3. ปัญหาวิกฤตเชิงโครงสร้างและระบอบการเมืองไทย
สาเหตุสำคัญที่ประเทศไทยจำต้องปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประทศครั้งใหญ่ เป็นความจำเป็นและมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะวันนี้ประเทศไทยกำลังตกอยู่ภายใต้ระบอบการเมืองการปกครองที่กำลังพาชาติและประชาชนทั้งประเทศ ก้าวลงไปสู่หุบเหวแห่งความหายนะ สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งต่อความสิ้นชาติ เป็นประเทศที่ล้มเหลว รัฐที่ล้มเหลว (Failed State) คือเป็นรัฐที่ไม่สามารถบริหารปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่สามารถดำรงรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยภายใน มีความขัดแย้งทางสังคมและการเมืองอย่างรุนแรง มีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย รัฐบาลและกลไกรัฐขาดความมั่นคงและประสิทธิภาพ จนไม่สามารถบริหารประเทศและแก้ปัญหาต่างๆ ให้ประสบผลสำเร็จได้
ตัวอย่างของ รัฐบาลอภิสิทธิ์และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังสะท้อนภาพของความล้มเหลวที่ชัดเจนยิ่งขึ้นโดยลำดับ จากผลสำรวจของกองทุนเพื่อสันติภาพ เมื่อปี 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ค่าความล้มเหลวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 79.2 คือมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอยู่ในลำดับที่ 78 จากทั้งหมด 177 ลำดับ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดที่มีความเสี่ยงสูงยิ่ง
เมื่อหันมามองปัญหาในเชิงโครงสร้างและระบอบการเมืองไทย ต้องถือว่าประเทศของเราเข้าขั้นวิกฤตร้ายแรงมากถึงมากที่สุด ผู้เขียนได้พยายามพูดและเขียนเพื่อเสนอปัญหานี้ต่อสังคมไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการชุมนุมทางการเมืองของพี่น้องประชาชน หรือโดยผ่านทางรายการของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ทีวีของประชาชนในทุกครั้งที่มีโอกาส
วันนี้ กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ อันเป็นกลุ่มนักวิชาการที่รักชาติ ได้ร่วมกันจัดการเสวนาทางวิชาการขึ้นในหัวข้อ “วิกฤตประเทศไทยใครคือตัวการ?” โดยมี ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นผู้ปาฐกถา ในหัวข้อรัฐธรรมนูญของประเทศไทยจาก “ระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. 2535 มาเป็นระบอบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภา” และความเห็นบรรดานักวิชาการของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ท่านอื่นๆ ย่อมจะเห็นได้ชัดเจน และตอกย้ำถึงปัญหาโครงสร้างและระบอบการเมือง แบบสรุปรวบยอดได้แจ่มแจ้ง และตรงเป้าที่สุดว่า ใครคือตัวการของปัญหาวิกฤตประเทศไทยในขณะนี้
ที่สำคัญที่สุดคือ บทสรุปของทาง ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ซึ่งระบุและชี้ให้เห็นว่า “ถ้าย้อนดูไปจากปี 2535 พรรคการเมืองที่มาต่อสู้ในสภา เป็นพรรคการเมืองของนายทุนทั้งสิ้น ระยะแรกเป็นพรรคการเมืองของนายทุนท้องถิ่น แย่งกันจับขั้วกันเอง และแย่งกันเป็นนายกฯ และจากปี 2534-2542 พรรคการเมืองของนายทุนท้องถิ่นสลับขั้วกันอย่างไร จากนั้นมานายทุนระดับชาติมองเห็น จึงร่วมลงทุนมากหน่อย จนใหญ่กว่านายทุนท้องถิ่น จึงซื้อทั้งผู้สมัคร ส.ส.และซื้อผู้ที่เป็น ส.ส.แล้ว และซื้อพรรคการเมือง ซึ่งจะเห็นว่านายทุนท้องถิ่นและระดับชาติกระโดดเข้ามาในระบบเผด็จการพรรคการเมืองนายทุน และเข้ามาผูกขาดอำนาจจริงๆ เพราะระบบรัฐสภาของเรา คือ ใครคุมเสียงข้างมากในสภา คนนั้นเป็นรัฐบาล เพราะฉะนั้น จึงซื้อเสียงเข้ามา และผูกขาดอำนาจพรรค ผูกขาดอำนาจรัฐ และคอร์รัปชัน แล้วเอาเงินไปซื้อเสียงกลับเข้ามาอีก”
