ASTVผู้จัดการรายวัน -บชน.เตรียมออกหมายจับเพิ่มอีก 1 แก๊งอิหร่านบึ้มกรุง สั่งเน้นเฝ้าระวังย่านนานา คลองตัน ถนนข้าวสาร ด้าน "สุกำพล" หยามมือบึ้มอิหร่านแค่จิ๊กโก๋ปากซอย อย่าด่วนสรุปก่อการร้าย ขณะที่"มาร์ค"ห่วงประเมินเหตุบึ้มจากฝีมือจิ๊กโก๋ "ปานศิริ" ถกทีมสืบเข้มหลังพบหลักฐานใหม่ “ฮิซบอลเลาะห์” โต้ไม่เกี่ยวบึ้มในไทย "ยิว"เตือนภาคใต้
วานนี้ (17 ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเหตุระเบิด 3 จุด บริเวณซอยปรีดีพนมยงค์ (สุขุมวิท 71) ว่า ได้สั่งการให้ทุก สน.เพิ่มมาตรการเข้าไปดูแลชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มาจากตะวันออกกลาง และให้ไปสำรวจข้อมูล อพาร์ตเมนต์ และบ้านเช่าทุกแห่งว่ามีชาวต่างชาติเข้ามาพักอาศัยอยู่หรือไม่ ถ้ามีเหตุอันควรสงสัยก็จะขอหมายเข้าตรวจค้นบ้านพักด้วย
พล.ต.ท.วินัยกล่าวว่า จุดที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษจะมีย่านนานา คลองตัน และถนนข้าวสาร ซึ่งมีชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ส่วนการเข้าตรวจค้นที่พักอีกแห่งหนึ่งที่นางไลลา โรฮานี เช่าเอาไว้ พบหลักฐานบางส่วน พร้อมนำไปตรวจสอบ ส่วนกรณีพบสติกเกอร์ลักษณะคล้ายสัญลักษณ์เป็นภาษาอาหรับ และบล็อกปูนจำนวนหนึ่ง ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ พฐ.และอีโอดีกำลังนำไปตรวจสอบอยู่ ยังไม่สามารถระบุได้ว่าคืออะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวว่าจากการตรวจค้นบ้านเลขที่ 66 ที่เกิดระเบิดก่อนหน้านี้ พบหลักฐานเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มก่อการร้าย พล.ต.ท.วินัยกล่าวว่า ไม่มี ทางพนักงานสอบสวนยังได้เตรียมขอออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 1 คน จากภาพกล้องวงจรปิด พบออกจากบ้านหลังที่เกิดเหตุไปเวลาประมาณ 7 โมงเช้า ส่วนการตรวจสอบจุดอื่นๆ ที่คนร้ายเช่าพักนั้น พล.ต.ท.วินัยกล่าวว่า เจ้าหน้าที่เพิ่งจะเดินทางไปค้นเมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่โรงแรมเวกัสนาซ่า เป็นห้องพักของไลลา เพราะเท่าที่ตรวจสอบพบว่านางไลลาเป็นเพียงคนที่คอยหาที่พัก ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุระเบิด
**อัยการจี้หลักฐานผู้ร้ายข้ามแดน
นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงความคืบหน้าการประสานของตัว Mr.Masoud Sedaghatzadeh ผู้ต้องหาชาวอิหร่านตามหมายจับกรณีเหตุระเบิดในซอยปรีดีพนมยงค์ 31 ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียจับกุมขณะหลบหนี เพื่อมาดำเนินคดีในประเทศไทยว่า ขณะนี้สำนักงานอัยการสูงสุดได้รับหนังสือประสานความร่วมมือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้อัยการต่างประเทศประสานกับทางการมาเลเซียขอส่งตัว Mr.Masoud Sedaghatzadeh โดยคาดว่าจะใช้วิธีขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกรุงสยามกับรัฐบาลอังกฤษสมัยที่อังกฤษปกครองมาเลเซีย รวมทั้งจะใช้วิธีทางการทูต โดยหลักการต่างตอบแทน เพื่อให้มีความแน่ใจและครอบคลุมในทุกเรื่อง
เบื้องต้นจะประสานงาน และสอบถามกับทางอัยการมาเลเซียว่าต้องการทราบข้อมูลส่วนใดบ้าง ซึ่งทางเราต้องเตรียมความพร้อมไว้ ส่วนพยานเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่พนักงานสอบสวนรวบรวมมาให้ ขณะนี้กำลังตรวจสอบว่ามีความครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ และเมื่อได้เอกสารหลักฐานครบถ้วนแล้วจะแปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษตรวจสอบความถูกต้อง และส่งให้อัยการมาเลเซีย ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดอยู่ระหว่างดำเนินการ
