เหตุการณ์ระเบิดสะท้านเมืองรับวันวาเลนไทน์ ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว แต่อาการหวาดหวั่นขวัญผวายังไม่จางหายจากสังคมไทย
จากหลักฐานชัดเจนว่าไม่ใช่ระเบิดธรรมดา แต่เกี่ยวพันไปถึงเรื่องความขัดแย้งข้ามชาติ
ก่อนหน้านี้มีการประกาศเตือนจากสหรัฐอเมริกา และอิสราเอล ว่าจะมีขบวนการก่อการร้าย ก่อวินาศกรรมในประเทศไทย เป้าหมายบอมบ์ใจกลางเมืองหลวง จนมีการจับตัวนาย อาทริส ฮุสเซน ผู้ต้องสงสัยมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นขบวนการ “ฮิซบอลเลาะห์” ตามที่อิสราเอลและสหรัฐอเมริกาประหวั่นพรั่นพรึงหรือไม่
มาคราวนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก แม้ไม่แน่ชัดว่ากลุ่มผู้ก่อการชาวอิหร่านเป็นขบวนการที่เชื่อมโยงกับ “ฮิซบอลเลาะห์” หรือไม่ แต่มีเจตนาร้ายแน่ หวังใช้ระเบิดก่อเหตุเชิงสัญลักษณ์ หรือมุ่งหมายสังหารบุคคล...ใครสักคน?
อิสราเอลปักใจเชื่อว่าอิหร่านต้องการปฏิบัติการที่สถานทูตอิสราเอล มุ่งสังหารทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ซึ่งกระทำในลักษณะคล้ายกันกับในประเทศจอร์เจีย และอินเดีย ระบุชี้ชัดเลยว่า เป็นระเบิดชนิดเดียวกัน และมีผู้อยู่เบื้องหลัง หรือหัวหน้าผู้สั่งการคนเดียวกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สร้างความหวาดผวาให้ประชาชนคนไทย ไม่มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตเอาเสียเลย จะเดินทางไปไหนต้องคอยระแวดระวัง มองซ้ายมองขวารอบตัวเหมือนคนเสียจริต หวั่นระแวงจะเกิดเหตุตูมตามขึ้นมาอีก
เช่นเดียวกับสายตาของต่างชาติที่กำลังเพ่งมองประเทศไทยอย่างไม่ละสายตาว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ใครกำลังมาทำอะไร ด้วยเป้าหมายอะไร เบื้องต้นจึงสั่งให้ประชาชนของตัวเองเฝ้าระวังการใช้ชีวิตในประเทศไทยจากภัยการก่อการร้าย
ส่งผลกระทบทั้งสายตาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ!
เป็นปัญหาใหญ่ที่ทับซ้อนเข้ามาให้รัฐบาลต้องเร่งมือจัดการคลี่คลายแก้ไขด้วยความละมุนละม่อม เพราะประเทศไทยนั้นทุกฝ่ายเชื่อมั่นว่าไม่ใช่ประเทศคู่ขัดแย้ง แต่อาจมีบางกรณีที่มีการวางระเบิดตามสถานทูต หรือสถานที่สำคัญของประเทศคู่ขัดแย้ง
ประเทศไทยคงต้องสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์ต่างๆ ไปตามข้อเท็จจริง เป็นกลางและรอบคอบมากที่สุด หากเกิดความเอนเอียงไปทางหนึ่งทางใดชัดเจนแล้ว ผลร้ายอาจตกกับประเทศไทย ถ้ากลายเป็นพื้นที่เป้าหมายไปด้วยแล้วจะยุ่งไปกันใหญ่ ดังนั้นการดำเนินการใดๆ ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม เป็นมิตรกับทุกฝ่ายไว้ก่อน
ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์กันจนเลยเถิด เพราะขณะนี้สายตาทั่วโลกล้วนจ้องมองมายังท่าทีของไทย บางครั้งคำพูดคนใหญ่คนโตในประเทศก็นับว่าไม่เหมาะสม เช่นกรณีที่ สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ระบุเชิงเย้ยหยันว่าเป็นฝีมือโจรชั้นปลายแถว คำพูดที่ขาดความระมัดระวังอาจเป็นการยั่วยุ และอาจสร้างความเข้าใจผิดในบทบาทของประเทศไทยได้
การออกมาให้สัมภาษณ์ หรือด่วนสรุปเรื่องราว ทั้งที่ความจริงยังไม่ปรากฏชัด ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเลย เพราะบางครั้งบางทีข้อเท็จจริงมันอาจไม่ใช่ ดังนั้นทางการไทยต้องมีความระมัดระวังสูงขึ้นเป็น 2 เท่าในการบริหารจัดการเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะการชี้แจงแถลงข่าวต่อสาธารณชน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองที่มีรายได้หลักสำคัญมาจากการท่องเที่ยว เห็นทีว่าต้องมาทบทวนมาตรการการตรวจคนเข้าเมือง การตรวจสอบนักเดินทางกันสักหน่อย เพราะที่ผ่านมาดูจะเปิดเสรีเกินไปจนถึงขั้นหละหลวม ด้วยเพราะต้องการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว กอบโกยรายได้เข้าประเทศให้มากที่สุด
