ASTVผู้จัดการรายวัน- รองผบ.ตร. เรียกประชุมเพิ่ม ชุดคลี่คลายคดีระเบิด พัวพันคนร้ายชาวอิหร่าน จี้ประเด็นสติกเกอร์ “SEJEAL” เผย ฝ่ายสืบสวนได้ภาพผู้ต้องสงสัย “มือติดสติกเกอร์”ผ่านกล้องวงจรปิด สั่งหาต้นตอเพิ่มส่งพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ด้าน“โมฮัมหมัด คาซาอี” ยังให้การภาคเสธ
วานนี้ (23 ก.พ.) ที่ สน.คลองตัน พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. เดินทางไปยัง สน.คลองตัน เพื่อเรียกประชุมพนักงานสอบสวน ในการติดตามความคืบหน้าคดีเหตุระเบิดในซอยสุขุมวิท 71 อีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ได้งดประชุมเนื่องจากให้เวลาฝ่ายสืบสวนติดตามหาพยานหลักฐานที่เริ่มยากขึ้น โดยการประชุมครั้งนี้ นอกจากเร่งคลี่คลายเรื่องสติกเกอร์ปริศนา ยังมีเรื่องการตามหาผู้ต้องสงสัยรายที่ 6 ที่เริ่มมีเบาะแสแล้วบางส่วนด้วย
มีรายงานเกี่ยวกับการพบสติกเกอร์ข้อความ “SEJEAL” ซึ่งติดติดที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะริมถนนรัชดาภิเษก ใกล้สี่แยกอโศกมนตรี ริมถนนพระราม 4 เขตคลองเตย และบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง โดยเฉพาะ 2 จุดแรกอยู่ในรัศมีไม่ไกลจากอาคารโอเชี่ยน ทาวเวอร์ ที่ตั้งสถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นอกจากสติกเกอร์ดังกล่าวยังพบอักษรคล้ายภาษาอาหรับ เขียนด้วยปากกาเมจิก มีลูกศรชี้บอกทางกำกับไว้ด้วย
***ได้ภาพมือติดสติ๊กเกอร์
ทั้งนี้ ฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างการประสานข้อมูลจากบริษัทรับพิมพ์ป้ายและสติกเกอร์รายใหญ่แห่งหนึ่งย่านปทุมวัน เพื่อหาว่ากระดาษที่ใช้พิมพ์ ผลิตหรือนำมาจากที่ใด และน่าจะส่งไปใช้ที่ใดบ้าง นอกจากนี้ ฝ่ายสืบสวนยังได้ภาพผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งขณะติดสติกเกอร์ โดยกล้องวงจรปิดของธนาคารแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิทจับภาพไว้ได้ในช่วงเวลาค่ำ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียด รวมถึงวันเวลาบันทึกภาพว่าเกิดขึ้นก่อนหรือหลังเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น
***ผู้ต้องหาเครียด
นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงการควบคุมตัวนายมูฮัมหมัด คาซาอิ ผู้ต้องร่วมก่อเหตุระเบิด 3 จุด โดยจากการสอบถามและพูดคุย นายมูฮัมหมัด มีอาการเครียด พร้อมกับบอกว่านอนไม่หลับ และมีการร้องขอเปลี่ยนห้องควบคุมตัว แต่ทางเจ้าหน้าที่เรือนจำไม่อนุญาต เนื่องจากเห็นว่าห้องที่ควบคุมอยู่ในขณะนี้มีความปลอดภัยและมีกล้องวงจรปิด ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามดูพฤติกรรมได้ตลอดเวลา
***"คาซาอี"ยังปฏิเสธ
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกตร. แถลงถึงความคืบเรื่องนี้อีกครั้งว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำนายโมฮัมหมัด คาซาอี เพิ่มเติม ซึ่งผู้ต้องหายังให้การในภาคเสธ แต่ข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์และสอดคล้องกับรูปคดี โดยพล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร.ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนสอบสวนไปหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม พร้อมกับนำหลักฐานไปพิสูจน์ตามกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งงานสอบสวนได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผู้ช่วยผบ.ตร. เป็นคนดูแล
