ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เหตุการณ์ระเบิด 3 จุดที่เกิดขึ้นในวันแห่งความรัก 14 ก.พ.55 ที่ผ่านมา ถือเป็นคดีร้อนที่ได้บังเกิดขึ้นในผืนแผ่นดินไทย โดยที่ผู้กระทำและผู้ที่ตกเป็นเป้าถูกสังหาร ไม่ใช่คนไทย
ทันที่ที่เกิดเหตุ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.คือนายตำรวจที่ได้รับมอบหมายให้คลี่คลายคดีนี้ โดยมีคำสั่งเด็ดขาดจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ว่าจะต้องเร่งทำคดีและจับคนร้ายให้ได้โดยเร็ว
อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับไปดูการทำงานในห้วง 10 กว่าวันที่ผ่านมา สามารถบ่งบอกได้ว่า คดีนี้เดินรุดหน้า หรือถอยหลัง
เริ่มจาก 14 ก.พ.2555 วันเกิดเหตุ ตำรวจคุมตัว นายซาอิด โมราดิ อายุ 28 ปี สัญชาติอิหร่าน ผู้ได้รับบาดเจ็บที่นอนครวญครางจมกองเลือดอยู่ข้างตู้โทรศัพท์ ขณะที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯและยังให้การไม่ได้
เย็นวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองประจำสนามบินสุวรรณภูมิได้จับกุมตัว นายโมฮัมหมัด ฮาซาอี (Mosumnad Hazaei) อายุ 42 ปี สัญชาติอิหร่าน ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยกำลังเตรียมจะขึ้นเครื่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD 3575 ปลายทางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยจะออกเดินทางเวลา 18.00 น. ซึ่งขณะนี้ถูกคุมตัวดำเนินคดี โดยผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธแม้จะถูกคุมตัวมาสอบสวนแล้วหลายครั้ง หลายครา
กลุ่มผู้ร่วมก่อเหตุรายที่ 3 ได้ถูกจับกุมตัวในวันเดียวกัน โดยตำรวจมาเลเซียจับกุม นายมาซุด ซีดากัส ซาเดท อายุ 31 ปี หลังเดินทางออกนอกประเทศไทยไปถึงมาเลเซีย ตั้งแต่เวลา 21.00 น.ขณะนี้อัยการสูงสุดได้ส่งเรื่องให้ กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อดำเนินการขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนจากมาเลเซีย
หลังเหตุเกิดผ่านไป 1 วัน 15 ก.พ.พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.ประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดคลี่คลายคดี พร้อมสืบสวนขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการ รวมถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุและพยานแวดล้อมต่างๆ เพื่อขยายผลว่าคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือไม่
จากนั้นเวลา 10.00 น.พล.ต.ท.พีระพงศ์ ดามาพงศ์ ผบช.สพฐ พล.ต.ต. รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น.พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด เข้าตรวจหาหลักฐานภายในบ้าน เลขที่ 66 ภายในซอยปรีดีพนมยงค์ 31 แขวงเขตวัฒนา กทม.ซึ่งเป็นบ้านเช่าที่ก่อเหตุระเบิด
ผลการตรวจสอบพบ วิทยุพกพาสีดำมีหูหิ้ว ความกว้างประมาณ 20 ซม. ยาวประมาณ 40-50 ซม. สูงประมาณ 30 ซม. โดยแกะเอาวงจรด้านหลังวิทยุออกก่อนนำระเบิดซีโฟร์น้ำหนัก 4 ปอนด์ ยัดใส่แทน จากนั้นนำส่วนหัวระเบิดมือที่ยังมีกระเดื่อง สลักแหวนระเบิด และแกนตัวจุดระเบิดเสียบใส่เข้าไปในวิทยุจนถึงเนื้อระเบิดซีโฟร์ นอกจากนี้ยังมีลูกเหล็กใส่ไว้ในกล่องวิทยุ เพื่อเพิ่มความรุนแรงในการสังหาร
นอกจากนั้นกองพิสูจน์หลักฐาน ยังพบหลักฐานสำคัญที่ในชั้นแรกโยงไปเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่อินเดียและจอร์เจียคือ หลักฐานแม่เหล็กลักษณะกลมและแบนกว้างประมาณ 2 ซม.จำนวน 6 ตัวที่ถูกติดไว้ใต้ฐานวิทยุ โดยระเบิดวิทยุแต่ละตัวมีน้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม ส่วนวิธีใช้ระเบิดดังกล่าวเมื่อดึงสลักระเบิดออก ระเบิดจะทำงานในเวลา 5 วินาที รัศมีระเบิดกว้างประมาณ 40 เมตร รัศมีสังหารประมาณ 3-5 เมตร
