ASTVผู้จัดการรายวัน-ตำรวจพบระเบิดแก๊งอิหร่านติดแม่เหล็กคล้ายเหตุในอินเดียและจอร์เจีย เชื่อคนร้ายมีเป้าสังหารตัวบุคคล"เพรียวพันธ์"มั่นใจมีหลักฐาน พร้อมประสานมาเลเซียล่าตัวคนร้ายรายที่ 3 "บิ๊กน้อย"ไม่โยงฮิซบอลเลาะห์ "เหลิม"ปากดีแค่เข้ามาแสดงสัญญลักษณ์ "ยิ่งลักษณ์"ทำได้แค่สั่งดูแลความปลอดภัยคนไทย-นักท่องเที่ยว"อภิสิทธิ์"เชื่อคนร้ายหวังก่อวินาศกรรม ล่าสุดศาลอนุมัติออกหมายจับ 4 มือบึ้มแล้ว
วานนี้ (15 ก.พ.) เวลา 09.00 น.ที่ สน.คลองตัน พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดคลี่คลายคดีเหตุระเบิด 3 จุด ในซอยปรีดีพนมยงค์ (สุขุมวิท 71)โดยเร่งรัดในการสืบสวนขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการ ของผู้ต้องหาชาวอิหร่านที่ยังหลบหนีอีก 1 คน รวมถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุและพยานแวดล้อมต่างๆ เพื่อขยายผลว่าคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือไม่ หรือมีเหตุจูงใจในการก่อเหตุอื่นๆส่วนคนร้ายชาวอิหร่าน ที่จับกุมได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยังถูกควบคุมตัวที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
**ไม่เกี่ยวกลุ่ม"อาทริส"
พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. เปิดเผยว่า จากการประชุมร่วมกับกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรากำลังตรวจสอบอยู่ว่า คนร้ายคนที่ 3 หลบหนีไปอยู่ที่ไหน ทราบชื่อผู้ต้องหาคนที่ 3 คือ นายมาซูด ซีดากัส ซาเดท ชาวอิหร่าน ที่จะนำภาพที่ได้มาไปเปรียบเทียบกับผู้ต้องสงสัยที่เดินทางออกไปแล้วว่าเป็นคนเดียวกันกับที่เดินออกจากบ้านหลังที่ผู้ต้องหาอาศัยอยู่หรือไม่ ส่วนของกลางทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน, เจ้าหน้าที่ EOD, พนักงานกองสืบสวน และพนักงานสอบสวนจะเข้าไปเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน เนื่องจากของกลางยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นชนิดเดียวกันกับเหตุที่เกิดในประเทศอินเดีย แต่ก็ได้พยายามรวบรวมให้ชัดเจนว่ามีความคล้ายกันหรือไม่
ส่วนกลุ่มผู้ก่อเหตุจะเชื่อมโยงกับกลุ่มของนายอาทริส ฮุสเซน ชาวเลบานอนหรือไม่ พล.ต.ท.วินัย กล่าวว่า ทั้งตัวบุคคลและของกลางไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่ตัวบุคคลที่ก่อเหตุครั้งนี้ยังไม่ได้ตั้งข้อหาก่อการร้าย แต่จะตั้งข้อหาตามพยานหลักฐานที่ตรวจพบ เบื้องต้นได้ตั้งข้อหาครอบครองวัถตุระเบิด พยายามฆ่าผู้อื่นและเจ้าหน้าที่ตำรวจระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
**คุมเข้มแหล่งชาวตอ.กลาง**
พล.ต.ท.วินัย กล่าวว่า ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลจะออกมาตรการด้านการป้องกัน สำรวจตรวจสอบเกสต์เฮาส์ หรือบ้านพักที่มีชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันออกกลางที่เข้ามาพักอาศัย ซึ่งจะมีการตรวจค้นบริเวณที่มีชาวตะวันออกกลางมาพักอาศัยมากๆ และทำการตรวจค้นทั้งตัวบุคคลและยานพาหนะ นอกจากนั้นได้สั่งการให้มีการตั้งด่านตรวจค้นวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุเกี่ยวกับระเบิด และการออกหนังสือเพื่อขอความร่วมมือกับเจ้าของกิจการบ้านเช่า เกสต์เฮาส์ที่มีชาวตะวันออกกลางไปพักอาศัย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเพื่อตรวจสอบดูแลพฤติกรรม
ผบช.น.กล่าวว่า ขณะนี้ทางการข่าวยังไม่มีอะไรที่จะก่อให้เกิดวิกฤตที่รุนแรง จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ชำนาญเกี่ยวกับวัตถุระเบิดได้ให้ความเห็นตรงกันว่า การก่อเหตุระเบิดนั้นมุ่งหวังที่จะสังหารตัวบุคคลมากกว่าก่อเหตุเพื่อทำให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณในพื้นที่กว้าง
**พบแม่เหล็กคล้ายบึ้มในอินเดีย
ส่วนแม่เหล็กที่พบในวัตถุระเบิดของคนร้ายจะเป็นชนิดเดียวกันกับเหตุโจมตีรถยนต์ของคณะทูตอิสราเอล ในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียด้วยหรือไม่ พล.ต.ท.วินัย กล่าวว่า ขณะนี้พยายามประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาความชัดเจนว่าคล้ายกันหรือไม่ และไม่พบว่ามีคนไทยมีส่วนเกี่ยวข้อง สำหรับแม่เหล็กที่ตรวจพบนั้น ทางตำรวจจะประสานกับสถานทูตอิสราเอล เพื่อขอข้อมูลเหตุระเบิดโจมตีรถยนต์ของคณะทูตอิสราเอล ในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย และในกรุงทบิลิซี (Tbilisi) ประเทศจอร์เจีย เนื่องจากพบว่ามีการใช้แม่เหล็กดังกล่าวเหมือนกัน
ทั้งนี้ มีรายงานว่า วัตถุระเบิดซีโฟร์ที่ตรวจสอบพบมีทั้งหมด 5 ลูก ระเบิดไปแล้ว 3 ลูก สามารถเก็บกู้ได้ 2 ลูก โดยระเบิดแต่ละลูกมีน้ำหนักประมาณ 4 ปอนด์ ตั้งเวลาเอาไว้ 5 วินาที มีรัศมีทำลายล้าง 40 เมตร ระยะสังหาร 3-5 เมตร นอกจากนี้ ยังพบว่าระเบิดแต่ละลูกมีการติดแม่เหล็กขนาดประมาณ 1 นิ้วเอาไว้จำนวน 6 อัน โดยติดไว้ที่ตัววิทยุทรานซิสเตอร์ วัตถุประสงค์ของการติดแม่เหล็กเพื่อนำไปใช้แปะติดกับยานพาหนะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงน่าจะเป็นการมุ่งสังหารตัวบุคคล ทั้งนี้ ระเบิดดังกล่าวสามารถใช้ก่อเหตุได้ 2 วิธี คือ ดึงสลักแล้วโยน กับนำไปแปะติดเอาไว้ แล้วใช้ลวดเส้นเล็กหรือเชือกผูกติดกับเพลาล้ออีกที เมื่อรถเคลื่อนตัวก็จะระเบิดทันที
**ผู้ต้องหาปฏิเสธ แต่หลักฐานมัดแน่น**
ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.)พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.เปิดเผยหลังร่วมสอบสวน นายโมฮัมหมัด คาซาอี (Mohammad Khazaei) อายุ 42 ปี สัญชาติอิหร่าน ที่ถูกจับกุมตัวได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิขณะเตรียมหลบหนีออกนอกประเทศ ว่าจากการสอบสวน นายโมฮัมหมัด ได้ให้การภาคเสธ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว แต่จากพยานหลักฐาน บุคคล และหลักฐานจากทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมถึงภาพจากกล้องวงจรปิดที่สามารถจับภาพนายโมฮัมหมัด ได้ขณะเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับพวก หลังเกิดเหตุระเบิดจุดแรกภายในบ้านเลขที่ 66 ภายในซอยปรีดีพนมยงค์ 31 รวมทั้งจากแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ สตม.และทาง บช.น.มีพยานหลักฐานรัดกุม จึงทำให้เชื่อได้ว่าคดีนี้มีพยานหลักฐานพอเพียง และไม่น่าจะมีปัญหา
**เชื่อมุ่งสังหารตัวบุคคล**
ผบ.ตร.กล่าวว่า ลักษณะระเบิดเหมือนกับเหตุการณ์ระเบิดที่ประเทศอินเดีย โดยการกระทำในครั้งนี้เป็นการมุ่งสังหารส่วนบุคคล ไม่ใช่ก่อเหตุตามสถานที่ ตำรวจได้จัดให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานที่ต่างๆ ที่มีชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนผู้ต้องสงสัยอีกคนหนึ่งที่เดินออกมาจากบ้านหลังที่เกิดระเบิด และสามารถหลบหนีออกไปนอกประเทศ ทราบชื่อต่อมาคือ นายมาซูด ซีดากัส ซาเดท (Masoud Sedaghatzadeh) ชาวอิหร่าน ล่าสุด ทราบว่า หลบหนีไปประเทศมาเลเซียแล้ว ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย โดยเช็กอินเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น.และขึ้นเครื่องประมาณ 20.20 น.ซึ่งได้ประสานงานกับทางการมาเลเซีย เพื่อติดตามจับกุมตัวแล้ว
พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ ผบช.สตม กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหากับนายโมฮัมหมัด ได้ ซึ่ง สตม.เพียงแต่เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหาจะทำได้เมื่อพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานว่ามีความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดดังกล่าว จึงจะแจ้งข้อกล่าวหาได้ อย่างไรก็ตาม สตม.สามารถควบคุมตัวได้ตามความจำเป็น ซึ่งไม่กำหนดระยะเวลา จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า วัตถุระเบิดที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ระเบิดที่ ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางแพทย์จาก รพ.ตำรวจ ได้เดินทางมาตรวจร่างกาย นายโมฮัมหมัด เพื่อประกอบสำนวนและใช้เป็นหลักฐานต่อไป
***ศาลอนุมัติหมายจับ 4 มือระเบิด ***
ด้าน พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บชน. กล่าวว่า ศาลได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 4 คนไว้แล้ว ประกอบด้วย นายซาอิส โมราดิ อายุ 28 ปี นายโมฮัมหมัด คาซาอี อายุ 42 ปี ที่ถูกจับกุมได้ นายมาซูด ซีดากัส ซาเดท อายุ 31 ปี ที่หลบหนี และ น.ส.ไลล่า โรฮานี่ อายุ 30 ปี ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกัน และเป็นผู้ติดต่อเช่าบ้านพักภายในซอยปรีดีย์พนมยงค์ 31
**รพ.จุฬาฯคุมเข้มมือระเบิด**
ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รศ.นพ.โศภณ นภาธร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แถลงข่าวอาการ นายซาอิส โมราดิ ว่าขณะนี้ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดเพื่อช่วยเหลือชีวิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยคณะแพทย์จะดูอาการของผู้ป่วยวันต่อวัน ส่วนเรื่องอื่นๆ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานต่อไป โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีหน้าที่ในการให้การดูแลรักษาอย่างดีที่สุดเท่านั้น
สำหรับการรักษาความปลอดภัย รศ.นพ.โศภณ กล่าวว่า เราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน สน.ลุมพินี และ หน่วยอรินทราช 26 ประสานกับทางทีม รปภ.ของโรงพยาบาล ดูแลความปลอดภัยตลอดเวลา และยังไม่มีการประสานเพื่อส่งคนไข้ไห้ รพ.ตำรวจ และขณะนี้ก็ไม่มีญาติหรือสถานทูตติดต่อดูอาการคนไข้แต่อย่างใด
**สมช.ไม่พบโยงฮิซบอลเลาะห์**
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ประชุมหน่วยความมั่นคง กรณีกลุ่มคนร้ายชาวอิหร่าน ปาระเบิดกลางกรุงถึง 3 ครั้งซ้อน บริเวณซอยปรีดีพนมยงค์ 31-33 บนถนนสุขุมวิท ซอย 71 โดยมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา (ที่ปรึกษา สบ.10) พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม (สนผ.) และพล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น.ร่วมประชุม
พล.ต.อ.วิเชียร แถลงภายหลังการประชุม ว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ สมช. เชิญประชุมศูนย์ราชการที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบและชี้แจงข้อมูลต่อประชาชน ซึ่งจากการที่ประชุมร่วมกันทุกฝ่าย ทั้งสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงกลาโหม ตรวจสอบพบว่าเป็นวัตถุระเบิดบ่งชี้ถึงการมุ่งเป้าหมายต่อบุคคล เพราะพบเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆมุ่งทำร้ายต่อตัวบุคคล ซึ่งอนุภาพของการทำลายล้างไม่ถึงขั้นกับการทำลายอาคารสถานที่มีขนาดใหญ่ๆ หรือกลุ่มคน และไม่ใช่การก่อวินาศกรรม
พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวกลุ่มคนดังกล่าวมีเกี่ยวโยงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์นั้น ในชั้นสอบสวนตรวจสอบแล้วยังไม่ปรากฎว่ามีส่วนเกี่ยวโยงกัน เนื่องจากนายอาทริส ฮุนเซน มีสัญชาติสวีเดน เชื้อสายเลบานอน แต่นายซาอิฟ โมราบิ นายแซยิด โมราบิค และนางโรฮานี ไลลา ถือพาสปอร์ตอิหร่าน อย่างไรก็ตาม เราจะดำเนินการตรวจสอบให้ชัดเจนต่อไปว่าเป็นคนของชาติใด ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จับกุมตัวนายฮุนเซน ทางการฝ่ายความมั่นคงได้ดูแลความปลอดภัย เพิ่มมาตรการดูแลบุคคลเข้า-ออก โดยเพิ่มกองกำลังดูแลตามแนวตะเข็บชายแดน และเพิ่มมาตรการตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งตอนนี้ก็ดำเนินการอยู่
เมื่อถามว่า จะเกี่ยวข้องกับการทำร้ายทูตอิสราเอลที่ประเทศอินเดียหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อวันที่ 13 ก.พ.หรือเหตุการณ์ที่จอร์เจีย ไม่มีการเกี่ยวโยงกัน แต่อย่างไรก็ตามเราจำเป็นต้องมีการตรวจสอบและสืบสวนเพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อถามอีกว่า วัตถุระเบิดที่พบมีการติดแผ่นแม่เหล็กลักษณะเหมือนกันกับวัตถุระเบิดที่ใช้ก่อเหตุที่อินเดียและจอร์เจีย พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า เรายอมรับว่ามีแม่เหล็ก ซึ่งเป็นการพุ่งเป้าที่บุคคล แต่ว่าการตรวจสอบที่มาที่ไปของแม่เหล็กจะมีการตรวจสอบต่อไป และจะมีการตรวจสอบเรื่องพาสปอร์ต และที่มาที่ไปของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
**มั่นใจการข่าวของไทย**
เมื่อถามว่า คนร้ายมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มเคลื่อนไหวกลุ่มใดเป็นพิเศษหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า ยังไม่มี แต่จะมีการตรวจสอบความเชื่อมโยงอยู่ อย่างไรก็ตาม การแถลงข่าวของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐก็ไม่ได้พูดว่ามันโยงมาที่เหตุการณ์ที่กทม. เพียงแต่กล่าวถึงว่าเหตุเกิดที่จอร์เจียและอินเดียเมื่อไหร่ และบอกว่าบางกลุ่มบางประเทศผู้ก่อการร้ายยังใช้วิธีการเหล่านี้ทำกับเป้าหมายอยู่ เมื่อถามว่า การข่าวของเรายังมีความเข้มแข็งทั้งภายในและภายนอกประเทศหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า ยืนยันว่ามาตรการด้านการข่าวเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องดำเนินการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ในประเทศแต่จะมีการขอความร่วมมือกับประเทศต่างๆด้วย
**"เหลิม"ยันการข่าวไม่บกพร่อง
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า คนกลุ่มนี้เขาเข้ามาดูจากพฤติกรรม ดูจากวัตถุระเบิด ไม่ใช่ระเบิดชนิดที่จะทำลายล้างในวงกว้าง ไม่ใช่ระเบิดที่ตั้งเวลาได้ แต่เป็นลูกระเบิด ถ้าคิดจะทำร้ายคนก็เป็นชนิดแบบขว้างปา ไม่มีรัศมีวงกว้างและไม่เกี่ยวกับฮิซบอเลาะห์
เมื่อถามว่า มีการประเมินกันว่าสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่อินเดีย และจอร์เจียถูกโจมตีเพื่อต่อต้านอิสราเอล และไทยจะเป็นฐานที่ผู้ก่อการร้ายจะมาก่อเหตุต่อต้านอิสราเอลหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ยังวิเคราะห์ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เราก็ระวัง พวกนี้เขาหัวรุนแรง เขาทำอะไรเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ในวันครบรอบที่พรรคพวก หรือผู้นำของเขาตาย เขาก็ต้องแสดงออกถึงผู้นำของเขาว่า เขายังห่วงใย เพื่อให้ขบวนการของเขาได้ระลึกถึงผู้นำที่เสียชีวิตไป
เมื่อถามว่า ตรงนี้เป็นสัญญาณ และคนเริ่มกลัวว่าจะมีการก่อการร้ายในประไทยแล้วหรือเปล่า รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่ถึงก่อการร้าย แค่แสดงสัญลักษณ์เล็กๆ น้อย ๆ
เมื่อถามว่า การข่าวเราบกพร่องหรือไม่ เพราะถ้าไม่เกิดเหตุระเบิด ทางการก็ไม่รู้ว่า คนพวกนี้เคลื่อนไหวอยู่ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่บกพร่อง พวกนี้เข้ามาตัวเปล่าแล้วเข้ามาหาอาวุธอุปกรณ์ในไทย หาโน่นนิด นี่หน่อย แล้วไปเช่าบ้านอยู่ ตนกำลังมีมาตรการใหม่ เชิญเจ้าของบ้านเช่า เจ้าของอพาร์ตเม้นต์ มาประชุมที่สโมสรตำรวจ ถ้าจำนวนมากก็ประชุมหลายครั้ง ถ้าจำนวนน้อย ก็ประชุมครั้งเดียว ต้องขอความร่วมมือ ตำรวจเองมีภารกิจ และพันธกิจหลายอย่าง จะไปตรวจสอบทุกห้องพักก็ไม่ได้ จะไปสงสัยทั้งหมดก็ไม่มีโอกาส แต่ถ้าเจ้าของบ้านเช่า อพาร์ทเม้นท์ และห้องพัก ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการแจ้งเบาะแส มันก็จะตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
**"ปู"สั่งดูแลนักท่องเที่ยว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวสั้นๆว่า ได้รับรายงานแล้วจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ขณะเดียวกันทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)ได้ประชุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความปลอดภัยของคนไทย และสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงนักท่องเที่ยวด้วย ทั้งนี้ยืนยันว่า ตนได้สั่งการไปทุกภาคส่วนแล้ว
เมื่อถามว่าจะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวหรือไม่ หลังจากที่ต่างประเทศยกเลิกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวแล้ว นายกฯ กล่าวว่า ขอฟังข่าวก่อน ซึ่งวันนี้เขาแค่แจ้งข้อมูลมาเท่านั้น
**“ มาร์ค”เชื่อก่อวินาศกรรม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ และมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับระเบิดที่อาจบ่งบอกได้ว่า เป็นการเข้าประเทศมาเพื่อก่อวินาศกรรม ซึ่งรัฐบาลจำเป็นจะต้องเร่งสืบสวนสอบสวนให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพราะเรื่องนี้ส่งผลต่อขวัญกำลังใจของประชาชนในเรื่องความปลอดภัย และส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวที่มีความอ่อนไหวมาก ขณะนี้ก็เห็นได้ชัดว่าผู้ก่อเหตุ เป็นชาวต่างชาติ ที่มีพรรคพวก และมีพฤติกรรมของการเข้ามา แล้วก็มีการทำระเบิดทำอะไรต่าง ๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่บ่งบอกก็คือ เป็นลักษณะของการเข้าประเทศมาเพื่อที่จะก่อเหตุวินาศกรรม หรือจะเรียกว่าก่อการร้าย หรืออะไรก็สุดแล้วแต่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ นายกฯ ควรออกมาเร่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทางด้านความมั่นคงออกมาเร่งหาข้อสรุปและให้ความมั่นใจกับประชาชนเกี่ยวกับมาตรการดูแลความปลอดภัย คิดว่าในแง่ของการเร่งให้หน่วยงานหรืออย่างน้อยผู้รับผิดชอบทางด้านความมั่นคงได้ออกมาเร่งหาข้อสรุป