พล.ต.ต.ปิยะ เปิดเผยว่า สติ๊กเกอร์ “SEJEAL” นั้น พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้แบ่งงานให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บก.สส.บช.น.) ดูแลหาที่มาที่ไปและตรวจสอบว่านำมาติดเมื่อไหร่ พร้อมขอความร่วมมือโดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพบนริมท้องถนน เช่น ผู้ขับรถจยย.รับจ้าง คนขับแท็กซี่และแม่ค้าพ่อค้า ช่วยแจ้งเบาะแสไปที่สถานีตำรวจใกล้เคียงหรือโทร.191 เมื่อพบเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น รวมทั้งประสานกับกทม.และภาคเอกชนต่างๆ เพื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิด cctv ย้อนหลังไปก่อนตั้งแต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2555 เพื่อให้พนักงานสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่มุ่งการตรวจสอบที่เกิดเหตุทั้งหมด 7 จุด รวมทั้ง วิทยุทรานซิสเตอร์ ใบเสร็จ เศษกระดาษต่างๆ เพื่อตรวจสอบที่มาที่ไปว่ามีความสอดคล้องกันอย่างไร
ด้านสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.)จะดำเนินการตรวจสอบดีเอ็นเอและหาลายนิ้วมือแฝงตามสถานที่ต่างๆ และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.)ทำหน้าที่ค้นหาความหมายของคำในสติ๊กเกอร์ดังกล่าว รวมไปถึงเอกสารและประสานงานกับข่าวกรองทั้งจากฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ทหาร เนื่องจากสติ๊กเกอร์มีรูปแบบเดียวกันกับใต้เบาะรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยที่ตรวจยึดได้ รวมถึงในห้องพักของนางโรฮานี ไลลา และพบสติ๊กเกอร์ดังกล่าวในพื้นที่ 5 สน. ได้แก่ ทองหล่อ คลองตัน ท่าเรือ ดินแดง ลุมพินี
“วันนี้ทางคณะกรรมการฝ่ายสืบสวนสอบสวน นครบาล ได้ข้อสรุปว่าหากพบหลักฐานเพียงพอชัดเจนว่าใครกระทำผิด ก็จะออกหมายจับ และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ซึ่งการทำงานของเจ้าหน้าที่มีความคืบหน้าไปเยอะ รวมทั้งมีหลักฐานเอกสาร พยานวัตถุ โดยคดีนี้มีความสำคัญ ต้องมีความรอบคอบ ไม่สามารถด่วนสรุปได้ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและความมั่นคงของชาติเป็นหลัก” โฆษก ตร. กล่าว
***สั่งตามหาจยย.คนร้ายอีกคัน
รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.ปานศิริ ได้ออกคำสั่งผ่านวิทยุ บช.น.สั่งการให้สายตรวจทุกพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณ บก.น.1 , 4 , 5 ให้ตามหารถจักรยานยนต์ ยี่ห้อมีโอ สีดำ ทะเบียน กนต 648 อ่างทอง ที่ซื้อมาจากร้านค้าแห่งหนึ่ง เลขที่ 803 ถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี ซึ่งคาดว่าอาจเป็นรถของผู้ต้องหาที่ได้เช่าเอาไว้อีก 1 คัน
**นักวิชาการตปท.แนะตร.สกัด
ขณะเดียวกัน สำนักวิจัยเอแบคโพลล์และคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำนานาประเทศ เสนอแนะทางออกให้ภาครัฐและเอกชนผ่านพ้นวิกฤตของปัญหาการก่อการร้ายและอาชญากรรมทุกรูปแบบ โดยระบุรัฐต้องมีความเชี่ยวชาญด้านการข่าว มีความร่วมมือจากประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา ความใส่ใจและความรวดเร็วฉับไวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองและหน่วยงานความมั่นคงที่ไม่เพิกเฉยต่อการแจ้งเบาะแสของประชาชน มีความรวดเร็วฉับไวต่อการลงพื้นที่ที่ได้รับแจ้งเหตุ มีปฏิภาณไหวพริบต่อความผิดปกติของการเคลื่อนไหวรวมตัวกันของกลุ่มคน ยานพาหนะและการเคลื่อนย้ายวัตถุต้องสงสัย