**คาดต้องใช้เวลาขอตัว
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) กล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุวันเวลาที่แน่ชัดได้ เนื่องจากจะต้องรอพนักงานสอบสวน เพื่อทำการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละเอียดก่อน ตลอดจนกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งในการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้นมีกระบวนการที่ต้องใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก จึงจำเป็นต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นต้องขอเวลาให้พนักงานสอบสวนได้ทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งคาดว่าคงต้องใช้เวลา
**สมช.ปิดปากเงียบหลังถกเข้ม
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. เรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงและการข่าว โดยมี พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร. พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่ปรึกษา (สบ 10) พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนกองทัพ เข้าหารือถึงความคืบหน้าเหตุระเบิด 3 จุด ที่ ถนนสุขุมวิท 71 โดยหลังการประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมงแล้วเสร็จปรากฎว่าหน่วยงานต่าง ๆ ที่รับผิดชอบเข้าร่วมประชุมครั้งนี้พยายามหลบเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน และไม่มีการแถลงความคืบหน้าแต่อย่างใด
**พบหลักฐานเพิ่มจ่อราย ที่6
ที่สน.คลองตัน พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. ได้เรียกประชุมทีมสืบสวนคลี่คลายคดีระเบิด 3 จุดกลางกรุง พร้อมกล่าวก่อนเข้าประชุมว่า เป็นการติดตามความคืบหน้าการขยายผลไปถึงผู้ร่วมกระทำผิดจากพยานหลักฐานตามภาพถ่ายจากที่สอบพยานในส่วนหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครั้งนี้คาดว่าทางเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด บก.สปพ.บช.น. หรืออีโอดี ได้นำชิ้นส่วนวัตถุระเบิดทั้งหมดมาร่วมประชุมเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังมีหลักฐานเพิ่มเติมเข้ามา คือ วัตถุทรง 4 เหลี่ยมจัตุรัสสีดำ ขนาดประมาณ 4x4 นิ้่ว ตรงกลางมีรูวงกลมขนาดสามารถวางกระป๋องน้ำอัดลมได้ มีนอตสกรูยึดไว้ 3 ตัว รวมจำนวน 5 ชิ้น ซึ่งยึดได้จากห้องพักเลขที่ 409 อาคารนาซ่าเวกัส ทาวเวอร์ ถนนรามคำแหง แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา เมื่อช่วงเย็นวันที่ 16 ก.พ. มาเข้าประชุมเพิ่มเติมด้วย ซึ่งจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ฯ ในเบื้องต้นยังไม่ทราบว่าวัตถุดังกล่าวนั้นมีไว้ทำอะไร แต่คาดว่าน่าจะนำประกอบเข้ากับตัวระเบิดด้วย
**"บิ๊กอ็อด" ยังไม่ชัดโยงก่อเหตุอินเดีย
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กลุ่มคนร้ายมีเป้าหมายที่จะสังหารนักการทูตและบุคลากรชั้นนำคนสำคัญของอิสราเอลในไทย ซึ่งเรื่องนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเร่งสอบสวนและชี้แจงเป็นขั้นตอนอยู่
ส่วนคนร้ายอีกหนึ่งคนที่ทราบว่าร่วมกันก่อเหตุดังกล่าวจากการขยายผลออกมาแล้วนั้น พลเอกยุทธศักดิ์ กล่าวว่า จากภาพของซีซีทีวีที่จับได้พบว่า มีชายอีกคนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ กำลังเร่งหาหลักฐานอยู่ เพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่า ชายคนดังกล่าวอาศัยอยู่ในกทม.หรือไม่ รวมทั้งการจับกุมที่มาเลเซียด้วย ส่วนการขอให้ทางการมาเลเซียส่งตัวผู้ต้องหา กลับมาดำเนินคดีในไทยนั้น ตนคิดว่าเรื่องนี้ต้องดูในสัญญาระหว่างสองประเทศก่อน เพราะไทยกับมาเลเซียไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนร่วมกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุที่เกิดขึ้นในไทยนั้น มีความชัดเจนหรือไม่ว่า เป็นการก่อการร้าย ที่อาจเชื่อมโยงกับการก่อเหตุที่ประเทศอินเดียและประเทศจอร์เจีย พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่ชัดเจน เพราะกำลังสอบสวนอยู่ แต่ลักษณะของการดำเนินการนั้น ทางอิสราเอลและสหรัฐอเมริกาก็ระบุว่า ลักษณะคล้ายกับเหตุที่เกิดขึ้นในอินเดียและจอร์เจีย
เมื่อถามว่า ทางการไทยจะมีหลักการในการดำเนินการสอบสวน และหาข้อยุติ เพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุดหรือไม่อย่างไร พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า เราต้องรีบดำเนินการทุกอย่างให้เห็นภาพและมีความชัดเจน ซึ่งทางเรายังมีความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใด เพราะไทยเป็นมิตรที่ดีกับทั้งสองฝ่าย คือ อิหร่านและอิสราเอล
เมื่อถามถึงมาตรการการรักษาความปลอดภัยของประเทศไทยในขณะนี้นั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เรียกประชุมหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทุกวัน และดำเนินมาตรการต่างๆ ที่ออกมา ก็ค่อนข้างเข้มงวดในการตรวจตราทั้งสิ้น เพื่อแจ้งข่าวให้กับต่างประเทศทราบและเข้าใจถึงสถานการณ์ต่างๆในไทยว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อถามว่า มาตรการการควบคุมสารตั้งต้น ในการทำระเบิดนั้น เป็นอย่างไรบ้าง พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า มีการตรวจสอบการนำเข้า และส่งออกอยู่ตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตามมันก็มีวิธีนำเข้า แบบลอดสายตาของฝ่ายตรวจสอบอยู่ดี ซึ่งตรงนี้ ตนไม่ขอระบุในรายละเอียด
**เข้มงวดขอวีซ่าเข้าปท.
เมื่อถามว่า จะทบทวนการขอ Visa on Arrival หรือไม่นั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับเรื่องนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศ เริ่มทบทวนแล้ว รวมทั้งการให้บริษัทท่องเที่ยวรับทำวีซ่าให้นักท่องเที่ยวอีก แต่ไทยนั้นเหมือนมีสองมือคือ มือหนึ่งต้องเบรกและตรวจสอบ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ต้องให้นักท่องเที่ยวเข้ามาภายในประเทศด้วย
เมื่อถามว่าเหตุที่เกิดขึ้นสองครั้งในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ยังทำให้การข่าวของไทยไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหน พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ยอมรับว่าต่างประเทศเตือนหลายอย่าง
เมื่อถามว่าข้อมูลของไทยนั้น มีข้อมูลสมาชิกก่อการร้ายที่เข้ามาในประเทศหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ในโลกนี้มันมีทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะในไทย เพราะไทยเป็นประเทศเสรี และต้องการนักท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมทำเงินเข้าประเทศ
ส่วนการแฝงตัวของผู้ก่อการร้ายในคราบนักท่องเที่ยวนั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ทางการข่าวนั้น มีการส่งข้อมูลตลอดว่า จะมีบุคคลน่าสงสัยจากประเทศใดบ้าง ที่จะเข้ามาในประเทศได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้สันติบาลของไทยและมาเลเซีย พยายามประสานเพื่อขอตัวผู้ต้องหา เนื่องจากไม่ได้มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ส่วนผู้ต้องหาที่พบว่ามีเพิ่มอีก 1 คนนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดี ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นการก่อการร้าย แต่การก่อเหตุเป็นลักษณะเดียวกับเหตุการณ์ที่ประเทศอินเดียและจอร์เจีย โดยไทยต้องเร่งสร้างความชัดเจน โดยไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากทั้งอิสราเอลและอิหร่านเป็นมิตรที่ดีของไทย