จากนี้ไปคงต้องตรวจสอบเข้มข้นขึ้น มีมาตรการเฝ้าระวังบุคคลบางกลุ่มเป็นพิเศษ แต่กระนั้นก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ หรือจ้องจับผิดประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มชาวอาหรับ เพราะจะถูกมองเจตนาเป็นการต่อต้านฝ่ายใด หรือสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ทางที่ดีประเทศไทยควรต้องยกเครื่องปรับปรุงกระบวนการข่าวกรอง หน่วยงานความมั่นคงทั้งหลายแหล่ เพราะที่ผ่านๆ มา จนถึงการเกิดเหตุการณ์ล่าสุดดังกล่าว หน่วยงานความมั่นคงถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพมาตลอด
หน่วยงานที่มีความสำคัญมากของประเทศ มีผลโดยตรงกับความปลอดภัยมั่นคงของประเทศ วันนี้ถูกฝากความหวังไว้กับใครก็ไม่รู้ คนที่เข้ามารับตำแหน่งต่างๆ ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสม เช่น เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือเลขาฯ สมช. ที่ช่วงหลังตกเป็นตำแหน่ง “เทกระโถน” รองรับอารมณ์ของฝ่ายการเมือง
ใครไม่ใช่พวกเดียวกับรัฐบาล ไม่สนองงานรับใช้พวกตนเองก็จับมาแปะไว้ นั่งตบยุงไปวันๆ โดยไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญงานด้านนั้นๆ ทั้งๆ ที่มีความสำคัญมาก ตำแหน่งเลขาฯ สมช.จึงดูผิดฝาผิดตัว อย่าง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีต ผบ.ตร.ที่โดนโยกกระเด็นมาเพื่อเปิดทางให้พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.คนใหม่
การทำงานช่วงที่ผ่านมาต้องถือว่าสอบตก เหมือนนั่งเซ็นเอกสารไปวันๆ ไม่มีแอ็กชันเรื่องการสืบสวน สอบสวน หาข่าวเชิงลึกลับ เรียกว่าทำงานกันไม่เป็น!!
ตำรวจสันติบาล ที่เคยเป็นหน่วยงานขึ้นชื่อลือชา เหมือนพญาเหยี่ยวฉกเหยื่อด้วยสายตาแหลมคม กว้างไกล วันนี้กลายเป็น “เหยี่ยวขี้โรค” เหมือนติดหวัดนก กลายเป็น “สุสานพลโท” ไม่มีผลงานให้เป็นที่กล่าวขวัญถึง ไม่แตกต่างจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ที่เคยเป็นหน่วยงานโก้หรู ซีไอเอเมืองไทย หน่วยปฏิบัติการที่ใครหลายคนอยากเป็น วันนี้ถูกแปรสภาพไปเป็นเครื่องมือประหัตประหารกันทางการเมือง ตกเป็นเครื่องมองฝ่ายการเมืองภาครัฐ หยิบฉวยมาทำงานให้จนขาดความเป็นตัวของตัวเอง
ประชาชนไม่รู้จะฝากความหวังไว้ที่ใคร เกิดเหตุการณ์เสี่ยงๆ เสียวๆ กระทบกับความเชื่อมั่นต่อชีวิตและทรัพย์สิน ก็ได้แต่นั่งหวาดผวา ไม่มีความเชื่อถือว่าฝ่ายความมั่นคงของตัวเองจะสามารถจัดการได้รวดเร็วทันท่วงที
ความหละหลวม การข่าวไร้ทิศทางที่ชัดเจน และยังขาดการประสานงานเชื่อมโยงกับต่างชาติ ประเทศไทยจึงเปรียบเมืองสวรรค์ของการก่อการร้าย ผู้ที่คิดจะก่อเหตุเข้านอกออกในตามสะดวก บ่อยครั้งที่มีการใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน เป็นที่ประกอบวัตถุระเบิด เป็นดินแดนประสานงาน และในที่สุดก็อาจใช้เป็นประเทศก่อเหตุในที่สุด เนื่องเพราะความหละหลวมของระบบความมั่นคงภายในประเทศไทย!!
การติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ต้องสงสัยที่เดินทางเข้าประเทศ การจับตากลุ่มบุคคลอันตรายช่วงระหว่างที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยประสานข้อมูลกับต่างประเทศ เหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นจุดบอดของหน่วยการข่าว หน่วยงานความมั่นคง จะรู้เรื่องรู้ราวก็ต่อเมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว เกิดระเบิดทีหนึ่งก็สอบสวน สืบสวน กันอย่างจริงจังสักทีหนึ่ง
หลังเกิดเหตุการณ์ที่เป็นบทเรียนครั้งนี้ขึ้นมาแล้ว คงต้องมาสังคายนา “ยกเครื่อง” กันใหม่ หน่วยงานที่เคยมีชื่อเสียงเกรียงไกรในอดีตถึงคราวต้องปัดฝุ่นทบทวนการทำงานของตัวเอง สลัดให้พ้นปลดล็อกให้ออกจากวังวนการเมือง แล้วกลับมาเป็นที่พึ่งหวังของประชาชนทั้งประเทศสักที...