ขณะเดียวกันได้เสนอแนะการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล ให้เพิ่มการเฝ้าระวังให้มากขึ้นและต้องมีศูนย์รวมข้อมูลการตัดสินใจด้วยห้องวอร์รูมที่สำนักงานใหญ่ แต่ละกองบังคับการของกองบัญชาการตำรวจนครบาลต้องมีห้องวอร์รูมทั้ง 9 พื้นที่ มีกล้องซีซีทีวีครอบคลุมทั่วถึงทุกจุด มีการดักฟังโทรศัพท์ การแกะรอยแหล่งเงินทุนสนับสนุนการก่อการร้าย แหล่งฟอกเงิน มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการเอ็กซเรย์วัตถุระเบิดและสารตั้งต้น การตั้งจุดตรวจค้นยานพาหนะของพลเรือนและรถโดยสารสาธารณะ การตรวจค้นด้วยสุนัขดมกลิ่นที่สนามบิน แหล่งท่องเที่ยว และย่านธุรกิจ
การส่งหน่วยชำนาญการพิเศษด้านการก่อการร้ายปะปนไปกับฝูงชน การให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่งเครื่องแบบที่สง่างามแต่พร้อมอาวุธที่ทันสมัยดูดี ดูสมาร์ท ประจำจุดต่างๆ ในแหล่งท่องเที่ยว และการมีรถสายตรวจที่ทันสมัยเปิดสัญญาณไฟว่ากำลังเฝ้าระวังเหตุในจุดเสี่ยงสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน และที่สำคัญสุดคือ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะต้องปฏิรูประบบการตรวจคนเข้าเมืองที่ทันสมัยแบบออนไลน์ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งเรื่องภาพถ่าย ลายนิ้วมือ และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้าน DNA เป็นต้น
***"ยุทธศักดิ์"หนุน'เฉลิม'นั่งบูรณาการ
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงมิตครม.มอบหมายให้ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เป็นหัวหน้าคณะทำงานบูรณาการและติดตามสถานการณ์บ้านเมือง และการดูแลความปลอดภัยของประชาชานและนักท่องเที่ยว ว่า นายกฯแสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ระเบิด และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และขอให้มีการระมัดระวังเอาใจใส่อย่างมาก รวมถึงกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเข้า-ออกของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ต้องร่วมกันเอาใจใส่ด้วย ตนจึงเสนอในที่ประชุมครม.ว่าควรมีการบูรณาการการข่าวกัน แทนที่จะให้แต่ละกระทวงต่างฝ่ายต่างทำงานของตัวเอง เพื่ออัพเดทการข่าวร่วมกัน และตนเห็นว่าร.ต.อ.เฉลิม กำกับดูแลสตช. อยู่แล้วจะได้ประสานข้อมูลกับตำรวจแต่ละสน.ท้องที่ด้วย ขณะที่ตนกำกับดูแลงานด้านการข่าวของทหาร หากฝ่ายตำรวจและทหารได้มาบูรณาการการข่าวร่วมกันจะเป็นผลดี ส่วนการประสานการข่าวกับหน่วยข่าวของต่างประเทศนั้น มีสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ดำเนินการ และจะนำมาแลกเปลี่ยน เพื่อให้เกิดความคิดไปในทางเดียวกัน
กรณีที่มีการติดสติกเกอร์ Sejeal ขยายวงกว้างในหลายพื้นที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า กำลังตรวจสอบอยู่ ส่วนที่มีการไปพูดกันว่าเป็นการติดในเส้นทางที่จะนำไปสู่จุดหมายอะไรไรต่างๆ นั้นถือเป็นเรื่องแปลก เพราะคนที่จะกระทำการไม่จำเป็นต้องมีการมาชี้นำหรือชี้ทาง ทุกอย่างต้องรู้หมดแล้ว แต่การสร้างสัญลักษณ์ชี้ทาง ตนคิดว่าเป็นเรื่องของจิตวิทยา แต่ก็ต้องตรวจสอบกันว่าใครเป็นคนทำและทำเพื่ออะไร
ทั้งนี้ถือว่าฝ่ายไทยหลงทางหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า เราไม่ได้หลงทาง แต่เรากำลังติดตามอยู่ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนอยู่ ขณะเดียวกันมันก็มีเพิ่มขึ้น ซึ่งตนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ควรตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดเพื่อสำรวจว่าใครเป็นคนมาติดสติกเกอร์ดังกล่าวรวมถึงการที่มีคนไปเขียนภาษาอาหรับในที่ต่างๆนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
