ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ท่วมกลางมหาอุทกภัยที่กำลังทำความเสียหายอย่างมหาศาลให้ประเทศอยู่ในขณะนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าสื่อมวลชน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็มักให้สัมภาษณ์ว่า ขอให้ทุกฝ่ายเลิกแบ่งพวกแบ่งสี เลิกเล่นการเมือง แล้วมาช่วยกันแก้ไขปัญหาวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้น
แต่ลับหลังไปไม่ทันไร ส.ส.ฟากพรรคเพื่อไทย รวมทั้งคนเสื้อแดง ก็ถือโอกาสกล่าวโจมตีฝ่ายตรงข้ามโดยทันที
ทั้งกรณีการเก็บกักน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทางภาคเหนือ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานครในครั้งนี้ ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยยังคงเปิดโต๊ะแถลงข่าว โจมตีกล่าวหาว่า เป็นเพราะรัฐบาลชุดก่อนสั่งให้มีการเก็บกักน้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์มากเกินไปเพื่อปล่อยออกมาสร้างความเสียหายในช่วงรัฐบาลชุดนี้
ถึงแม้ว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์จะออกมาตอบโต้พร้อมนำข้อมูลปริมาณการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ เปรียบเทียบกันตั้งแต่ช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาจนถึงช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มาเปิดเผยอย่างน้อง 3 ครั้ง โดยนายเจ๊ะอามิง โต๊ะตาหยง รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยเงา เมื่อวันที่ 1 พ.ย. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง เมื่อวันที่ 2 พ.ย. และนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรค เมื่อวันที่ 3 พ.ย.
ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ได้ชี้แจงข้อมูลต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ถึงการเก็บกักและการปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ว่า อยู่ในกรอบของ “เกณฑ์ควบคุมระดับน้ำ”มาโดยตลอด ซึ่งในช่วงรัฐบาลชุดก่อนนั้น ปริมาณน้ำในเขื่อนยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ปริมาณน้ำในเขื่อนได้เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน เนื่องจากมีพายุเข้ามาต่อเนื่องกัน 4 ลูก และเขื่อนทั้งสองแห่งจำเป็นต้องกักเก็บน้ำเอาไว้เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคกลางซึ่งอยู่ตอนล่างของเขื่อน และมาเร่งระบายออกช่วงเดือนตุลาคมเมื่อปริมาณน้ำเกินความจุของเขื่อนแล้ว
ข้อมูลจาก กฟผ.จึงน่าจะเป็นคำตอบได้ว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั้งสองแห่งเพิ่มขึ้นมากในช่วงรัฐบาลใด ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2554
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 8 พ.ย.โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำสถิติน้ำในเขื่อน 6 แห่งช่วงเดือนมกราคม-วันที่ 7 พฤศจิกายน 2554 มาแสดงต่อสื่อมวลชน ประกอบด้วย เขื่อนวชิราลงกรณ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนสิรินธร เขื่อนอุบลรัตน์ และเขื่อนน้ำพุง เพื่อเป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ บริหารจัดการน้ำไม่มีประสิทธิภาพ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาตอบโต้ทันทีว่า นายชวนนท์ ไม่กล้านำข้อมูลการกักน้ำของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์มามาเปิดเผย เป็นการต่อปากต่อคำเพื่อโยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้ามกันไม่จบไม่สิ้น
ขณะที่มวลน้ำรุกคืบสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และประชาชนผู้เดือดร้อนควรจะได้รับความช่วยเหลือย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนเสื้อสีไหน รวมทั้งคนทุกกลุ่มต้องร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ แต่คนเสื้อแดงกลับยังคงเดินหน้าเปิด “หมู่บ้านแดง”ในต่างจังหวัด เพื่อขยายเครือข่ายคนเสื้อแดงออกไปเรื่อยๆ
ที่เลวร้ายกว่านั้น คือมีการฝังหัวคนเสื้อแดงให้เกลียดชังฝ่ายตรงข้ามและคนกลุ่มอื่นให้มากยิ่งขึ้น ด้วยการบิดเบือนข้อมูล
ยกตัวอย่างการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่หมู่บ้านป่ายางมน หมู่ที่ 2 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ซึ่งมีนายแพทย์ประสงค์ บูรณ์พงศ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนที่อยู่ระหว่างถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี อันเนื่องจากคดียุบพรรค มาเป็นประธานในพิธีเปิด และมีแกนนำคนเสื้อแดงหลายคน เช่น นางดารุณี กฤตบุญญาลัย นายอานนท์ แสนน่าน คนเสื้อแดงอุดรธานี นายจิรายุส เนาวเกตุ อดีต ส.ส.สตูล เป็นต้น
ในพิธีเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงวันนั้น ยังคงมีการโฆษณาช่วนเชื่อฝังหัวคนเสื้อแดงด้วยวาทกรรมเดิมๆ โดยนายแพทย์ประสงค์ กล่าวว่า “ประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดินโดยต้องโยกย้ายข้าราชการได้ และเมื่อย้ายข้าราชการได้ ก็ต้องย้ายทหารได้ โดยในต่างประเทศถึงขั้นให้สภาประชาชนพิจารณาการแต่งตั้งศาลสูงของประเทศ แต่ประเทศไทยนั้นอำมาตย์ควบคุมทั้งทหารและศาล”
ขณะที่นายจิรายุสก็บอกว่า “ประเทศไทยถูกอำมาตย์ครอบครอง และพวกเราเสมือนเป็นไพร่ ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นไพร่เหมือนกันได้ออกมาช่วยเหลือไพร่ด้วยกัน ด้วยการผุดนโยบายต่างๆ เช่น หมู่บ้านเอสเอ็มแอล กองทุนหมู่บ้าน ปลูกยางพารา ฯลฯ แต่ก็ถูกกระทำจนได้ ล่าสุดแม้พวกเราจะได้อำนาจรัฐและตั้งเป็นศูนย์ข้อมูลช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ.) แต่ก็แก้ไขปัญหาไม่ได้เต็มที่ เพราะข้าราชการไม่ยอมทำงานหรือเกียร์ว่าง และน้ำท่วมก็ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะมีการกักน้ำเอาไว้จากเขื่อน เพื่อปล่อยน้ำลงมาทำลายรัฐบาล จากนั้นก็มีความพยายามยึดอำนาจ”
ถัดจากนั้น วันที่ 9 พ.ย.นายแพทย์ประสงค์ พร้อมคณะแกนนำคนเสื้อแดงได้ไปเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่บ้านท่าฮ่อ หมู่ที่ 6 ต.ทรายขาว อ.พาน จ.เชียงราย ซึ่งมีการประกาศทำพิธีเปิดหมู่บ้านคนเสื้อแดงในคราวเดียวกัน 17 หมู่บ้าน ซึ่งในพิธีเปิดครั้งนี้ แกนนำเสื้อแดงได้ขึ้นกล่าวปราศรัยด้วยเนื้อหาเดิมๆ คือโจมตีว่าปัญหาน้ำท่วมภาคกลางและกรุงเทพฯ เกิดจากการวางแผนจากพวกอำมาตย์ และยังโจมตีทางกองทัพที่ได้นำทหารออกมาช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยครั้งนี้ระบุว่าเป็นการสร้างภาพ และมีการเตรียมจะทำรัฐประหารรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์
นอกจากการฉวยโอกาสใช้สถานการณ์เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มก้อนตัวเองของคนเสื้อแดงแล้ว ก็ยังปรากฏข่าวอย่างต่อเนื่องว่า การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั้นมีความลำเอียงไปช่วยเหลือคนเสื้อแดงก่อนคนกลุ่มอื่น รวมทั้งมีการห้ามมวลชนคนเสื้อแดงรับความช่วยเหลือจากคนกลุ่มอื่นด้วยซ้ำ
เหตุการณ์มหาอุทกภัยครั้งนี้ จึงไม่อาจที่จะทำให้คนไทยสลายสีสลายกลุ่มมารวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวตามที่หลายคนคาดหวังได้ นั่นเพราะการคงอยู่ของคนเสื้อแดงมีความสำคัญต่อการกลับเข้ามามีอำนาจของคนๆ หนึ่ง นั่นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยหนีคุกที่ชักใยกลไกอำนาจรัฐผ่านน้องสาวผู้เป็นนายกรัฐมนตรี
ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือคนเสื้อแดงนั้นเป็นฐานเสียงและกำลังหนุนการกลับเข้าสู่อำนาจของทักษิณ ชินวัตรที่แน่นหนาที่สุด
ทักษิณ ชินวัตร ใช้เวลาสร้างคนเสื้อแดงขึ้นมาตั้งแต่ช่วงหลังจากที่เขาถูกยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 โดยผ่านระบบการโฆษณาชวนเชื่อสร้างภาพว่าทักษิณเป็นนักประชาธิปไตยที่จะพาประชาชนไปสู่ความกินดีอยู่ดี และนำประเทศชาติไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ แต่ถูก “อำมาตย์”อิจฉาริษยา จึงหาทางกลั่นแกล้งด้วยการยัดข้อหาทุจริต และทำรัฐประหาร
ขบวนการเสื้อแดงเติบโตขึ้น เพราะรัฐบาลหลังการยึดอำนาจ 19 ก.ย. ไม่ได้เอาจริงเอาจังในการให้ความรู้ประชาชนเพื่อลบล้างคำโฆษณาชวนเชื่อของทักษิณ ยิ่งเมื่อพฤติกรรมการทุจริตของทักษิณนั้นเป็นการทุจริตเชิงนโยบายและมีวิธีการที่สลับซับซ้อนยากที่ชาวบ้านทั่วไปจะเข้าใจ จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับทักษิณที่จะหลอกชาวบ้านว่าเขาถูกอำมาตย์กลั่นแกล้ง
ด้วยเหตุนี้ ทักษิณ ชินวัตร จึงส่งนอมินีขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้หลังการเลือกตั้งเมื่อปลายปี 2550 แม้ในช่วงปลายปี 2551 หลังจากพรรคพลังประชาชนถูกยุบ กลุ่มของนายเนวิน ชิดชอบเปลี่ยนขั้วมาจับมือพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล
แต่รัฐบาล “มาร์ค-เนวิน”ก็มัวแต่จะสวมตอหาผลประโยชน์ต่อจากรัฐบาลทักษิณ ไม่ได้สนใจที่จะให้ปัญญาแก่ประชาชนอย่างแท้จริง ทักษิณ ชินวัตร จึงส่งน้องสาวขึ้นเป็นนายกฯ ได้หลังการเลือกตั้งเมื่อ 3 ก.ค.2554 โดยใช้คนเสื้อแดงเป็นฐานคะแนนเสียง
และเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้แสดงผลงานอันไร้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ทักษิณ ชินวัตร ก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้คนเสื้อแดงเป็นฐานในการค้ำเก้าอี้นายกฯ ของน้องสาวต่อไป
การขอให้คนไทยไม่แบ่งแยก เลิกแบ่งสีแบ่งกลุ่ม ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงเป็นเพียงแค่ผายลมที่ผ่านออกมาทางปากเท่านั้น