**ปาก"สุกำพล"อ้างแค่จิ๊กโก๋ปากซอย
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทยทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 97.0 ถึงการจับกุมชาวอิหร่านที่ก่อเหตุระเบิด 3 จุดในซอยปรีดีพนมยงค์ (สุขุมวิท 71)ว่า เมื่อเราจับคนที่ไม่หวังดีได้ก็ต้องหาทางทำให้ดีที่สุด ขณะนี้คนที่ถูกจับได้ยังบาดเจ็บอยู่ยังไม่สามารถให้การอะไรได้ ทั้งนี้หากมาเลเซียส่งผู้ต้องหาตามหมายจับกลับมาดำเนินคดีในไทยได้ทุกอย่างก็จะกระจ่างขึ้น ตอนนี้อย่าเพิ่งไปรีบร้อนสรุปว่าเป็นอย่างไร เพราะจะทำให้เสียหมด
เมื่อถามถึงกรณีที่ซีไอเอของสหรัฐฯกับอิสราเอลระบุว่า เป้าหมายสำคัญคือการสังหารทูตอิสราเอล พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า การจับกุมนายอาทริส ฮุสเซน ชาวเลบานอนได้ เขาไม่มีความคิดก่อการร้ายในประเทศไทย เป็นคนละกลุ่มกัน นายอาทริส แค่เข้ามาหาของ ไม่ได้ก่อการอะไร แค่เข้ามาหาวัตถุดิบ การประกอบสมัยนี้ไม่ยาก เปิดเว็บไซต์ก็ทำได้ อย่างกรณีระเบิดปรมาณูถ้าเปิดเว็บไซต์เป็นปีก็ทำได้ ไม่เหมือนสมัยก่อน
“รายล่าสุดที่เป็นชาวอิหร่านต้องดูว่า ความเป็นมืออาชีพหรือไม่ เพราะระเบิดเกิดขึ้นง่ายๆ เมื่อมีการหยิบระเบิดขึ้นมาแล้วเจอแท๊กซี่ เมื่อแท๊กซี่ไม่จอดรับเกิดความโมโหเอาระเบิดขว้างเหมือนจิ๊กโก๋ปากซอย เพราะมันไม่ใช่มืออาชีพ ขว้างระเบิดก็ไม่พ้นตัวเอง โดนตัวเองทำให้ขาขาด เรื่องนี้อย่าไปเชื่อมโยงให้เข้าทางว่า เป็นของอิสราเอลหรืออเมริกัน ซึ่งจะทำให้เราเสียหมด ต้องมองในแง่ดี ทั้งนี้การที่สหรัฐฯเตือนเพราะความหวังดี ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่เขาเตือนเรา ซึ่งเราก็ต้องระมัดระวัง แต่เหตุการณ์เป็นอย่างไรต้องดูอีกทีหนึ่ง เราต้องขอบคุณเขา หากมีอะไรต้องบอกเขา สมัยก่อนที่เราจับฮัมบาลี ผู้ก่อการร้ายได้ก็เพราะสหรัฐฯ ซึ่งการทำงานเรามีการเชื่อมโยงประสานงานด้านการข่าวกันอยู่แล้ว เราต้องดูความเป็นมืออาชีพของเขา ซึ่งเหมือนจิ๊กโก๋ปากซอยผม ไม่พอใจก็วางระเบิดเลย ตอนนี้ต้องรอผลการสอบสวนว่า ออกมาเป็นอย่างไร จะให้ฟันธงอย่างนั้นอย่างนี้คงไม่ได้ ต้องใจเย็นๆ ไม่ใช่เกิดเรื่องแล้วจะรู้เลย ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้ารีบฟันธงแล้วจะเสียหมด”รมว.กลาโหม กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่อิสราเอลแจ้งเตือนไทยว่า จะมีการก่อวินาศกรรม ระเบิดสนามบิน พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ยังไม่มีข่าว แต่รายละเอียดเป็นอย่างไร ตนคงบอกไม่ได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ทุกหน่วยงานรู้อยู่แล้ว และได้มีการเตรียมความพร้อมว่า ช่วงไหน ระดับใด ซึ่งต้องดูให้ละเอียด ทุกหน่วยมีการเกาะติดอยู่แล้ว ทั้งนี้ทหารกับตำรวจประสานงานในการดูแลอยู่ โดยมีสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)เป็นตัวเชื่อม
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า ได้มีการนัดเจอกับรมว.กลาโหมอิสราเอลระหว่างงานแอร์โชว์ที่ประเทศสิงคโปร์ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ไม่ได้เจอกัน เพราะรมว.กลาโหมอสราเอลกลับไปก่อน อีกทั้งไม่มีการนัดกัน