**"เหลืม"ย้ำรู้หมด-ตรึงสถานการณ์ได้
ด้านร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมร่วมรัฐสภาถึงกรณีที่ครม.มอบหมายให้ดำเนินการติดตามสถานการณ์ของบ้านเมืองว่า อาจจะนัดประชุมผู้เกี่ยวข้องใน 1-2 วันนี้ เพราะเป็นเรื่องด่วน ซึ่ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ เป็นผู้เสนอให้ตนเป็นหัวหน้าชุดเรื่องการข่าว ดังนั้นจึงต้องรีบทำ ส่วนจะเร่งรัดเรื่องอะไรยังบอกไม่ได้
กรณีที่ประเทศอิหร่านระบุว่าถูกขบวนการประชาชนมูจาฮีดีนอิหร่าน (MKO) ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลอิหร่าน ใส่ร้ายว่าให้เข้ามาก่อเหตุในกทม. ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่ใช่ ใส่กันไปใส่กันมา ตนรู้หมด เราตรึงสถานการณ์ได้ เขาถึงตั้งตนให้เป็นหัวหน้าทีม แต่จะไม่พูดอะไร ที่สำคัญเราอย่าไปอยู่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ต้องยึดหลักเกณฑ์ ประเทศไหนฟ้องมาเราก็รับฟัง แต่เราต้องยึดหลักเกณฑ์ ส่วนที่มีการพบสัญญลักษณ์คำว่า SEJEAL ถ้าเปิดในคัมภีร์จะระบุว่าเป็นนกชนิดหนึ่ง ที่ทำลายสิ่งชั่วร้าย อย่าไปตกใจ ไม่ใช่สัญลักษณ์เชื่อมโยงการก่อการร้าย เรื่องนี้ตนบอกไปแล้วว่าให้ตำรวจเลิกพูด
***“สุกำพล”ลั่นไทยอยู่ตรงกลาง
ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ในเรื่องเดียวกันว่า ขณะนี้ ทางหน่วยข่าวกำลังรวบรวมอยู่แล้ว คิดว่า เมื่อเวลานานเข้าจะมีข้อมูลเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่องการข่าวทางหน่วยความมั่นคงมีการบูรณาการมาตลอด แม้นายกรัฐมนตรีไม่ได้สั่ง ไม่ต้องห่วงกองทัพดำเนินการเรื่องนี้ตลอดเวลา ไม่ต้องมาบอกกันทุกวัน บางเรื่องบอกไม่ได้ เราดูว่า อะไร คืออะไรอยู่ การเสนอข่าวอย่าให้หวือหวา หรือทำให้ความมั่นคงของเราเสีย หรือทำให้น่ากลัว สติ๊กเกอร์ซีเจลไม่มีอะไร ขอให้ช่วยกันนิดหนึ่ง ขอร้องมาร้อยทีแล้ว ทำสักทีก็ยังดี ควรทำอะไรที่ไม่ทำให้ประเทศชาติเรากระเทือนว่า ประเทศไทยน่ากลัว ไม่น่ามา ข้อเท็จจริงวันนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ลดลงไปเลย ดังนั้นอย่าพยายามทำให้ลดลงไป เรารู้หน้าที่ นโยบายรัฐบาลต้องการให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะ ซึ่งเป็นจุดล่อแหลมหนึ่งทีทำให้คนเข้ามาง่าย หน่วยความมั่นคงต้องยอมเหนื่อยนิดหนึ่งเพื่อทำให้มีความมั่นคง มีความปลอดภัย
ส่วนกรณีที่ตนเคยเปรียบผู้ลอบวางระเบิดว่า เป็นจิ๊กโก๋ปากซอยนั้น ตนเพียงพูดว่า ลองย้อนมาวิเคราะห์ดูว่า คนทำมีความเป็นมืออาชีพหรือไม่ ซึ่งคนทำอย่างนี้ไม่มีความเป็นมืออาชีพ เหมือนจิ๊กโก๋ปากซอย แต่อย่าจับมาคำเดียวแล้วมาพูดอย่างนี้เสียหมด ทีหลังจะไม่พูดจิ๊กโก๋ปากซอยแล้ว ตนพลาดไปหน่อย ทำให้เรื่องสนุก ไม่สนุกเลย
“เรื่องการก่อการร้าย เราไม่มีเข้าข้างใครแม้กระทั่งอิหร่านเราไม่เคยบอกว่า เขาส่งคนมาทำบ้านเรา เราอยู่ตรงกลาง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลตรงนี้ คือ เป็นพื้นที่ปฏิบัติการของเขา เราไม่เป็นศัตรูกับใคร แล้วค่อยๆพิสูจน์ว่า อะไรคืออะไร ไม่ผลีผลาม ไม่ใช่ใครอ้างมาเชื่อหมด ไม่ใช่อย่างนั้น
ถ้าเขาว่า มาอย่างนี้ ต้องฟังเขาแล้วหน่วยข่าวก็นำไปดูว่า มันเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่า เขาพูดมาแล้วบอกว่า ใช่ เราอยู่ตรงกลาง ไม่ใช่เสี้ยมเขาควาย เราอยู่นิ่งๆ รักษาตัว ดูให้ดี ไม่ให้ตรงนี้มีปัญหา ไม่ให้บ้านเรามีปัญหา นโยบายความมั่นคงบางอย่างอาจจขัดนโยบายท่องเที่ยวของรัฐบาลบ้าง แต่เราต้องสนับสนุนนโยบายใหญ่ไป เราเพียงเหนื่อยมากหน่อยเท่านั้น เรื่องอย่างนี้ชาติอื่นลงข่าวไม่กี่ทีก็จบแล้ว บ้านเราลงข่าวทุกวัน ไม่หยุดสักที แต่เข้าใจผู้สื่อข่าวว่า ต้องลงทุกวัน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีเบี้ยเลี้ยงหรือเปล่าไม่รู้ ขอให้ช่วยกัน เพราะเรารักชาติเหมือนกัน”พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว
วานนี้ (23 ก.พ.) ที่ สน.คลองตัน พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. เดินทางไปยัง สน.คลองตัน เพื่อเรียกประชุมพนักงานสอบสวน ในการติดตามความคืบหน้าคดีเหตุระเบิดในซอยสุขุมวิท 71 อีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ได้งดประชุมเนื่องจากให้เวลาฝ่ายสืบสวนติดตามหาพยานหลักฐานที่เริ่มยากขึ้น โดยการประชุมครั้งนี้ นอกจากเร่งคลี่คลายเรื่องสติกเกอร์ปริศนา ยังมีเรื่องการตามหาผู้ต้องสงสัยรายที่ 6 ที่เริ่มมีเบาะแสแล้วบางส่วนด้วย
มีรายงานเกี่ยวกับการพบสติกเกอร์ข้อความ “SEJEAL” ซึ่งติดติดที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะริมถนนรัชดาภิเษก ใกล้สี่แยกอโศกมนตรี ริมถนนพระราม 4 เขตคลองเตย และบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง โดยเฉพาะ 2 จุดแรกอยู่ในรัศมีไม่ไกลจากอาคารโอเชี่ยน ทาวเวอร์ ที่ตั้งสถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นอกจากสติกเกอร์ดังกล่าวยังพบอักษรคล้ายภาษาอาหรับ เขียนด้วยปากกาเมจิก มีลูกศรชี้บอกทางกำกับไว้ด้วย
***ได้ภาพมือติดสติ๊กเกอร์
ทั้งนี้ ฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างการประสานข้อมูลจากบริษัทรับพิมพ์ป้ายและสติกเกอร์รายใหญ่แห่งหนึ่งย่านปทุมวัน เพื่อหาว่ากระดาษที่ใช้พิมพ์ ผลิตหรือนำมาจากที่ใด และน่าจะส่งไปใช้ที่ใดบ้าง นอกจากนี้ ฝ่ายสืบสวนยังได้ภาพผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งขณะติดสติกเกอร์ โดยกล้องวงจรปิดของธนาคารแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิทจับภาพไว้ได้ในช่วงเวลาค่ำ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียด รวมถึงวันเวลาบันทึกภาพว่าเกิดขึ้นก่อนหรือหลังเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น
***ผู้ต้องหาเครียด
นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงการควบคุมตัวนายมูฮัมหมัด คาซาอิ ผู้ต้องร่วมก่อเหตุระเบิด 3 จุด โดยจากการสอบถามและพูดคุย นายมูฮัมหมัด มีอาการเครียด พร้อมกับบอกว่านอนไม่หลับ และมีการร้องขอเปลี่ยนห้องควบคุมตัว แต่ทางเจ้าหน้าที่เรือนจำไม่อนุญาต เนื่องจากเห็นว่าห้องที่ควบคุมอยู่ในขณะนี้มีความปลอดภัยและมีกล้องวงจรปิด ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามดูพฤติกรรมได้ตลอดเวลา
***"คาซาอี"ยังปฏิเสธ
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกตร. แถลงถึงความคืบเรื่องนี้อีกครั้งว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำนายโมฮัมหมัด คาซาอี เพิ่มเติม ซึ่งผู้ต้องหายังให้การในภาคเสธ แต่ข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์และสอดคล้องกับรูปคดี โดยพล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร.ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนสอบสวนไปหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม พร้อมกับนำหลักฐานไปพิสูจน์ตามกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งงานสอบสวนได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผู้ช่วยผบ.ตร. เป็นคนดูแล
