xs
xsm
sm
md
lg

ตะลึง!สติ๊กเกอร์ว่อนสุขุมวิท พิกัดจุดวางบึ้ม คุมตัว"โมฮัมหมัด"ทำแผนฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - ผงะ! หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดพบสติ๊กเกอร์อักษร SEJEAL หรือ "พุ่งทะยานไปสู่จุดสูงสุด" ย่านเพลินจิต-สุขุมวิท เชื่อเป็นจุดกำหนดระเบิดสังหารของแก๊งอิหร่าน ส่วน "โมฮัมหมัด" ยังให้การภาคเสธไม่เกี่ยวบึ้มกรุง ตร.คุมทำแผนจุดก่อเหตุ-เส้นทางหนี พฐ.ยันมีหลักฐานเอาผิดได้ ผบ.ทบ.ชี้บึ้ม 3 จุด ส่งสัญญาณเตือนอนาคตประเทศไทย

วานนี้ (20 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีระเบิด 3 จุด ในซอยปรีดีพนมยงค์ 31-33 และถนนสุขุมวิท 71 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าชุดทำงานคลี่คลายคดี ได้ประชุมพนักงานสอบสวน พร้อมกันนี้ได้ควบคุมตัว นายโมฮัมหมัด คาซาอี (Mohammad Khazaei) อายุ 42 ปี สัญชาติอิหร่าน ผู้ต้องหาชาวอิหร่านที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับกุมได้ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และถูกควบคุมตัวไว้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตาม พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมืองในช่วงที่ผ่านมาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมด้วย และพบว่าขณะถูกคุมตัวไว้นายโมฮัมหมัด มีอาการเครียดตลอดเวลา

จากนั้นเวลา 09.00 น.พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต ผู้ช่วย ผบ.ตร.พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร.พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผู้ช่วย ผบ.ตร.และพล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. พร้อมด้วยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นำทีมชุดพนักงานสอบสวน ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าการสอบสวนนายมูฮัมหมัด คาซาอิ โดยใช้เวลาการสอบปากคำผู้ต้องหากว่า 3 ชั่วโมง

พล.ต.อ.ปานศิริ เปิดเผยว่าหลังจากที่เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาคนที่ 5 เป็นชายชาวตะวันออกกลาง ชื่อนายนูโรซิ ชายัน อาลี อัคบาร์ (Mr.Norouzi Shaya Ali Akbar) อายุ 57 ปี สัญชาติอิหร่าน ที่บันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดได้ โดยได้แจ้งใน 3 ข้อหาคือ 1. ร่วมกันทำและประกอบวัตถุระเบิด 2. ร่วมกันมีไว้ซึ่งวัตถุระเบิดในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และ 3. ทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกาย

"เบื้องต้นจากการสอบสวนผู้ต้องหายังให้การภาคเสธกับแนวทางการสอบสวนของตำรวจ อย่างไรก็ตามทางพนักงานสอบสวนก็ได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆที่มีมากพอไว้แล้ว และสามารถบ่งชี้ว่านายโมฮัมหมัด มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดดังกล่าว และหลังจากการสอบปากคำผู้ต้องหาแล้ว จะมีการพาตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นตามสถานที่ต่างๆตามที่ได้ให้การไว้ ส่วนที่ว่ากลุ่มผู้ต้องหาเป็นกลุ่มฝ่ายใดนั้น ผมยังไม่ขอชี้แจง ขอให้เป็นเรื่องของขบวนการสอบสวนจะดีกว่า " พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าว

