“ปานศิริ” นั่งหัวโต๊ะประชุมตำรวจทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีระเบิด 3 จุดกลางกรุง เพื่อให้ทุกฝ่ายทำงานไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมตั้ง “กฤษฎา” คุมงานสืบสวน ส่วน “เจตน์” ดูด้านการสอบสวน โดยจะเจาะลึกสืบค้นทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของขบวนการก่อเหตุครั้งนี้ เพื่อขยายผลติดตามผู้ต้องหามาดำเนินคดีต่อไป
วันนี้ (16 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่สน.คลองตัน พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร ได้เรียกประชุมทีมสอบสวนคดีเหตุระเบิด 3 จุดที่เกิดขึ้นย่านสุขุมวิท 71 พร้อมเปิดเผยก่อนการประชุมว่า ได้แต่งตั้งให้ พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผู้ช่วย ผบ.ตร.ควบคุมด้านการสืบสวน ส่วน พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผู้ช่วย ผบ.ตร.ควบคุมงานด้านการสอบสวน โดยได้เรียกประชุมตำรวจ บช.ก., บช.น., บช.สตม., บช.ส., พฐ.และหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งนำของกลางที่ได้จากที่เกิดเหตุทั้งหมดไม่ว่าเป็นระเบิดวิทยุ หรือเอกสารต่างๆ ของกลุ่มผู้ต้องหามาประชุมร่วมกัน
พล.ต.อ.ปานศิริกล่าวว่า ในการสืบสวนสอบสวนจะดำเนินการทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โดยจะสืบว่าคดีก่อเหตุระเบิด 3 จุดกลางกรุง กลุ่มผู้ต้องหาเข้าออกประเทศไทยกี่ครั้ง เมื่อไหร่บ้าง ส่วนวัตถุพยานที่ยึดได้ จะตรวจสอบว่านำเข้าประเทศไทยเมื่อไหร่ ซื้อที่ไหน หรือนำเข้าเมื่อไหร่ อย่างไร โดยจะใช้ สน.คลองตันเป็นกองอำนวยการสืบสวนสอบสวน ซึ่งจะประชุมกันทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป นอกจากนี้หลังเกิดเหตุระเบิดใน 48 ชั่วโมงที่ผ่านมาได้รายงานให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ทราบตลอดทุกเรื่อง
ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น. พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวภายหลังการประชุมว่า จากการสืบสวนขยายผลของ (บก.สส.บช.น.) นั้นพบว่า นอกจากมีผู้ต้องหา จำนวน 4 คน ที่ถูกออกหมายจับไปแล้ว ยังมีบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเกี่ยวข้องอีก 1 ราย ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดครั้งนี้ เนื่องจากมีพยานยืนยันและภาพระบุชัดเจน โดยเป็นชายชาวต่างชาติประเทศแถบตะวันออกลาง แต่ยังไม่ระบุว่าสัญชาติใดและมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับ และตรวจสอบว่ายังอยู่ในประเทศไทย หรือเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว พร้อมทั้งยังแบ่งงานให้พนักงานสอบสวนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กองปราบปราม สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และตำรวจสันติบาล ให้ไปรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม
พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่า นอกจากบ้านที่เกิดเหตุระเบิดในซอยปรีดีพนมพงค์ 31 นั้นยังมีสถานที่อื่นอีกกว่า 2-3 แห่งในกรุงเทพฯ ที่ผู้ต้องหาทั้ง 4 คนเดินทางเข้าไปพัก ส่วนบ้านเช่าของกลุ่มผู้ต้องหานั้นพบว่ามีอีก 1 จุด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะต้องทำการตรวจสอบและเข้าตรวจค้นเพิ่มเติมอีก อย่างไรก็ตาม จากการตรวจค้นบ้านของผู้ต้องหานั้นยังไม่พบตราสัญลักษณ์การก่อการร้ายแต่อย่างใด
“ทั้งนี้ ขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังร้านค้าขายวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยว่า หากมีชาวต่างชาติมาซื้อของก็ขอให้จดจำรายละเอียดพยานหลักฐานของบุคคลที่มาซื้อ และรายละเอียดสิ่งของต่างๆ ที่ซื้อไปด้วย ถ้าหากพบพิรุธข้อสงสัยมากก็ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบต่อไป” พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าว
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ผู้ต้องหาที่ชื่อนายมาซุด เซดากา ซาเดห์ อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาอีกรายที่ถูกจับกุมได้ที่ประเทศมาเลเซีย ขณะนี้ทางกองบัญชาการสันติบาล อยู่ระหว่างการประสานส่งตัวกลับมายังประเทศไทย ส่วนนายคาซาอี โมฮัมเหม็ด อายุ 42 ปี ผู้ต้องหารายนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เบื้องต้นพนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหาที่ได้ก่อเหตุ เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย และดำเนินคดีทางอาญาต่อไป
พล.ต.ท.วินัยกล่าวอีกว่า ในส่วนของเจ้าของบ้านหลังเกิดเหตุที่ให้กลุ่มอิหร่านเช่านั้น เจ้าของบ้านไม่น่าจะทราบถึงวัตถุประสงค์ว่าได้เข้ามาเช่าเพื่ออะไร ซึ่งชาวอิหร่านได้เข้ามาเช่าบ้านหลังดังกล่าวโดยการตระเวนเดินหาบ้านในละแวกดังกล่าวที่มีให้เช่า เมื่อพบก็ติดต่อกับเจ้าของบ้านเพื่อขอเช่าแบบปกติ แต่จากกระแสข่าวว่าเหตุระเบิดครั้งนี้ มีการเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดียหรือไม่นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่เห็นวัตถุระเบิดที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยยังอยู่ระหว่างการประสานขอรูปแบบมาตรวจสอบ เบื้องต้นวัตถุระเบิดที่ใช้ในการก่อเหตุในประเทศอิสราเอลมีความคล้ายคลึงกัน คือ การนำเอาแม่เหล็กมาติดที่ระเบิดแล้วนำไปแปะไว้ที่รถยนต์