมืองของเธอมากขึ้น ขืนทอดเวลานานออกไป การณ์ทั้งหลายที่คาดหมายเอาไว้จะไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้ทักษิณ จึงได้เสนอแนวทางปรองดองออกมา นั่นก็คือ
1. คดีทางการเมืองจะทำอย่างไร เช่น การยุบพรรค การตัดสิทธิทางการเมืองของบ้านเลขที่ 111 และ 109 เพราะกฎหมายไม่เป็นธรรม นั่นคือมาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญ
2. คดีอาญาที่ต่อเนื่องหลายคดีที่เริ่มด้วยการเอาคนที่เป็นปฏิปักษ์ และมีอคติกับทักษิณมาสอบ คือ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.)
3. เรื่องยึดทรัพย์ 4 หมื่นกว่าล้านบาทของทักษิณยุติธรรมแล้วหรือ เพราะคำพิพากษายึดทรัพย์ตัดแบ่งนับตั้งแต่ทรัพย์ในวันที่เป็นนายกฯ ยึดหมด วันที่เป็นนายกฯ หุ้นขึ้นโดยธรรมชาติแล้วถูกยึดไปด้วย สมมติว่า ทักษิณโกง อย่างน้อยก็ควรให้ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง
4. การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม คิดว่ามีหลายคดีที่เห็นแล้วไม่สบายใจ ต้องมาคุยกัน
5. เป็นเรื่องคดีความของทั้งสองฝ่าย ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง จะทำอย่างไร
6. การแก้ไขรัฐธรรมนูญคิดว่าควรกลับไปสู่ฐานรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือนำฉบับปี 2540 มาใช้ก็จะปลดเงื่อนไขการยุบพรรคตามาตรา 237 ไปด้วย
ทั้ง 6 ประเด็นนี้คือ ความมุ่งมาดปรารถนาของทักษิณตลอดมา
การเคลื่อนไหวจนกระทั่งเกิดการเผาบ้านเผาเมือง เผาสถานที่ราชการในปี 2552 และ 2553 โดยที่ทักษิณอยู่เบื้องหลังก็เพื่อให้ทั้ง 6 ข้อของทักษิณบรรลุเป้าหมาย ทักษิณจะเอาคำว่า ยุติธรรม ความเป็นธรรม ประชาธิปไตย มาเป็นข้อเรียกร้อง ทั้งที่ยุติธรรม ความเป็นธรรม หรือประชาธิปไตยที่เขาเรียกร้องนี้ในช่วงเวลาที่เขามีอำนาจ เขาก็ไม่เคยมีความยุติธรรม ความเป็นธรรมให้ใคร ความผิดของเขาก็จะเป็นเพียงความผิดเล็กๆ ผิดโดยสุจริต
ถ้าศาลตัดสินให้เขาชนะจึงจะเป็นการตัดสินที่ถูกต้องเป็นธรรม ถ้าให้เขาผิดถือว่า ไม่เป็นธรรม ไม่ถูกต้อง หรือประชาธิปไตยที่เขาพูดถึง เป็นประชาธิปไตยที่เขาจะต้องมีอำนาจเหนือคนอื่นคนเดียว พรรคการเมืองของเขาจะต้องเป็นใหญ่ด้วยการซื้อนักการเมือง กลุ่มการเมืองควบรวมพรรคการเมืองเล็กเข้ามาไว้กับพรรคของเขา
ข้อเรียกร้องทั้ง 6 ข้อนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความคิดที่จะเอาแต่ได้ของทักษิณ เขาและบรรดาลิ่วล้อ ลูกแหล่งของเขาจะพูดเสมอว่า การเอาผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับทักษิณมาเป็น คตส.ตรวจสอบทักษิณ ไม่เป็นธรรมกับทักษิณ แต่พวกเขาจะไม่พูดถึงสิ่งที่ คตส.ตรวจสอบพบนั้นเป็นจริงหรือไม่จริง อย่างกรณีซื้อที่ดินรัชดาฯ ให้ใครมาตรวจสอบก็จะได้ความจริงเหมือนกันหมดว่า ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ให้เมียซื้อที่ดินดังกล่าว ที่ดินผืนนั้นเดิมราคา 2,000 กว่าล้านบาท เมียทักษิณซื้อได้ไม่เกิน 800 ล้านบาท เดิมที่ดินตรงนั้นห้ามสร้างตึกสูง เมื่อเมียทักษิณซื้อได้เรียบร้อยแล้ว ข้อห้ามดังกล่าวยกเลิก ทักษิณให้วันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันทำงาน ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันส่งท้ายปี เป็นวันหยุดที่ทักษิณซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีให้เป็นวันทำงานพราะเกรงว่าเมียจะโอนที่ดังกล่าวไม่ทันในปีนั้น จะเสียภาษีเพิ่มขึ้น การที่ทักษิณให้เมียซื้อที่ดินดังกล่าว กฎหมาย ป.ป.ช.เขียนห้ามไว้ ทักษิณจึงมีความผิด
อนึ่ง ต้องไม่ลืมว่าเมื่อ คตส.ตรวจสอบแล้ว คตส.ต้องส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง หรือแม้หากอัยการไม่สั่งฟ้อง คตส.ฟ้องเอง ก็ต้องผ่านการพิจารณาของศาล มีหลายคดีที่อัยการหรือ คตส.ฟ้อง ศาลยกฟ้องก็มี ทักษิณ และบริษัทบริวารของทักษิณจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ศาลไม่เป็นธรรม ก็แต่เฉพาะที่ศาลลงโทษทักษิณ เมียทักษิณเท่านั้น
ความถูกต้อง ความเป็นธรรม หรือประชาธิปไตยที่ทักษิณพูดถึงก็แต่เฉพาะที่พวกเขาได้ประโยชน์ เช่น ประชาธิปไตยที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ทั้งที่องค์ประกอบก็ไม่ต่างจากรัฐบาลอื่น มีพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลก็เหมือนๆ กัน มีการใช้อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรมเหมือนๆ กัน
ความจริงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงความสามัคคีปรองดอง หรือแสวงหารูปแบบกันให้วุ่นวายเลย เพียงแต่ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย ไม่ว่าเสื้อสีใดทำผิดก็ดำเนินคดีไปตามตัวบทกฎหมายเรื่องก็จบ ประเทศก็ไม่ต้องวุ่นวาย
มาตรา 237 ที่ทักษิณบอกว่าเป็นต้นตอของการยุบพรรคนั้น เขาเขียนเอาไว้ชัดเจน ผู้สมัครรับเลือกตั้ง กรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ให้ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ถ้าหากทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ลงโทษ ศาลฎีกาแผนกเลือกตั้งก็ลงโทษ ศาลรัฐธรรมนูญก็ลงโทษ
ถ้าหากไม่ทำผิด เขาก็ไม่ลงโทษ หรือลงโทษไม่ได้
บอกหน่อยได้ไหมละว่า 111 และ 109 ที่เขาลงโทษนั้น เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เป็นกรรมการบริหารพรรคร่วมกับกรรมการบริหารพรรคที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง