xs
xsm
sm
md
lg

มาตรการห่วย-ไม่ไช่มืออาชีพทำไทยเสี่ยงก่อการร้าย!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคนร้ายมันสะเพร่า “ทำพลาด” ขณะกำลังประกอบระเบิดหรือต่อวงจรระเบิดจนเกิดตูมตามขึ้นในบ้านที่เช่าเอาไว้ในซอยปรีดีพนมยงค์ 31 แขวงและเขตวัฒนา กรุงเทพฯ เมื่อบ่ายวันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้ “ความแตก” ขึ้นมาเสียก่อนจนมีการจับกุมผู้ต้องหาเอาไว้ได้จำนวนสองคน ดังที่มีการรายงานข่าวกันอย่างครึกโครม แต่ถึงอย่างไรก็ดีก็ยังมีคนร้ายที่หนีรอดไปได้อีกหนึ่งรายกำลังติดตามจับกุมตัวกันอยู่

หลังเกิดเหตุฝ่ายรัฐบาลตั้งแต่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ กลับพยายามปิดปากไม่ยอมเปิดเผยอะไรมาก ซึ่งหากพิจารณากันด้วยเหตุผลมันก็ชอบอยู่เพราะต้องรอสอบสวนหาหลักฐานให้มากกว่านี้ แต่ก็มีบางคนที่พยายามเบี่ยงเบนให้ลดความรุนแรงลงไป อย่างเช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ที่สรุปฟันธงทันทีว่าไม่ใช่การก่อการร้าย แต่เป็นการลงมือของ “คนไม่ดี” ฟังดูแล้วกวนประสาทสิ้นดี เพราะถ้าอยู่นิ่งไม่ตอบคำถามก็น่าจะดีไม่น้อย แม้จะรู้ว่าพยายามพูดเพื่อยับยั้งความเสียหายที่จะตามมา แต่การพูดแบบนี้นอกว่าไม่เป็นผลดีแล้ว ยังทำให้ทำให้เกิดภาพลบกับรัฐบาลมากขึ้นไปอีก

ขณะเดียวกัน ที่ผิดสังเกตก็คือ การหายเงียบไปตั้งหลักพักใหญ่ของ รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ปกติหากเกิดเหตุก็จะต้องไปถึงที่เกิดเหตุก่อนใครแล้วก็แถลงเป็นฉากๆ ราวกับเป็นคนสั่งการให้ลงมือเอง เหมือนกรณีที่เคยจับคู่กับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ไปตามจับกุมผู้ต้องหาที่ลอบวางระเบิดย่านชานเมืองเมื่อปลายปีที่แล้ว เพราะบอกว่ารู้ข่าวตอนตี 3 จากนั้นตามไล่ตะครุบได้ทันควัน หรือกรณีแถลงจับกุมช่างตัดผมชาวสวีเดนสัญชาติเลบานอนว่าเป็นผู้ก่อการร้าย “ฮิซบอลเลาะห์” ที่เตรียมมาก่อเหตุในไทย แต่ถูกตัดตอนจับกุมเสียก่อน

พร้อมทั้งประกาศว่า ทุกอย่างเรียบร้อย รู้หมดทุกอย่างแล้ว จากนั้นก็มีการไปค้นโกดังโรงเก็บปุ๋ยยูเรียที่สมุทรสาคร ดูแล้วสมจริงสมจัง น่าสบายใจตามที่อ้างจริงๆ

แต่จู่ๆ ก็เกิดเหตุที่ซอยปรีดีพนมยงค์ ซึ่งถ้าคนร้ายซึ่งเป็นชาวอิหร่านทั้งสามคนไม่ทำพลาดจนเกิดระเบิดขึ้นจนบัดนี้ก็ยังเสียวสยองไม่หายว่าหากระเบิดที่เตรียมเอาไว้แล้วนำไปวางไว้ที่เป้าหมายจะเกิดความเสียหายมากขนาดไหน เพราะเมื่อพิจารณาจากที่มาของคนร้าย และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากคำเตือนของหน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา และอิสราเอล ว่าจะมีการก่อการร้ายในไทย ซึ่งต่อมาประเทศดังกล่าวและในเอเชีย ยุโรปต่างออกประกาศเตือนให้พลเมืองของตนระมัดระวังการเดินทางเข้าประเทศไทย จนสร้างความเสียหายทางด้านการท่องเที่ยวไม่น้อย และเพิ่งจะถอนคำเตือนก่อนเกิดเหตุระเบิดครั้งล่าสุดในซอยปรีดีฯ และสุขุมวิท 71 เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