พล.ต.ต.ปิยะ เปิดเผยว่า สติ๊กเกอร์ “SEJEAL” นั้น พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้แบ่งงานให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บก.สส.บช.น.) ดูแลหาที่มาที่ไปและตรวจสอบว่านำมาติดเมื่อไหร่ พร้อมขอความร่วมมือโดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพบนริมท้องถนน เช่น ผู้ขับรถจยย.รับจ้าง คนขับแท็กซี่และแม่ค้าพ่อค้า ช่วยแจ้งเบาะแสไปที่สถานีตำรวจใกล้เคียงหรือโทร.191 เมื่อพบเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น รวมทั้งประสานกับกทม.และภาคเอกชนต่างๆ เพื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิด cctv ย้อนหลังไปก่อนตั้งแต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2555 เพื่อให้พนักงานสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่มุ่งการตรวจสอบที่เกิดเหตุทั้งหมด 7 จุด รวมทั้ง วิทยุทรานซิสเตอร์ ใบเสร็จ เศษกระดาษต่างๆ เพื่อตรวจสอบที่มาที่ไปว่ามีความสอดคล้องกันอย่างไร
ด้านสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.)จะดำเนินการตรวจสอบดีเอ็นเอและหาลายนิ้วมือแฝงตามสถานที่ต่างๆ และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.)ทำหน้าที่ค้นหาความหมายของคำในสติ๊กเกอร์ดังกล่าว รวมไปถึงเอกสารและประสานงานกับข่าวกรองทั้งจากฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ทหาร เนื่องจากสติ๊กเกอร์มีรูปแบบเดียวกันกับใต้เบาะรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยที่ตรวจยึดได้ รวมถึงในห้องพักของนางโรฮานี ไลลา และพบสติ๊กเกอร์ดังกล่าวในพื้นที่ 5 สน. ได้แก่ ทองหล่อ คลองตัน ท่าเรือ ดินแดง ลุมพินี
“วันนี้ทางคณะกรรมการฝ่ายสืบสวนสอบสวน นครบาล ได้ข้อสรุปว่าหากพบหลักฐานเพียงพอชัดเจนว่าใครกระทำผิด ก็จะออกหมายจับ และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ซึ่งการทำงานของเจ้าหน้าที่มีความคืบหน้าไปเยอะ รวมทั้งมีหลักฐานเอกสาร พยานวัตถุ โดยคดีนี้มีความสำคัญ ต้องมีความรอบคอบ ไม่สามารถด่วนสรุปได้ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและความมั่นคงของชาติเป็นหลัก” โฆษก ตร. กล่าว
***สั่งตามหาจยย.คนร้ายอีกคัน
รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.ปานศิริ ได้ออกคำสั่งผ่านวิทยุ บช.น.สั่งการให้สายตรวจทุกพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณ บก.น.1 , 4 , 5 ให้ตามหารถจักรยานยนต์ ยี่ห้อมีโอ สีดำ ทะเบียน กนต 648 อ่างทอง ที่ซื้อมาจากร้านค้าแห่งหนึ่ง เลขที่ 803 ถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี ซึ่งคาดว่าอาจเป็นรถของผู้ต้องหาที่ได้เช่าเอาไว้อีก 1 คัน
**นักวิชาการตปท.แนะตร.สกัด
ขณะเดียวกัน สำนักวิจัยเอแบคโพลล์และคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำนานาประเทศ เสนอแนะทางออกให้ภาครัฐและเอกชนผ่านพ้นวิกฤตของปัญหาการก่อการร้ายและอาชญากรรมทุกรูปแบบ โดยระบุรัฐต้องมีความเชี่ยวชาญด้านการข่าว มีความร่วมมือจากประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา ความใส่ใจและความรวดเร็วฉับไวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองและหน่วยงานความมั่นคงที่ไม่เพิกเฉยต่อการแจ้งเบาะแสของประชาชน มีความรวดเร็วฉับไวต่อการลงพื้นที่ที่ได้รับแจ้งเหตุ มีปฏิภาณไหวพริบต่อความผิดปกติของการเคลื่อนไหวรวมตัวกันของกลุ่มคน ยานพาหนะและการเคลื่อนย้ายวัตถุต้องสงสัย
ขณะเดียวกันได้เสนอแนะการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล ให้เพิ่มการเฝ้าระวังให้มากขึ้นและต้องมีศูนย์รวมข้อมูลการตัดสินใจด้วยห้องวอร์รูมที่สำนักงานใหญ่ แต่ละกองบังคับการของกองบัญชาการตำรวจนครบาลต้องมีห้องวอร์รูมทั้ง 9 พื้นที่ มีกล้องซีซีทีวีครอบคลุมทั่วถึงทุกจุด มีการดักฟังโทรศัพท์ การแกะรอยแหล่งเงินทุนสนับสนุนการก่อการร้าย แหล่งฟอกเงิน มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการเอ็กซเรย์วัตถุระเบิดและสารตั้งต้น การตั้งจุดตรวจค้นยานพาหนะของพลเรือนและรถโดยสารสาธารณะ การตรวจค้นด้วยสุนัขดมกลิ่นที่สนามบิน แหล่งท่องเที่ยว และย่านธุรกิจ