**ยังไม่ออกหมายจับเพิ่ม**

นอกจากนี้ พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้ต้องหาคนที่ 5 ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกไว้ได้เมื่อช่วงเช้าวันที่ 14 ก.พ.ก่อนเกิดเหตุระเบิด ทราบชื่อคือนายนูโรซิ ชายัน อาลี อัคบาร์ (Mr.Norouzi Shaya Ali Akbar) อายุ 57 ปี สัญชาติอิหร่าน ซึ่งน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสตม.รายงานการเข้าออกประเทศไทยของนายนูโรซิ ทราบว่า เข้ามาประเทศไทยเมื่อวันที่ 2 ก.พ.เวลา 21.00 น. เที่ยวบิน W 50053 สายการบินมาฮานแอร์ จากกรุงเตฮาลาน ประเทศอิหร่าน และเดินทางออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 14.ก.พ.เวลา 08.50 น.เที่ยวบิน W50050 สายการบินมาฮานแอร์ จากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปยังกรุงเตฮาหราน ประเทศอิหร่าน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง และทำให้เกิดระบิด ซึ่งจากนี้จะเตรียมประสานทางการทูตเพื่อขอติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป

ต่อมาผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 16.00 น. พล.ต.ต.พิสิฏฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ รองผบช.น. กล่าวว่า จากการสอบสวนเราได้ออกหมายจับไปแล้ว 5 คน ซึ่งคงไม่มีการออกหมายจับไปมากกว่านี้ แล้ว

**คุมตัวทำแผนชี้จุดก่อเหตุ-เส้นทางหนี**

ต่อมาเวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผกก.กก.สายตรวจ191 บก.สปพ. พ.ต.อ.สิทธิภาพ ใบประเสริฐ ผกก.สน.คลองตัน พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.คลองตัน และสายตรวจ 191ร่วม 20 นาย ควบคุมตัวนายมูฮัมหมัด ฮาซาอิ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ พร้อมกับชี้จุดที่เกิดเหตุและเส้นทางหลบการหนี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมูฮัมหมัด ได้ใส่เสื้อเกราะกันกระสุนขณะเดินทางไปทำแผนฯ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือมาคอยคุ้มกันความปลอดภัย ซึ่งนายมูฮัมหมัด มีสีหน้าที่เคร่งเครียดได้นั่งรถยนต์ของตำรวจสายตรวจ 191 พร้อมมีรถตำรวจคุ้มกันปิดหัวและปิดท้าย โดยมีการทำแผน 2 จุด

จุดที่ 1 บ้านเลขที่ 66 ซอยปรีดีพนมยงค์ 31 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. ซึ่งเป็นบ้านพักของผู้ต้องหาที่เกิดเหตุระเบิดขึ้น โดยไม่มีการเข้าไปภายในบ้านพัก เพียงให้ผู้ต้องหาชี้จุดอยู่บริเวณหน้าบ้าน เพราะสภาพบ้านได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด โดยหลังเกิดเหตุระเบิดขึ้นผู้ต้องหาได้นั่งรถแท๊กซี่หลบหนีไป ที่แอร์พอตลิ้ง สถานีรามคำแหง

จุดที่ 2 บริเวณแอร์พอตลิ้ง สถานีรามคำแหง เป็นจุดที่ผู้ต้องหานั่งแท๊กซี่มาลงและได้เดินขึ้นมาซื้อตั๋ว เพื่อไปยังปลายทางสนามบินสุวรรณภูมิ จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับกุมไว้ได้คาสนามบิน ขณะเตรียมตัวเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย เมื่อช่วงเย็นของวันที่เกิดเหตุดังกล่าว ทั้งนี้ ระหว่างนำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่แอร์พอตลิ้ง รามคำแหง เจ้าหน้าที่ได้ชี้ไปยังอาคารนาซ่า เวกัส และสอบถามผู้ต้องหาว่ารู้จักสถานที่ดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งนายมูฮัมหมัด ตอบว่ารู้จัก แต่ไม่มีการขึ้นไปบนอาคารดังกล่าว

จากรายงาน การทำแผนประกอบคำรับสารภาพใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวนายมูฮัมหมัด มาที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)เพื่อควบคุมตัวและเตรียมฝากขังศาลต่อไป