เหตุการณ์ระเบิดคราวนี้แม้ว่าจะยังไม่มีรายละเอียดในการสอบสวนและหลักฐานมากนัก แต่หลายฝ่าย โดยเฉพาะประเทศคู่กรณีอย่างสหรัฐอเมริกา และอิสราเอล ก็ได้ออกมาประณามและชี้หน้ากล่าวโทษรัฐบาลอิหร่านทันทีในทำนองว่าอยู่เบื้องหลัง พร้อมทั้งเชื่อมโยงจากเหตุลอบวางระเบิดที่กรุงนิวเดลีของอินเดีย และสาธารณรัฐจอร์เจีย ที่คนร้ายลอบวางระเบิดหมายสังหารนักการทูตของอิสราเอล

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้ทำให้พิจารณาเห็นว่าประเทศไทยกำลังถูกดึงเข้าสู่สมรภูมิก่อการร้ายแบบถลำลึกเข้าไปทุกที ส่วนหนึ่งเกิดจากมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา และอิสราเอล ที่เป็นคู่กรณีกับกลุ่มประเทศอาหรับ และกำลังมีความตึงเครียดอยู่กับรัฐบาลอิหร่าน ดังนั้น การลงมือของคนร้ายชาวอิหร่านในคราวนี้แม้ว่ายังไม่อาจฟันธงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ว่ามีเป้าหมายอยู่ที่ใด แต่แนวโน้มและเมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมแล้วน่าจะพุ่งไปที่บุคคลและสถานที่ที่เป็นผลประโยชน์ของประเทศดังกล่าวค่อนข้างแน่

อย่างไรก็ดี ปัญหาก็คือประเทศไทยมีความพร้อมแค่ไหนกับการรับมือกับภัยก่อการร้าย เพราะถือว่าเป็นภัยระดับโลก ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ มีเครือข่ายข้อมูลข่าวกรองเชื่อมโยงถึงกัน ที่สำคัญต้องใช้ระดับมืออาชีพ ทำมากกว่าพูดไม่ใช่ “ขี้โม้” แถลงข่าวสร้างภาพเหมือนกับการจับกุมยาบ้าล็อตใหญ่ นำผู้ต้องหามาโชว์ เพราะหากพิจารณาจากเหตุการณ์จับกุมผู้ต้องหาสัญชาติเลบานอนมาจนถึงคนร้ายชาวอิหร่านที่ “ทำพลาด” จนความแตกมันก็สะท้อนให้เห็นว่าการทำงานของหน่วยข่าวกรองของไทยและตำรวจไทยในยุคนี้ยังใช้ไม่ได้ และไม่มีศักยภาพสำหรับงานใหญ่ระดับสากลที่กำลังเกิดขึ้น

เพราะการรับมือกับการก่อการร้ายต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ไม่ใช่โชว์ออฟแอ็กอาร์ตยืดหญิงไปวันๆ

การที่คนในรัฐบาลพยายามออกมาพูดแบบตัดบทว่าเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นการก่อการร้าย ทั้งที่หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมทุกอย่างแล้วมันเป็นไปทางอื่นได้น้อยมาก ซึ่งการพูดในลักษณะแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และน่าเห็นใจ เพราะไม่ต้องการให้ตื่นตระหนก กระทบกับเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งหากยังเห็นการทำงานของฝ่ายเจ้าหน้าที่ไทยและรัฐบาลไทยยังเป็นแบบนี้มันก็น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า

เพราะจากเดิมประเทศไทยถูกมองว่าเป็นแหล่งพักผ่อนของผู้ก่อการร้ายที่เข้าออกอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เป้าหมายในการก่อเหตุ แต่คราวนี้จากความขัดแย้งที่ซับซ้อน และผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจที่ต้องการดึงไทยเข้ามาเป็นแนวร่วม เป็นฐานในภูมิภาคเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายสำหรับทำสงครามแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติอย่างที่หลายฝ่ายวิเคราะห์กันในเชิงลึก มันก็ยิ่งน่าเป็นห่วงไปกันใหญ่

หากพิจารณาตั้งแต่ชายแดนใต้ มันทำท่าลุกลามขึ้นมาจนถึงใจกลางกรุงเทพฯ แล้ว!!
กำลังโหลดความคิดเห็น