การส่งหน่วยชำนาญการพิเศษด้านการก่อการร้ายปะปนไปกับฝูงชน การให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่งเครื่องแบบที่สง่างามแต่พร้อมอาวุธที่ทันสมัยดูดี ดูสมาร์ท ประจำจุดต่างๆ ในแหล่งท่องเที่ยว และการมีรถสายตรวจที่ทันสมัยเปิดสัญญาณไฟว่ากำลังเฝ้าระวังเหตุในจุดเสี่ยงสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน และที่สำคัญสุดคือ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะต้องปฏิรูประบบการตรวจคนเข้าเมืองที่ทันสมัยแบบออนไลน์ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งเรื่องภาพถ่าย ลายนิ้วมือ และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้าน DNA เป็นต้น
***"ยุทธศักดิ์"หนุน'เฉลิม'นั่งบูรณาการ
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงมิตครม.มอบหมายให้ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เป็นหัวหน้าคณะทำงานบูรณาการและติดตามสถานการณ์บ้านเมือง และการดูแลความปลอดภัยของประชาชานและนักท่องเที่ยว ว่า นายกฯแสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ระเบิด และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และขอให้มีการระมัดระวังเอาใจใส่อย่างมาก รวมถึงกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเข้า-ออกของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ต้องร่วมกันเอาใจใส่ด้วย ตนจึงเสนอในที่ประชุมครม.ว่าควรมีการบูรณาการการข่าวกัน แทนที่จะให้แต่ละกระทวงต่างฝ่ายต่างทำงานของตัวเอง เพื่ออัพเดทการข่าวร่วมกัน และตนเห็นว่าร.ต.อ.เฉลิม กำกับดูแลสตช. อยู่แล้วจะได้ประสานข้อมูลกับตำรวจแต่ละสน.ท้องที่ด้วย ขณะที่ตนกำกับดูแลงานด้านการข่าวของทหาร หากฝ่ายตำรวจและทหารได้มาบูรณาการการข่าวร่วมกันจะเป็นผลดี ส่วนการประสานการข่าวกับหน่วยข่าวของต่างประเทศนั้น มีสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ดำเนินการ และจะนำมาแลกเปลี่ยน เพื่อให้เกิดความคิดไปในทางเดียวกัน
กรณีที่มีการติดสติกเกอร์ Sejeal ขยายวงกว้างในหลายพื้นที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า กำลังตรวจสอบอยู่ ส่วนที่มีการไปพูดกันว่าเป็นการติดในเส้นทางที่จะนำไปสู่จุดหมายอะไรไรต่างๆ นั้นถือเป็นเรื่องแปลก เพราะคนที่จะกระทำการไม่จำเป็นต้องมีการมาชี้นำหรือชี้ทาง ทุกอย่างต้องรู้หมดแล้ว แต่การสร้างสัญลักษณ์ชี้ทาง ตนคิดว่าเป็นเรื่องของจิตวิทยา แต่ก็ต้องตรวจสอบกันว่าใครเป็นคนทำและทำเพื่ออะไร
ทั้งนี้ถือว่าฝ่ายไทยหลงทางหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า เราไม่ได้หลงทาง แต่เรากำลังติดตามอยู่ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนอยู่ ขณะเดียวกันมันก็มีเพิ่มขึ้น ซึ่งตนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ควรตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดเพื่อสำรวจว่าใครเป็นคนมาติดสติกเกอร์ดังกล่าวรวมถึงการที่มีคนไปเขียนภาษาอาหรับในที่ต่างๆนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
**"เหลืม"ย้ำรู้หมด-ตรึงสถานการณ์ได้
ด้านร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมร่วมรัฐสภาถึงกรณีที่ครม.มอบหมายให้ดำเนินการติดตามสถานการณ์ของบ้านเมืองว่า อาจจะนัดประชุมผู้เกี่ยวข้องใน 1-2 วันนี้ เพราะเป็นเรื่องด่วน ซึ่ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ เป็นผู้เสนอให้ตนเป็นหัวหน้าชุดเรื่องการข่าว ดังนั้นจึงต้องรีบทำ ส่วนจะเร่งรัดเรื่องอะไรยังบอกไม่ได้