และให้ความมั่นใจกับประชาชนว่าจะมีมาตรการดูแลความปลอดภัย เข้มงวดกวดขันและมาตรการอะไรเพิ่มเติมให้เกิดความมั่นใจว่า อันนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก หรือว่ามีกระบวนการที่เข้ามาทำอย่างนี้ได้ เพราะจากการติดตามจากข้อมูลในขณะนี้ก็เหมือนกับบุคคลเหล่านี้เดินทางเข้ามาระยะหนึ่งแล้วด้วย
**บึ้มกระทบท่องเที่ยว
นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงเหตุระเบิด โดยยอมรับว่ามีผลกระทบต่อจิตวิทยาของนักท่องเที่ยวบ้าง โดยมีสิ่งบอกเหตุคือ หลายประเทศออกประกาศเตือนพลเมืองของตัวเองให้หลีกเลี่ยงการเดินทางมาท่องเที่ยวในบางจังหวัดของไทย เช่น อุดรธานีและเชียงใหม่ รวมทั้งอาจมีผลต่อนักท่องเที่ยวที่กำลังจะจองทัวร์มาเมืองไทยด้วย เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อตัวเลขนักท่องเที่ยวที่จองทัวร์มาไทยมากนัก เพราะสามารถเปลี่ยนไปจังหวัดอื่น ๆ ได้ แม้เดือน ม.ค.ที่ผ่านมาจะมีประกาศเตือนการก่อการร้ายในไทย แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวของไทยก็ยังสูงถึง 1.94 ล้านคน ซึ่งมากเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงถึงความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางมาเมืองไทยด้วย เราทำดีที่สุดแล้ว ขณะนี้ต้องรอผลการคลี่คลายคดีว่ามีสาเหตุจากเรื่องใด และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้การให้ VISA ON ARRIVAL หรือวีซ่าที่นักท่องเที่ยวสามารถขอได้ณ ประเทศปลายทางแก่อิหร่านนั้นต้องชะลอออกไปก่อน
**'สุรพงษ์'ยันบึ้มไม่ใช่ก่อการร้าย**
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นไม่น่าจะเป็นการก่อการร้าย เนื่องจากเจ้าหน้าที่พบเป็นระเบิดสังหารบุคคลมากกว่า ขณะที่ประเทศไทยไม่น่าจะเป็นเป้าหมายในการวางแผนวินาศกรรม แต่อาจเป็นการประกอบระเบิด เพื่อนำไปก่อเหตุในประเทศอื่นๆ นายสุรพงษ์ เรียกร้องให้ผู้ก่อการร้ายอย่าใช้ประเทศไทยกระทำการเช่นนี้ ที่ผ่านมาไทยวางตัวเป็นกลางทางการทูตมาโดยตลอด จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งของชาติอื่น ๆ
รมว.กต. กล่าวด้วยว่า จากนี้ไปเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม. ต้องตรวจสอบสถานะบุคคลให้มากขึ้น แม้เหตุการณ์ดังกล่าวมีประเทศที่เตือนให้พลเมือง ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวของตนระวังเหตุในไทยแล้ว 10 ประเทศ
"ไม่น่าจะเป็นการลอบสังหารนักการทูตอิสราเอลในไทย แม้ว่า ระเบิดที่ใช้ก่อเหตุลอบสังหารนักการทูตอิสราเอลในประเทศอินเดียเป็นระเบิดแบบเดียวกับที่ผู้ต้องสงสัยใช้ก่อเหตุในไทยก็ตาม อย่างไรก็ตาม ทางการไทยสามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที โดยสามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัย จำนวน 2 คนจาก 4 คน คือ ชาย 3 หญิง 1 โดยทั้งสองได้ถือหนังสือเดินทางระบุสัญชาติอิหร่าน ที่ต้องพิสูจน์สัญชาติต่อไป และทำการตรวจสอบพาสปอร์ตด้วย เนื่องจากอาจถือหนังงสือเดินทางปลอดก็ได้ โดยคาดว่า จะใช้เวลา 2-3 วันนี้" นายสุรพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในเวลา 15.30 น.วันเดียวกัน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัติ รอง ผบ.ตร. และพล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น.ร่วมบรรยายสรุปให้กับเอกอัครราชทูตต่างประเทศในไทย และองค์การระหว่างประเทศ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และการดำเนินการเพื่อรักษาความปลอดภัย