**พบสติ๊กเกอร์จุดกำหนดระเบิดสังหาร**

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดหรือ EOD กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางไปตรวจสอบสติ๊กเกอร์ตัวอักษร SEJEAL ที่พบติดอยู่ตามที่ต่างๆ ตลอดแนวถนนเลียบทางด่วนเพลินจิตฝั่งใต้มุ่งหน้าโรงแรมเจดับบลิวแมริออต จนเลี้ยวซ้ายมาถนนสุขุมวิท หน้าอาคารคิวเฮ้า โดยสติ๊กเกอร์ดังกล่าวได้ติดตามเสาไฟฟ้า เสาป้ายโฆษณา ป้ายบอกทาง ตู้โทรศัพท์ มีจำนวนกว่า 40 แผ่น ทั้งหมด 27 จุด

สำหรับสติ๊กเกอร์อักษร SEJEAL เป็นอักษรที่พบที่ห้องของนางไลลา โรฮานิ และที่รถจักรยานยนต์ที่กลุ่มผู้ต้องหาเตรียมไปก่อเหตุ จึงเชื่อว่าการพบอักษรดังกล่าวน่าจะมีความเชื่อมโยงกับคนร้าย อาจเป็นการกำหนดจุดเพื่อก่อเหตุระเบิดสังหาร อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดได้มารายงานเรื่องดังกล่าวให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ให้ทราบแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสติกเกอร์ดังกล่าวพิมพ์ด้วยอักษรภาษาอังกฤษสีดำบนพื้นสีขาว ขนาดความยาว 30 ซม.กว้าง 10 ซม โดยมีอักษร SEJEAL แปลว่าพุ่งทะยานไปสู่จุดสูงสุด ซึ่งเป็นคำในภาษาอาหรับ

**"เหลิม"ยันไทยไม่ใช่ฐานก่อการร้าย**

ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวก่อการร้ายในประเทศไทย หลังการจับกุมชาวอิหร่าน ที่เข้ามาเตรียมก่อเหตุในประเทศไทยว่า จริง ๆแล้ว ประเทศไทยไม่ใช่ฐานการก่อการร้าย และเราไม่ยอมให้ใครมาก่อการร้าย ขอเรียนว่าตนสามารถคุมสถานการณ์ได้ และจะทำให้ดีที่สุด ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสองกลุ่ม คือ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ กับอิหร่าน ซึ่งผู้นำจิตวิญญาณของฮิซบอลเลาะห์ เขาออกมาปฏิเสธแล้ว ว่าไม่ได้ก่อเหตุ ส่วนชาวอิหร่านที่จับกุมได้ เขาประกอบระเบิดแล้วเกิดระเบิดขึ้นในบ้าน 1 ลูก โยนใส่แท็กซี่ 1 ลูก ทำตกเองจนขาดขาด 1 ลูก ซึ่งพฤติกรรมของการใช้ระเบิดนั้น ระเบิดที่เป็นลูก เขาใช้ขว้างปา ไม่ได้ใช้ก่อวินาศกรรม ก่อเหตุรุนแรง แต่เราต้องวิเคราะห์ และหาข้อมูลประกอบว่า จะทำอย่างไรให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ

"ตำรวจต้องบูรณาการกำลังและการข่าวอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการป้องกัน ต้องยอมรับว่าอิหร่าน อิสราเอล และสหรัฐอเมริกา เขาทะเลาะกันมานานแล้ว ทำไมเมืองไทยต้องไปทะเลาะกับเขา เราไม่ใช่ศัตรู เราต้องระมัดระวังป้องกัน ทำให้บ้านเราปลอดจากการก่อการร้าย ปลอดจากการเป็นฐานที่ตั้ง ซึ่งที่ผ่านมามันไม่มี และตนเชื่อว่าสามารถทำได้ "ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

**"สุกำพล"ยอมรับน่ากังวล**

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวยอมรับว่า สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลในขณะนี้ เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะความขัดแย้งมันเกิดทั่วโลก ไม่เฉพาะเจาะจงในไทยเท่านั้น แต่เมื่อเกิดเหตุ ต้องเข้มงวดและเข้มข้นขึ้น ส่วนข่าวการใช้ไทยเป็นฐานก่อการร้ายนั้น ตอนนี้คงน้อยลง เพราะเชื่อว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้นแล้ว แต่จะไม่ประมาท และเตรียมรับมือให้ดี