กรณีที่ประเทศอิหร่านระบุว่าถูกขบวนการประชาชนมูจาฮีดีนอิหร่าน (MKO) ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลอิหร่าน ใส่ร้ายว่าให้เข้ามาก่อเหตุในกทม. ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่ใช่ ใส่กันไปใส่กันมา ตนรู้หมด เราตรึงสถานการณ์ได้ เขาถึงตั้งตนให้เป็นหัวหน้าทีม แต่จะไม่พูดอะไร ที่สำคัญเราอย่าไปอยู่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ต้องยึดหลักเกณฑ์ ประเทศไหนฟ้องมาเราก็รับฟัง แต่เราต้องยึดหลักเกณฑ์ ส่วนที่มีการพบสัญญลักษณ์คำว่า SEJEAL ถ้าเปิดในคัมภีร์จะระบุว่าเป็นนกชนิดหนึ่ง ที่ทำลายสิ่งชั่วร้าย อย่าไปตกใจ ไม่ใช่สัญลักษณ์เชื่อมโยงการก่อการร้าย เรื่องนี้ตนบอกไปแล้วว่าให้ตำรวจเลิกพูด
***“สุกำพล”ลั่นไทยอยู่ตรงกลาง
ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ในเรื่องเดียวกันว่า ขณะนี้ ทางหน่วยข่าวกำลังรวบรวมอยู่แล้ว คิดว่า เมื่อเวลานานเข้าจะมีข้อมูลเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่องการข่าวทางหน่วยความมั่นคงมีการบูรณาการมาตลอด แม้นายกรัฐมนตรีไม่ได้สั่ง ไม่ต้องห่วงกองทัพดำเนินการเรื่องนี้ตลอดเวลา ไม่ต้องมาบอกกันทุกวัน บางเรื่องบอกไม่ได้ เราดูว่า อะไร คืออะไรอยู่ การเสนอข่าวอย่าให้หวือหวา หรือทำให้ความมั่นคงของเราเสีย หรือทำให้น่ากลัว สติ๊กเกอร์ซีเจลไม่มีอะไร ขอให้ช่วยกันนิดหนึ่ง ขอร้องมาร้อยทีแล้ว ทำสักทีก็ยังดี ควรทำอะไรที่ไม่ทำให้ประเทศชาติเรากระเทือนว่า ประเทศไทยน่ากลัว ไม่น่ามา ข้อเท็จจริงวันนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ลดลงไปเลย ดังนั้นอย่าพยายามทำให้ลดลงไป เรารู้หน้าที่ นโยบายรัฐบาลต้องการให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะ ซึ่งเป็นจุดล่อแหลมหนึ่งทีทำให้คนเข้ามาง่าย หน่วยความมั่นคงต้องยอมเหนื่อยนิดหนึ่งเพื่อทำให้มีความมั่นคง มีความปลอดภัย
ส่วนกรณีที่ตนเคยเปรียบผู้ลอบวางระเบิดว่า เป็นจิ๊กโก๋ปากซอยนั้น ตนเพียงพูดว่า ลองย้อนมาวิเคราะห์ดูว่า คนทำมีความเป็นมืออาชีพหรือไม่ ซึ่งคนทำอย่างนี้ไม่มีความเป็นมืออาชีพ เหมือนจิ๊กโก๋ปากซอย แต่อย่าจับมาคำเดียวแล้วมาพูดอย่างนี้เสียหมด ทีหลังจะไม่พูดจิ๊กโก๋ปากซอยแล้ว ตนพลาดไปหน่อย ทำให้เรื่องสนุก ไม่สนุกเลย
“เรื่องการก่อการร้าย เราไม่มีเข้าข้างใครแม้กระทั่งอิหร่านเราไม่เคยบอกว่า เขาส่งคนมาทำบ้านเรา เราอยู่ตรงกลาง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลตรงนี้ คือ เป็นพื้นที่ปฏิบัติการของเขา เราไม่เป็นศัตรูกับใคร แล้วค่อยๆพิสูจน์ว่า อะไรคืออะไร ไม่ผลีผลาม ไม่ใช่ใครอ้างมาเชื่อหมด ไม่ใช่อย่างนั้น
ถ้าเขาว่า มาอย่างนี้ ต้องฟังเขาแล้วหน่วยข่าวก็นำไปดูว่า มันเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่า เขาพูดมาแล้วบอกว่า ใช่ เราอยู่ตรงกลาง ไม่ใช่เสี้ยมเขาควาย เราอยู่นิ่งๆ รักษาตัว ดูให้ดี ไม่ให้ตรงนี้มีปัญหา ไม่ให้บ้านเรามีปัญหา นโยบายความมั่นคงบางอย่างอาจจขัดนโยบายท่องเที่ยวของรัฐบาลบ้าง แต่เราต้องสนับสนุนนโยบายใหญ่ไป เราเพียงเหนื่อยมากหน่อยเท่านั้น เรื่องอย่างนี้ชาติอื่นลงข่าวไม่กี่ทีก็จบแล้ว บ้านเราลงข่าวทุกวัน ไม่หยุดสักที แต่เข้าใจผู้สื่อข่าวว่า ต้องลงทุกวัน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีเบี้ยเลี้ยงหรือเปล่าไม่รู้ ขอให้ช่วยกัน เพราะเรารักชาติเหมือนกัน”พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว