ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-"ผู้ก่อการร้าย ไม่มีวันรับสารภาพ"
...นั่นคือความเชื่อของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตรมว.ต่างประเทศ ซีไอเอเมืองไทย ที่ได้พูดตั้งข้อสังเกตุเกี่ยวกับ"คำรับสารภาพ"ที่เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ครั้งตำรวจจับกุม "นายอาทริส ฮุสเซน" อายุ 47 ปี ชาวเลบานอน สัญชาติสวีเดน จนนำไปสู่การตั้งข้อสังเกตของเหล่านักการข่าวและผู้รู้ทั้งหลายว่า เป็นการจัดฉากของรัฐบาลไทยหรือไม่
ในข้อพิรุธของการจับกุมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นับจากวันที่ 13 ม.ค.55 หลังกระแสข่าวการก่อการร้ายได้บังเกิดขึ้นในประเทศไทย กรณีสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ออกประกาศแจ้งข่าวด่วนถึงชาวอเมริกันในประเทศไทย ขอให้เฝ้าระวังภัยอันตรายที่อาจเกิดจากการโจมตีของพวกก่อการร้าย
การแจ้งเตือนที่เกิดขึ้น จะเป็นข่าวจริง หรือ ข่าวไม่จริง แน่นอนไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่กำลังจะไปด้วยดี หลังได้รับผลกระทบจากถูกพิษน้ำท่วมใหญ่ครั้งใหญ่
"อาทริส ฮุสเซน"เขาถูกจัดฉากจับกุมหรือไม่?มาถึงวันนี้...เป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้ว ผลการสอบสวนขยายผลของตำรวจ ยังไปไม่ถึงไหน โดยสามารถเอาผิดได้แค่ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ จากกรณีครอบครองแอมโมเนียไนเตรตโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
อย่างไรก็ตามกรณีจับ "อาทริส ฮุสเซน" หากย้อนไปดูท่าทีและการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงต้นๆ ถือว่าน่าสนใจยิ่ง
"พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" ผู้มีดีกรีเป็นถึง ผบ.ตร.ผู้นำสูงสุดกรมปทุมวัน ได้พูดคำแรกๆหลังจับ "อาทริส ฮุสเซน" ว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้ายสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งถือพาสปอร์ต 2 เล่ม เตรียมจะเดินทางออกนอกประเทศ แต่ถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองควบคุมตัวได้เสียก่อน
"พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย"โฆษก ตร.แถลงย้ำว่าหน่วยงานความมั่นคงของประเทศไทย พบข้อมูลบุคคลต้องสงสัยชาวต่างชาติ เข้ามาก่อวินาศกรรมภายในราชอาณาจักร โดยได้เชิญผู้ต้องสงสัย 1 ราย ซึ่งมีรูปพรรณสัณฐานตรงกับข่าวว่าอาจจะก่อเหตุในประเทศไทย ซึ่งบุคคลต้องสงสัยคนนั้นคือ"อาทริส ฮุสเซน"
ถัดมา 16 ม.ค. 55 เวลา 06.00 น.พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.นำทีมตำรวจทั้งเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ตรวจวัตถุระเบิด ตำรวจปราบปรามยาเสพติดกว่า 200 นาย เข้าตรวจค้นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น เลขที่ 52/14-15 หมู่ 2 ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นสถานที่ซุกซ่อนสารประกอบระเบิด
การเข้าตรวจค้นครั้งนั้น"เพรียวพันธ์"แจกแจงว่าพบสารประกอบวัตถุระเบิด ได้แก่ ปุ๋ยยูเรีย จำนวน 337 ลัง ภายในลังบรรจุถุงพลาสติกใส่ จำนวน 4 ถุง ๆ ละ 7 กก. รวมน้ำหนักทั้งสิ้น 4,380 กิโลกรัม,แอมโมเนียไนเตรต บรรจุแกลลอนขนาด 20 ลิตร จำนวน 10 แกลลอน, แอมโมเนียไนเตรตละลายผสมแล้ว บรรจุลังพลาสติกขนาด 90 ลิตร จำนวน 2 ลัง, เครื่องซีนถุงพลาสติก 1 เครื่อง เครื่องซีนถุงสูญญากาศอีก 1 เครื่อง รองเท้าแตะ จำนวน 600 คู่, กระดาษ เอ4 จำนวน 300 ลัง และ พัดลม 400 ตัว ซึ่งสารประกอบวัตถุระเบิดดังกล่าวไม่ได้นำมาใช้ก่อเหตุในประเทศไทย เนื่องจากมีการบรรจุในลังกระดาษอย่างมิดชิด จำนวน 337 ลัง เพื่อเตรียมลำเลียงออกนอกประเทศโดยทางเรือ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่าเป็นประเทศใด โดย "อาทริส" ยืนยันว่าได้เช่าอาคารไว้เก็บสารเคมีเหล่านี้นานกว่า 1 ปีแล้ว
ปฎิบัติการเค้นสอบ"อาทริส ฮุสเซน"ยังไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น โดยเขาถูกนำตัวไปถูกควบคุมและสอบปากคำต่อที่ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.)โดยใช้เวลานานหลายชั่วโมง ต่อมา "พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต" รองผบ.ตร.ออกมาพูดว่า ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพทั้งหมดว่าพักอยู่ที่ใด ซึ่งในส่วนสารเคมีที่ค้นพบเจ้าหน้าที่มีข้อมูลอยู่แล้ว คาดว่าไม่ได้นำมาใช้ในประเทศไทย
การจับกุม"อาทริส ฮุสเซน"ในขณะนั้น ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการแถลงข่าวของ "พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา" รมว. กลาโหม ที่ได้พูดแบบรู้ลึกว่า..."จากการรายงานของหน่วยข่าวพบว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเชื่อมโยงกับบทบาทของสหรัฐฯ ที่ปฏิบัติการในอิหร่านอยู่ในขณะนี้ โดยได้แจ้งเตือนแต่ละหน่วยงานให้เฝ้าระวังพื้นที่ในจุดเสี่ยงอย่างเข้มข้น แต่เท่าที่ดูพฤติกรรมของ 2 คน ยังไม่พบสิ่งผิดปกติว่าจะมีการก่อเหตุตามที่แจ้งมาแต่ยืนยันว่าหน่วยข่าวไทยและสหรัฐฯ จะเฝ้าติดตามตลอด 24 ชั่วโมง หากพบว่าจะลงมือก่อเหตุ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการจับกุมได้ทันที พร้อมกับระบุว่าทราบความเคลื่อนไหวตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค.54 จากหน่วยข่าวอิสราเอล ว่าจะมีผู้ก่อเหตุ 2 คน ขณะนี้สามารถจับกุมได้แล้ว 1 คน และออกนอกประเทศไปแล้ว 1 คน โดยกลุ่มดังกล่าวมีวัตถุประสงค์แก้แค้นชาวอิสราเอลที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น และจำกัดพื้นที่อยู่แต่เฉพาะกรุงเทพมหานคร"
ผลจากการจับกุม"อาทริส ฮุสเซน"และการแจ้งเตือนก่อการร้ายในไทยของสถานทูตสหรัฐอเมริกาครั้งนั้น รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงไม่พอใจอย่างยิ่ง พร้อมออกมาเรียกร้องให้ เพิกถอนประกาศแจ้งเตือนทันที โดยยืนยันว่า การข่าวของไทยดี และ ควบคุมสถานการณ์ความมั่นคงภายในประเทศได้
มาถึงเหตุการณ์ช็อกคนกรุง ที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันวาเลนไทน์ 14 ก.พ.55 กรณีแก๊งชาวอิหร่าน ก่อเหตุระเบิด 3 จุด ภายในซอยปรีดีพนมยงค์ 31 ถนนสุขุมวิท 71 แขวงคลองตัน เขตวัฒนา กทม.
โดยเหตุการณ์นี้ "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" ผบ.ตร.ผู้มีความถนัดเรื่องจับยาเสพติด และกำลังเดินทางไปเตรียมแถลงข่าวใหญ่จับยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ถึงกับให้สัมภาษณ์สื่อแบบมึนงง ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางกรุง
กรณีนี้หลังวินาทีเกิดเหตุ"เพรียวพันธ์"พูดได้แค่...ได้รับรายงานแล้วและกำลังจะเดินทางกลับไปดูที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ก่อเหตุจะเป็นชาวเลบานอนหรือไม่ยังระบุไม่ได้ สาเหตุจะมาจากการก่อการร้ายหรือไม่ก็ยังบอกไม่ได้เพราะมันเร็วเกินไป
ต่อคำถามว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้มีข่าวเตือนหรือไม่ ผบ.ตร.ตอบว่า ได้มีการสืบสวนเชิงลึกมาตลอดหลังพบปุ๋ยยูเรียที่เชื่อมโยงจากการจับกุมชาวเลบานอน(อาทริส ฮุสเซน)
ระเบิดกลางกรุงที่มีกลุ่มคนร้ายเป็นชาวอิหร่าน คือ "นายซาอิฟ โมราบิ" ผู้ที่ถูกแรงระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัส(รักษาตัว รพ.จุฬา)และนายโมฮัมหมัด ฮาซาอี ผู้ต้องสงสัยอีกคนที่ถูกจับกุมได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขณะกำลังเตรียมจะขึ้นเครื่องด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD 3575 ปลายทางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อหลบหนี
กลุ่มคนร้ายชาวอิหร่านที่ได้รับบาดเจ็บถูกจับกุมและหลบหนีไปได้ โดยหลายฝ่ายเชื่อว่า เป็นไปได้สูงที่จะเป็นกลุ่มก่อการร้าย โดยข้อเท็จจริงที่ได้เกิดขึ้นเป็นเครื่องยืนยันคือ...ชาวอิหร่านแก๊งนี้ได้เดินทางเข้าประเทศไทย โดยพวกเขามีระเบิดและน่าเชื่อว่ามีแผนก่อการร้ายในประเทศไทย ไม่ว่าจะมีเป้าหมายมุ่งสังหารตัวบุคคล หรือก่อเหตุตามสถานที่สำคัญก็ตาม แต่เกิดความผิดพลาดขึ้นเสียก่อน โดยหลายคนคิดไปไกลว่า หากไม่ผิดพลาดและการก่อการร้ายของแก๊งนี้ ได้เกิดขึ้นเป็นผลสำเร็จ ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย จะมีมากแค่ไหน
ในขณะที่มุมมองของ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกรัฐมนตรี กลับพูดในลักษณะเบี่ยงประเด็นว่า ไม่ใช่ก่อการร้ายของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และก็ไม่ได้เข้ามาก่อการร้าย แต่เป็นการแสดงสัญลักษณ์เล็กๆ น้อยๆ โดยที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ร.ต.อ.เฉลิม ก็ไม่ยอมรับว่า เป็นความบกพร่องเรื่องการข่าวของไทย
ความแตกต่างในการให้ข่าวของผู้เกี่ยวข้อง ใน 2 กรณีที่เกิดขึ้นในแผ่นดินไทย กรณีแรกจับ"อาทริส ฮุสเซน"ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันในช่วงแรกว่า เขาคือผู้ก่อการร้าย ก่อนที่จะออกมาแก้ข่าวว่า ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย โดยพยายามหาพยานหลักฐานมามัดตัว จนมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการ"จัดฉาก"โดยล่าสุด การขยายผลก็ไปไม่ถึงไหน ส่วนกรณีหลัง"อิหร่านระเบิดกลางกรุง"ในช่วงแรกทุกคนกลับปิดปากเงียบ และออกมาปฏิเสธว่า ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ทั้งๆที่พฤติการณ์การก่อเหตุ โดยชาวต่างชาติชาวอิหร่าน ที่มีระเบิดครบพร้อมที่จะก่อเหตุในประเทศไทย โดยที่การข่าวของไทย ไม่รู้การเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นจาก 2 กรณีข้างต้น รัฐบาล"น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"และ ผบ.ตร.เครือญาติ"พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์"จะต้องรับผิดชอบอย่างไรหรือไม่ เพราะการจัดฉากจับผู้ก่อการร้ายตัวปลอม กับ ผู้ก่อการร้ายตัวจริงก่อเหตุจริง มันแตกต่างกันอย่างโดยสิ้นเชิง...!!!