เมื่อถามว่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกฯ อ้างว่า เหตุระเบิดในไทยนั้น เป็นเพราะไทยเป็นประเทศเสรี ในการเดินทางเข้าออก รมว.กลาโหม กล่าวว่า มันเป็นเรื่องที่ได้อย่างเสียอย่าง มันไม่ได้ทั้งหมด ซึ่งเรื่องนี้เป็นนโยบายต่อประเทศที่ได้เงินจากการท่องเที่ยว ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบแล้วขึ้นแล้ว ฝ่ายปฏิบัติก็ต้องทำงานหนักขึ้นอีก เพื่อให้นโยบายประเทศเดินหน้าต่อไป

**ผบ.ทบ.ชี้บึ้มเตือนภัยประเทศไทย**

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.กล่าวว่าปัญหาการก่อการร้ายมีทั้งโลก เนื่องจากปัจจุบันเป็นโลกไร้พรหมแดน จึงมีคนหลายประเภททั้งมีอุดมการณ์และไม่มีอุดมการณ์ ซึ่งประเทศไทยอยู่ห่างจากเรื่องพวกนี้ และไกลจากต้นเหตุเวลาเกิดขึ้นกับประเทศไทยแต่ละครั้งทำให้เป็นที่น่าตื่นตระหนก และส่งผลกระทบกับประเทศชาติโดยรวม สิ่งที่ควรทำในเวลานี้คือ ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบสวน และสืบหาสาเหตุผู้กระทำผิด และต้องช่วยกันดูแล โดยเฉพาะพฤติกรรม ลับๆล่อๆ อย่ามองเพียงแค่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว

"ถ้าเราช่วยกันพูด และกระพือข่าวกันออกไปเรื่อยๆ สิ่งที่จะตามมาคือเราจะมีศัตรูมากขึ้น ซึ่งเราต้องระมัดระวังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเตือนภัยว่า ประเทศไทยต้องเจออะไรบ้างในอนาคต"ผบ.ทบ. กล่าว

เมื่อถามว่า ภาครัฐประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไปหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยไม่กลายเป็นคู่ขัดแย้ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าจะใช้คำว่าต่ำ คงไม่ได้ เพราะมีการเตือนภัยมาล่วงหน้ากันก่อน และที่ผ่านมาก็ไม่มีเหตุการณ์ใดที่จะเตือนภัยมาล่วงหน้า และเหตุการณ์ครั้งนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า เชื่อมโยงในเรื่องใดทั้งสิ้น ต้องติดตามต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรซึ่งต้องรอผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งก็ได้ตัวผู้ร่วมก่อเหตุมากขึ้น ต้องหาว่า เขาทำเพื่ออะไร ถ้าเราค่อยๆ ทำความเข้าใจ สืบหาคิดว่าจะแก้ปัญหาได้และไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก อย่าตื่นตระหนก เพราะเราจะทำอะไรไม่ได้ หุ้นตก ค้าขายเสียหาย ดังนั้นต้องทำทั้ง 2 อย่างควบคู่กัน ประเทศชาติจะก้าวหน้าอย่าลืมนึกถึงความมั่นคงด้วย ถ้าคิดถึงแต่เศรษฐกิจ หรือจะพัฒนาอย่างเดียว ไม่สนใจว่าต้องมีเจ้าหน้าที่เท่าไร ใครดูแล ต้องให้สัดส่วนตามกันไปเหมือนกับว่า ถ้าประเทศชาติเข้มแข็ง ก็ต้องมีกำลังที่เข้มแข็งไว้คอยดูแล ทั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง คนดีส่งเสริม คนไม่ดีคัดออก เอาคนใหม่เข้ามา บ้านเมืองจะดีขึ้นเรื่อยๆต้องช่วยกัน.
กำลังโหลดความคิดเห็น