**"มาร์ค"ห่วงประเมินแค่ฝีมือจิ๊กโก๋
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล ระบุว่า คนก่อเหตุระเบิดที่สุขุมวิท 71 เป็นแค่กลุ่มจิ๊กโก๋ ว่า ถ้าเราพยายามทำให้ดูเป็นเรื่องเล็ก แต่สวนทางกับสิ่งที่ปรากฏต่อสาธารณะทั้งเรื่องการเตรียมอาวุธต่างๆ เอาระเบิดไปแปะรถ เพื่อสังหารคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นประเทศใด ซึ่งหากจิ๊กโก๋ทำได้ขนาดนี้ผู้ก่อการร้ายจะทำได้ขนาดไหน
**แนะประสานตปท.ให้มาก
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการทูตอินเดียพบกับ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. และระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดในระเทศไทยคล้ายกับเหตุที่เกิดในประเทศอินเดีย จะทำให้ไม่ถูกมองว่าประเทศไทยจะกลายเป็นฐานการผลิตวัตถุระเบิดเพื่อไปก่อเหตุต่างประเทศอื่นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงต้องแยกประเด็น เรื่องแรกเราต้องดูให้ชัดว่าทำไมการวางแผนที่จะมาก่อเหตุต่างๆ ถึงมาเกิดขึ้นในประเทศเรา และ จากคำพูดของรัฐมนตรีเองที่ไปพูดทำนองว่าระเบิดทำที่นี่และส่งออกไป ทำนองนี้ทำให้เรากลายเป็นเป้าหมายว่า เป็นประเทศที่ไม่ดูแลเรื่องการต่อสู้กับการก่อการร้าย อยากให้ระมัดระวังให้มากและการประสานงานกับประเทศต่างๆ ให้มาก
เมื่อถามว่ารัฐบาลต้องทบทวนทิศทางกำหนดนโยบายด้านความั่นคง ต่างประเทศใหม่ให้รัดกุมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นโยบายต่างประเทศในภาพรวมไม่เป็นปัญหาแต่นโยบายเรื่องความมั่นคงและการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าจุดยืนของประเทศไทย และความเอาจริงเอาจังของประเทศไทยกับปัญหาหล่านี้เราจะทำอย่างไร ตรงนี้ต้องปรับปรุง ซึ่งเรามีจุดอ่อนความเป็นเสรีได้ ซึ่งการเดินทางเข้าออกมักจะมาผ่านประเทศไทย นโยบายเข้มงวดกวดขันอาจจำเป็นมากขึ้น ดังนั้น อย่าไปพยายามพูดในสิ่งที่ไม่เป็นจริง ต้องเอาความจริงมาบอกกับชาวโลกว่าจะแก้ไขอย่างไรเป็นวิธีการที่ดีที่สุด อย่าลืมว่าชาวโลกส่วนใหญ่ฟังจากสื่อต่างประเทศ ซึ่งรายงานไปแล้วว่า รูปการเหตุการณ์เป็นอย่างไร แม้แต่รมต. ก็ยังยอมรับว่ามีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในประเทศอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องไปดูความน่าเชื่อถือ
ผู้สื่อข่าวถามว่าการพูดเช่นนี้จะเป็นการไปท้าทายกลุ่มก่อการร้ายหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีใครคิดว่าไปท้าทาย แต่ปัญหาคือยิ่งพูดจะยิ่งเป็นปัญหาว่าจะต้องข้อหาอะไรเพราะไม่ทราบว่าจะไปตั้งข้อหาเรื่องต้านวาเลนไทน์หรืออะไร
**ปชป.ซัด “รบ.ปู”ความมั่นคงเหลว
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สะท้อนถึงตรงกันข้ามกับพูดของนายกฯ ที่ชอบบอกว่าเอาอยู่ และควบคุมได้ เพราะรัฐบาลไม่สามารถให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนไทยและคนต่างประเทศได้ แต่ชอบใช้การตลาดนำหน้าเรื่องความมั่นคง ซึ่งการสื่อสารของนายกฯ ตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะขณะนี้ต่างชาติหมดความมั่นใจและความเชื่อถือในรัฐบาลไทยอย่างสิ้นเชิง
**ผบ.ทร.ผวา สั่งคุมเข้มหน่วยราชการ
ที่อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทางกองทัพเรือมีการสั่งการให้กวดขันในการรักษาความปลอดภัยสถานที่ตั้งของทางราชการ รวมทั้งพื้นที่ที่รับผิดชอบ ส่วนในรายละเอียดต้องให้หน่วยงานด้านความมั่นคงเป็นผู้ชี้แจง ส่วนการหารือของผบ.เหล่าทัพเมื่อวันที่ 16 ก.พ. ในที่ประชุมได้พูดถึงเหตุการณ์ระเบิด 3 จุด โดยพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ให้ผบ.เหล่าทัพเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยตามสถานที่ราชการ ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมุ่งประสงค์กับบุคคล ไม่ได้มุ่งประสงค์เรื่องก่อการร้าย อย่างไรก็ตามเราต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป
เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เห็นมีอะไรห่างเหินกัน เพราะทหารเป็นองค์กรปฏิบัติของทุกรัฐบาลอยู่แล้ว และพร้อมปฏิบัติปกป้องอธิปไตยตามผลประโยชน์ของประเทศชาติ รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนไม่ว่าเป็นรัฐบาลไหน เราก็ปฏิบัติตามนั้น
**ผู้นำฮิซบุลเลาะห์โต้ไม่เกี่ยวบึ้ม
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากคำกล่าวของ นายซัยยิด ฮะซัน นัศรุลเลาะห์ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ ที่ออกมาปฏิเสธข่าวจากการกล่าวหาของทางการอิสราเอลว่า เหตุระเบิด 3 จุด ที่มุ่งโจมตีนักการทูตอิสราเอล ในประเทศอินเดีย จอร์เจีย และกรุงเทพฯ โดย นายนัศรุลเลาะห์ กล่าวว่า เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของชาวอิหร่านที่ก่อเหตุ ซึ่งเราไม่ได้ทำและเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างที่ทางการอิสราเอล กล่าวหา
ทั้งนี้ ผู้นำฮิซบุลเลาะห์ ได้กล่าวระหว่างการชุมนุมเพื่อรำลึกถึงไอมัด มุกห์นิยาห์ อดีตผู้บัญชาการระดับสูง ที่ถูกลอบสังหาร เมื่อปี 2551 โดย ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ กล่าวว่า มันเป็นเรื่องน่าอายและน่าขายหน้าสำหรับเรื่องดังกล่าว ถ้าหากการฆ่าชาวอิสราเอล หรือ นักการทูตอิสราเอล เป็นการกระทำ เพื่อการแก้แค้นให้กับ มุกห์นิยาห์
สำหรับ ไอมัด มุกห์นิยาห์ ผู้บัญชาการระดับสูงของกลุ่ม ถูกลอบสังหารด้วยการวางระเบิดรถยนต์เมื่อ ก.พ. ปี 2551 ที่กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย
** "มาเลย์" เผย "มาซุด"เข้าออกหลายครั้ง
เจ้าหน้าที่มาเลเซียระบุว่า มาซุด เซดากัตซอเดห์ถูกจับกุมที่สนามบินนานาชาติในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันพุธ (15) ที่ผ่านมา ขณะที่พยายามเดินทางไปยังอิหร่าน หลังเพิ่งบินจากไทยถึงมาเลเซีย 1 วันก่อนหน้านั้นเขาเป็นผู้ต้องสงสัยมีส่วนพัวพันในเหตุระเบิดใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อวันอังคาร (14) ที่ผ่านมา ซึ่งมีชาวอิหร่านอีก 2 คนถูกทางการไทยตั้งข้อหาแล้ว และทำให้อิสราเอลกล่าวหาว่าเตหะรานอยู่เบื้องหลังแผนการก่อการร้ายข้ามชาติ
ตำรวจมาเลย์พบว่า เซดากัตซอเดห์เดินทางเข้าประเทศหลายครั้งตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยแหล่งข่าวด้านความมั่นคงของรัฐบาล ซึ่งคุ้นเคยกับคดีนี้เผยว่า เจ้าหน้าที่กำลังสอบปากคำเขาเพื่อตรวจสอบว่ามีเครือข่ายเชื่อมโยงใดๆ ภายในมาเลเซียหรือไม่
เซดากัตซอเดห์ให้การกับทางการมาเลย์ว่า เขาเป็นนักธุรกิจขายอะไหล่รถยนต์ ที่เดินทางไปมาเลเซีย ไทย และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเพื่อทำธุรกิจ แหล่งข่าวกล่าว ขณะที่ไทยแสดงความจำนงว่าต้องการให้ส่งตัวเซดากัตซอเดห์เป็นผู้ร้ายข้ามแดน แต่แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของกัวลาลัมเปอร์ระบุว่ายังไม่ได้รับคำร้องใดๆ อย่างเป็นทางการ และเสริมว่า กระบวนการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้นอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ด้านเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล และตำรวจมาเลเซียปฏิเสธที่จะแสดงความเห็น ที่เกี่ยวกับการสอบสวนใดๆ
ขณะที่ทางการประเทศอิสราเอล แจ้งมายังทางการไทย ว่า ให้ระวังพื้นที่ท่องเที่ยวในภาคใต้ด้วย