วันนั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.มั่นใจว่า ตำรวจมีพยานหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็น พยานบุคคล และหลักฐานจากทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยฟันธงว่า ลักษณะระเบิดเหมือนกับเหตุการณ์ระเบิดที่ประเทศอินเดียและจอร์เจีย โดยการกระทำในครั้งนี้คนร้ายไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การก่อการร้ายภายในประเทศไทย แต่มีเป้าหมายชัดเจนที่ตัวบุคคล ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูตอิสราเอลในประเทศไทย
ขณะที่ขั้นตอนการออกหมายจับ ตำรวจเสนอศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับผู้ต้องหาล็อตแรก 4 คน ประกอบด้วย
1.นายซาอิด โมราดิ อายุ 28 ปี ที่ขาทั้งสองข้างขาดรักษาตัวอยู่ที่ รพ.จุฬาฯ 2.นายมูฮัมหมัด ฮะซาอิ อายุ 42 ปี ที่ถูกจับกุมได้คาสนามบินสุวรรณภูมิวานนี้ 3.นายมาซุด ซีดากัส ซาเดท อายุ 31 ปี ที่หลบหนีไปถึงประเทศมาเลเซียแล้ว และ นางสาวโรฮานี ไลลา ซึ่งได้หนีไปประเทศอิหร่านแล้ว
17 ก.พ.ประเด็นหลักฐานสติ๊กเกอร์ได้ออกจากปากของ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น.ที่ได้พูดสื่อว่าจากการตรวจค้นที่พักอีกแห่งหนึ่งที่นางไลลา โรฮานี เช่าเอาไว้ พบหลักฐานบางส่วน พร้อมนำไปตรวจสอบ ส่วนกรณีพบสติ๊กเกอร์ลักษณะคล้ายสัญลักษณ์เป็นภาษาอาหรับ และบล็อกปูนจำนวนหนึ่ง ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ พฐ.และอีโอดี กำลังนำไปตรวจสอบอยู่ ยังไม่สามารถระบุได้ว่าคืออะไร โดยที่วันนั้นแปลกที่ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น ไม่ยอมบอกว่าเป็นสติ๊กเกอร์ตัวอักษร SEJEAL
คดีนี้หลังเวลาผ่านไป 4 วัน พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานรวม 16 ปาก และไม่พบว่ามีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนร้ายกลุ่มนี้
18 ก.พ.หัวหน้าชุดสืบสวนนำโดย พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผู้ช่วย ผบ.ตร.พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ พฐ.และอีโอดี เข้าตรวจสอบรถ จยย.ฮอนด้าเวฟเอส 100 สีน้ำเงินคาดเทา ทะเบียน มนม 583 กรุงเทพมหานคร ที่สืบทราบว่าคนร้ายนำมาจอดไว้หน้าร้านเอเชีย การไฟฟ้า เลขที่ 693 ระหว่างปากซอยปรีดีพนมยงค์ 29-31 ถ.สุขุมวิท 71 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา ผลตรวจสอบกล่องเก็บของใต้เบาะรถ จยย.ดังกล่าวพบ สติ๊กเกอร์พิมพ์อักษรภาษาอังกฤษคำว่า”SEJEAL“ 6 แผ่น ความยาวประมาณ 30 ซม. ความกว้างประมาณ 6 ซม. โดยสติ๊กเกอร์ดังกล่าว สุดท้ายตำรวจออกยอมเปิดปากพูดว่า เหมือนกับที่เคยพบภายในห้องพัก อาคารนาซ่า เวกัส ทาวเวอร์ กว่า 100 แผ่น ที่ นางไลลา โรฮานี เช่าเอาไว้
การแกะรอยจากรถจยย.ค้นต้องสงสัยว่าจะนำไปใช้ก่อเหตุ ตำรวจพบว่า นางศิริพร พิเคราะห์กิจ อายุ 53 ปี เจ้าของร้านขายจักรยานยนต์ชื่อ “ส.คลองตัน” ย่านคลองตัน ได้ขายรถจยย.ให้กลุ่มคนร้ายเมื่อปลายปี แต่ได้ให้เล่มทะเบียนผิดไป และพยายามตามหามาตลอดแต่ไม่พบ จึงแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา และจำหน้าได้ว่าผู้ต้องหา 2 คนที่มาซื้อ คือนายมาซุด เซดากาห์ ซาเดห์ ผู้ต้องหาที่หลบหนีก่อนโดนจับที่มาเลเซีย และนายคาซาอี โมฮัมเหม็ด ผู้ต้องหาที่ถูกจับที่สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นคนจ่ายเงินค่ารถ
วันถัดมา 19 ก.พ. ตำรวจได้เสนอศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับผู้ต้องหาเป็นรายที่ 5 ซึ่งเป็นบุคคลที่กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพไว้ได้ ขณะเดินลากกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านเลขที่ 66 ภายในซอยปรีดีพนมยงค์ 31 ก่อนเกิดเหตุระเบิดขึ้นคือ นายนูโรซิ ชายัน อาลี อัคบาร์ (Mr.Norouzi Shaya Ali Akbar) อายุ 57 ปี สัญชาติอิหร่าน ตามหมายจับเลขที่ 106/2555 ลงวันที่ 18 ก.พ.55 ข้อหา 1. ร่วมกันทำและประกอบวัตถุระเบิด 2. ร่วมกันมีไว้ซึ่งวัตถุระเบิดในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และ 3. ทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกาย
20 ก.พ.นายโมฮัมหมัด คาซาอี ผู้ต้องหา ถูกคุมตัวเข้าห้องสอบสวนอีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่ยอมให้การใดๆก่อนถูกนำตัวทำแผนจุดก่อเหตุ และเส้นทางหลบหนี ส่วนอาการบาดเจ็บของนายซาอิด โมราดิ อายุ 28 ปี ที่ขาทั้งสองข้างขาดรักษาตัวอยู่ที่ รพ.จุฬาฯพบว่ามีอาการดีขึ้นตามลำดับ โดยรู้สึกตัวดี หลังถอดเครื่องช่วยหายใจออกสามารถตอบสนองได้ดีขึ้น
ตกช่วงเย็นเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางตรวจสอบสติ๊กเกอร์ตัวอักษร SEJEAL ที่พบติดอยู่ตามที่ต่างๆ ตลอดแนวถนนเลียบทางด่วนเพลินจิต ฝั่งใต้มุ่งหน้าโรงแรมเจดับบลิว แมริออท จนเลี้ยวซ้ายมาถนนสุขุมวิทหน้าอาคารคิวเฮ้าส์ โดยสติ๊กเกอร์ดังกล่าวได้ติดตามเสาไฟฟ้า เสาป้ายโฆษณา ป้ายบอกทาง ตู้โทรศัพท์ มีจำนวนกว่า 40 แผ่น ทั้งหมด 27 จุด โดยสติ๊กเกอร์ดังกล่าวพิมพ์ด้วยอักษรภาษาอังกฤษสีดำบนพื้นสีขาว ขนาดความยาว 30 ซม.กว้าง 10 ซม.โดยมีอักษร SEJEAL แปลว่า พุ่งทะยานไปสู่จุดสูงสุด ซึ่งเป็นคำในภาษาอาหรับ
หลังมีการวิพากษ์วิจารณ์ เกี่ยวกับทิศทางการคลี่คลายคดี โดยเฉพาะการให้ข่าวที่ส่อไปในทางสับสน ทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.จึงได้สั่งการให้ตำรวจในสังกัดทุกนาย งดเว้นการให้ข่าวกรณีเหตุระเบิด โดยอ้างว่า เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อมิให้เกิดความสับสนและส่งผลกระทบต่อรูปคดี โดยผู้ที่จะให้ข่าวได้ นอกเหนือจาก ผบ.ตร.คือผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง อาทิ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.ที่เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน หรือผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่เกี่ยวข้องโดยตรง
22 ก.พ.เวลา 09.00 น.นายโมฮัมหมัด คาซาอี อายุ 42 ปี ถูกนำตัวฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยคำร้องฝากขังอ้างว่า เนื่องจากการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบสวนพยานเพิ่มเติมจำนวนมาก รวมทั้งตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาและอื่นๆ โดยพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน อีกทั้งวัตถุระเบิดมีอนุภาพร้ายแรงเกรงว่าจะเป็นภัยต่อส่วนรวม และคดีมีอัตราโทษสูง ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตฝากขังผู้ต้องหาได้ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายโมฮัมหมัด เข้าไปควบคุมไว้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
ดังนั้น การสืบสวนสอบสวน ที่เป็นไปอย่างรีบเร่ง และร้อนรน โดยที่ ผู้ต้องหา 3 คน ยังหลบหนี ถูกจับกุม 2 คน 1 คน นอนรักษาตัวอยู่ รพ.จุฬาฯให้การไม่ได้ 1 คน ถูกนำตัวฝากขังศาล ให้การปฏิเสธ และอีก 1 คน อยู่ระหว่างการขอตัวจากมาเลเซีย ขณะที่ตำรวจ ยืนยันว่า มีพยานหลักฐานแน่นหนาเอาผิดได้ โดยมีปมเรื่องสติ๊กเกอร์อักษร SEJEAL ที่พบถูกติดตามที่สาธารณะหลังก่อเหตุ ก็ยังไม่ชัดว่า ใครคือคนนำไปติด ติดก่อนเกิดเหตุระเบิดหรือหลังเกิดเหตุระเบิด
อีกทั้งสติ๊กเกอร์ที่ยึดได้กว่า 100 แผ่น ภายในห้องของ นางไลลา โรฮานี 1 ในผู้ต้องหา ตำรวจยังเก็บไว้ครบถ้วนหรือไม่ เพราะท้ายสุด หากการคลี่คลายคดีนี้ตำรวจไทยเดินทางผิดพลาด ไม่ทำคดีตามหลักฐานที่มีอยู่จริง แต่เป็นการจัดฉากสร้างหลักฐาน เพื่อนำไปสู่โจทย์ที่วางเอาไว้ คือ..คนร้ายมีเป้าหมายสังหาร นายเอฮุด บารัก รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล ที่มีกำหนดเยือนประเทศไทยในวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่ได้ยกเลิกกำหนดการทั้งหมดหลังเกิดเหตุระเบิด นั่นคือ การสร้างศัตรูให้กับประเทศโดยไม่รู้ตัว...!!!