ท่านจึงสรุปว่า “ถ้าเราจะแก้ปัญหาประเทศไทย ต้องแก้ที่ระบบสถาบันการเมืองก่อน เพราะถ้านักการเมืองไม่แก้ ก็คงไม่มีใครแก้เนื่องจากพวกเขาได้ประโยชน์ ถ้านักการเมืองไม่แก้ระบบสถาบันการเมือง คนไทยจะทำอย่างไร?” ทิ้งเป็นโจทก์ให้คนไทยเจ้าของประเทศต้องขบคิดร่วมกัน
จากบทปาฐกถาบางตอนของ ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ดังกล่าว สอดคล้องกับความเห็นของบรรดานักวิชาการกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ที่ชี้ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นไปอีกว่า พรรคการเมืองทั้งหลายที่เข้ามาต่อสู้แข่งขันกันเพื่อแย่งชิงการเป็นรัฐบาลเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐในระบบและโครงสร้างของการเมืองไทยขณะนี้ จึงเป็นเพียง “องค์กรอาชญากรรมทางการเมือง” หรือ “บริษัททางการเมืองจำกัดตามรัฐธรรมนูญ” เท่านั้นเอง
แต่ที่เลวร้ายที่สุด คือ เป็นบริษัททางการเมืองของกลุ่มนายทุนผูกขาดขนาดใหญ่ ที่มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวที่เป็นเจ้าของพรรคการเมืองที่กุมเสียงข้างมาก โดยซื้อตัว ส.ส.ไว้เป็นลูกจ้างในพรรคมากที่สุด ควบคุมกำหนดตัวนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวมถึงกลไกรัฐ และราชการทั้งหลายทั้งประเทศไว้ในกำมือแต่เพียงผู้เดียว แม้ไม่ได้อยู่ในแผ่นดินไทย ก็สามารถใช้อำนาจเงินและทุนควบคุมพรรคการเมือง ไม่ต่างจากการบริหารบริษัททางธุรกิจ
ด้วยเหตุนี้โครงสร้างและระบอบการเมืองของประเทศไทย จึงเป็นระบบเผด็จการ โดยนายทุนผูกขาดเจ้าของพรรคการเมือง เป็นกลุ่มนายทุนผูกขาด หรือทุนสามานย์เท่านั้น ที่มีอำนาจผูกขาดอำนาจจริงๆ ควบคุมกลไกรัฐ -ราชการทั้งหมด เพื่อการคอร์รัปชัน และปล้นชิงเอาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ฮุบเอาทรัพยากรของชาติไปเป็นของตนเองและพวกพ้อง นี่คือการเมืองที่ครอบงำประเทศไทยมาต่อเนื่องยาวนานมาไม่น้อยกว่า 20 ปี (2535-2555) โครงสร้างและระบอบการเมืองไทยจึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น “ประชาธิปไตย”
ตามคำนิยามในรัฐศาสตร์ หรือตามความเข้าใจ หรือคำอธิบายที่สวยหรูจากลมปากนักการเมือง หรือนักวิชาการสามานย์ที่พยายามเสนอและขายความคิด มอมเมาประชาชนให้มาพิทักษ์ปกป้องระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม หว่านล้อมให้ประชาชนงมงาย และจำยอมอยู่กับ “การเลือกตั้งที่สกปรก ใช้เงินซื้อเสียงและเต็มไปด้วยกลโกง”ว่าเป็นวิธีการทางการเมืองเยี่ยงประเทศที่เจริญ ทั้งๆ ที่เราทำมาเพียงแต่รูปแบบ ส่วนเนื้อหาล้วนแต่สกปรก และเป็นเผด็จการโดยกลุ่มทุนผูกขาดทั้งสิ้น
เมื่อประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราชาวไทยทุกคน ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะมีทางออกทางแก้ปัญหาอย่างไรเล่า ที่จะนำพาชาติบ้านเมืองเราให้หลุดพ้นวิกฤตดังกล่าว เพราะต้นตอและตัวการทั้งหมดอยู่ที่พรรคการเมือง และนักการเมืองที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้ เราไม่อาจฝากความหวังใดๆ ไว้กับพวกเขาได้เลย ไม่ว่าพรรคหรือนักการเมืองคนใด วิกฤตของประเทศ และความล้มเหลวของระบอบการเมืองไทยเป็นปัญหาและความล้มเหลวที่มีผลต่อประเทศของเรา ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกอาชีพ ทุกหมู่เหล่า จึงเป็นเพียงความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนทั้งหลายจะต้องผนึกกำลังร่วมกันเปลี่ยนแปลงให้ถึงที่สุด
ผู้เขียนเสนอให้ปฏิวัติประเทศไทย เปลี่ยนแปลงสังคมและการเมืองไทย เพราะเห็นว่าประเทศของเราจมปลักอยู่กับปัญหาที่ถึงขั้นวิกฤตร้ายแรงมากแล้ว การจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงหรือปล่อยให้มันวิวัฒนาการไปเองแบบค่อยเป็นค่อยไปคงจะไม่ได้ และไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหา และอาการโรคของประเทศที่เป็นอยู่ขณะนี้ เพราะถึงขั้นที่จะต้องมีการรักษาด้วยการผ่าตัดใหญ่แล้วเท่านั้น อาการโรควิกฤตของประเทศจึงจะรักษาให้หายขาด เราคงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะพูดจาอ้อมค้อมอีกต่อไป ต้องยอมรับความจริงในปัญหาของประเทศที่หนักหน่วงร้ายแรงทุกๆ ด้าน ที่ประเทศเราประสบอยู่ ซึ่งต้องได้รับการจัดการแก้ไขโดยรีบด่วนและถึงรากเหง้าต้นตอของปัญหา
ประเทศไทย สังคมไทย ต้องยอมรับความเจ็บปวดเพื่อการเปลี่ยนผ่านประเทศของเราให้ก้าวหลุดพ้นจากวิกฤตร้ายแรงครั้งนี้ให้ได้ เราเคยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ๆ เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี 2475 และเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 หากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อ “ล้มล้างระบบเผด็จการของทุนผูกขาดเจ้าของพรรคการเมือง” ในปี พ.ศ. 2555 โดย กองทัพ-ประชาชน-ผู้รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ทั้งหลาย เพื่อร่วมมือกันเป็นพลังปฏิวัติประเทศไทยจริงๆ เสียที ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เพื่อสร้างคุณูปการให้กับแผ่นดิน จงทำเถิด แม้ตายไปก็จะได้ชื่อว่า “ไม่เสียชาติเกิด” ครับพี่น้อง และทหารหาญของชาติ
สาเหตุสำคัญที่ประเทศไทยจำต้องปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประทศครั้งใหญ่ เป็นความจำเป็นและมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะวันนี้ประเทศไทยกำลังตกอยู่ภายใต้ระบอบการเมืองการปกครองที่กำลังพาชาติและประชาชนทั้งประเทศ ก้าวลงไปสู่หุบเหวแห่งความหายนะ สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งต่อความสิ้นชาติ เป็นประเทศที่ล้มเหลว รัฐที่ล้มเหลว (Failed State) คือเป็นรัฐที่ไม่สามารถบริหารปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่สามารถดำรงรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยภายใน มีความขัดแย้งทางสังคมและการเมืองอย่างรุนแรง มีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย รัฐบาลและกลไกรัฐขาดความมั่นคงและประสิทธิภาพ จนไม่สามารถบริหารประเทศและแก้ปัญหาต่างๆ ให้ประสบผลสำเร็จได้
ตัวอย่างของ รัฐบาลอภิสิทธิ์และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังสะท้อนภาพของความล้มเหลวที่ชัดเจนยิ่งขึ้นโดยลำดับ จากผลสำรวจของกองทุนเพื่อสันติภาพ เมื่อปี 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ค่าความล้มเหลวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 79.2 คือมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอยู่ในลำดับที่ 78 จากทั้งหมด 177 ลำดับ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดที่มีความเสี่ยงสูงยิ่ง
เมื่อหันมามองปัญหาในเชิงโครงสร้างและระบอบการเมืองไทย ต้องถือว่าประเทศของเราเข้าขั้นวิกฤตร้ายแรงมากถึงมากที่สุด ผู้เขียนได้พยายามพูดและเขียนเพื่อเสนอปัญหานี้ต่อสังคมไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการชุมนุมทางการเมืองของพี่น้องประชาชน หรือโดยผ่านทางรายการของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ทีวีของประชาชนในทุกครั้งที่มีโอกาส
วันนี้ กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ อันเป็นกลุ่มนักวิชาการที่รักชาติ ได้ร่วมกันจัดการเสวนาทางวิชาการขึ้นในหัวข้อ “วิกฤตประเทศไทยใครคือตัวการ?” โดยมี ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นผู้ปาฐกถา ในหัวข้อรัฐธรรมนูญของประเทศไทยจาก “ระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. 2535 มาเป็นระบอบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภา” และความเห็นบรรดานักวิชาการของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ท่านอื่นๆ ย่อมจะเห็นได้ชัดเจน และตอกย้ำถึงปัญหาโครงสร้างและระบอบการเมือง แบบสรุปรวบยอดได้แจ่มแจ้ง และตรงเป้าที่สุดว่า ใครคือตัวการของปัญหาวิกฤตประเทศไทยในขณะนี้
ที่สำคัญที่สุดคือ บทสรุปของทาง ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ซึ่งระบุและชี้ให้เห็นว่า “ถ้าย้อนดูไปจากปี 2535 พรรคการเมืองที่มาต่อสู้ในสภา เป็นพรรคการเมืองของนายทุนทั้งสิ้น ระยะแรกเป็นพรรคการเมืองของนายทุนท้องถิ่น แย่งกันจับขั้วกันเอง และแย่งกันเป็นนายกฯ และจากปี 2534-2542 พรรคการเมืองของนายทุนท้องถิ่นสลับขั้วกันอย่างไร จากนั้นมานายทุนระดับชาติมองเห็น จึงร่วมลงทุนมากหน่อย จนใหญ่กว่านายทุนท้องถิ่น จึงซื้อทั้งผู้สมัคร ส.ส.และซื้อผู้ที่เป็น ส.ส.แล้ว และซื้อพรรคการเมือง ซึ่งจะเห็นว่านายทุนท้องถิ่นและระดับชาติกระโดดเข้ามาในระบบเผด็จการพรรคการเมืองนายทุน และเข้ามาผูกขาดอำนาจจริงๆ เพราะระบบรัฐสภาของเรา คือ ใครคุมเสียงข้างมากในสภา คนนั้นเป็นรัฐบาล เพราะฉะนั้น จึงซื้อเสียงเข้ามา และผูกขาดอำนาจพรรค ผูกขาดอำนาจรัฐ และคอร์รัปชัน แล้วเอาเงินไปซื้อเสียงกลับเข้ามาอีก”
ท่านจึงสรุปว่า “ถ้าเราจะแก้ปัญหาประเทศไทย ต้องแก้ที่ระบบสถาบันการเมืองก่อน เพราะถ้านักการเมืองไม่แก้ ก็คงไม่มีใครแก้เนื่องจากพวกเขาได้ประโยชน์ ถ้านักการเมืองไม่แก้ระบบสถาบันการเมือง คนไทยจะทำอย่างไร?” ทิ้งเป็นโจทก์ให้คนไทยเจ้าของประเทศต้องขบคิดร่วมกัน
จากบทปาฐกถาบางตอนของ ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ดังกล่าว สอดคล้องกับความเห็นของบรรดานักวิชาการกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ที่ชี้ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นไปอีกว่า พรรคการเมืองทั้งหลายที่เข้ามาต่อสู้แข่งขันกันเพื่อแย่งชิงการเป็นรัฐบาลเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐในระบบและโครงสร้างของการเมืองไทยขณะนี้ จึงเป็นเพียง “องค์กรอาชญากรรมทางการเมือง” หรือ “บริษัททางการเมืองจำกัดตามรัฐธรรมนูญ” เท่านั้นเอง
แต่ที่เลวร้ายที่สุด คือ เป็นบริษัททางการเมืองของกลุ่มนายทุนผูกขาดขนาดใหญ่ ที่มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวที่เป็นเจ้าของพรรคการเมืองที่กุมเสียงข้างมาก โดยซื้อตัว ส.ส.ไว้เป็นลูกจ้างในพรรคมากที่สุด ควบคุมกำหนดตัวนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวมถึงกลไกรัฐ และราชการทั้งหลายทั้งประเทศไว้ในกำมือแต่เพียงผู้เดียว แม้ไม่ได้อยู่ในแผ่นดินไทย ก็สามารถใช้อำนาจเงินและทุนควบคุมพรรคการเมือง ไม่ต่างจากการบริหารบริษัททางธุรกิจ
ด้วยเหตุนี้โครงสร้างและระบอบการเมืองของประเทศไทย จึงเป็นระบบเผด็จการ โดยนายทุนผูกขาดเจ้าของพรรคการเมือง เป็นกลุ่มนายทุนผูกขาด หรือทุนสามานย์เท่านั้น ที่มีอำนาจผูกขาดอำนาจจริงๆ ควบคุมกลไกรัฐ -ราชการทั้งหมด เพื่อการคอร์รัปชัน และปล้นชิงเอาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ฮุบเอาทรัพยากรของชาติไปเป็นของตนเองและพวกพ้อง นี่คือการเมืองที่ครอบงำประเทศไทยมาต่อเนื่องยาวนานมาไม่น้อยกว่า 20 ปี (2535-2555) โครงสร้างและระบอบการเมืองไทยจึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น “ประชาธิปไตย”
ตามคำนิยามในรัฐศาสตร์ หรือตามความเข้าใจ หรือคำอธิบายที่สวยหรูจากลมปากนักการเมือง หรือนักวิชาการสามานย์ที่พยายามเสนอและขายความคิด มอมเมาประชาชนให้มาพิทักษ์ปกป้องระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม หว่านล้อมให้ประชาชนงมงาย และจำยอมอยู่กับ “การเลือกตั้งที่สกปรก ใช้เงินซื้อเสียงและเต็มไปด้วยกลโกง”ว่าเป็นวิธีการทางการเมืองเยี่ยงประเทศที่เจริญ ทั้งๆ ที่เราทำมาเพียงแต่รูปแบบ ส่วนเนื้อหาล้วนแต่สกปรก และเป็นเผด็จการโดยกลุ่มทุนผูกขาดทั้งสิ้น
เมื่อประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราชาวไทยทุกคน ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะมีทางออกทางแก้ปัญหาอย่างไรเล่า ที่จะนำพาชาติบ้านเมืองเราให้หลุดพ้นวิกฤตดังกล่าว เพราะต้นตอและตัวการทั้งหมดอยู่ที่พรรคการเมือง และนักการเมืองที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้ เราไม่อาจฝากความหวังใดๆ ไว้กับพวกเขาได้เลย ไม่ว่าพรรคหรือนักการเมืองคนใด วิกฤตของประเทศ และความล้มเหลวของระบอบการเมืองไทยเป็นปัญหาและความล้มเหลวที่มีผลต่อประเทศของเรา ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกอาชีพ ทุกหมู่เหล่า จึงเป็นเพียงความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนทั้งหลายจะต้องผนึกกำลังร่วมกันเปลี่ยนแปลงให้ถึงที่สุด
ผู้เขียนเสนอให้ปฏิวัติประเทศไทย เปลี่ยนแปลงสังคมและการเมืองไทย เพราะเห็นว่าประเทศของเราจมปลักอยู่กับปัญหาที่ถึงขั้นวิกฤตร้ายแรงมากแล้ว การจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงหรือปล่อยให้มันวิวัฒนาการไปเองแบบค่อยเป็นค่อยไปคงจะไม่ได้ และไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหา และอาการโรคของประเทศที่เป็นอยู่ขณะนี้ เพราะถึงขั้นที่จะต้องมีการรักษาด้วยการผ่าตัดใหญ่แล้วเท่านั้น อาการโรควิกฤตของประเทศจึงจะรักษาให้หายขาด เราคงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะพูดจาอ้อมค้อมอีกต่อไป ต้องยอมรับความจริงในปัญหาของประเทศที่หนักหน่วงร้ายแรงทุกๆ ด้าน ที่ประเทศเราประสบอยู่ ซึ่งต้องได้รับการจัดการแก้ไขโดยรีบด่วนและถึงรากเหง้าต้นตอของปัญหา
ประเทศไทย สังคมไทย ต้องยอมรับความเจ็บปวดเพื่อการเปลี่ยนผ่านประเทศของเราให้ก้าวหลุดพ้นจากวิกฤตร้ายแรงครั้งนี้ให้ได้ เราเคยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ๆ เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี 2475 และเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 หากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อ “ล้มล้างระบบเผด็จการของทุนผูกขาดเจ้าของพรรคการเมือง” ในปี พ.ศ. 2555 โดย กองทัพ-ประชาชน-ผู้รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ทั้งหลาย เพื่อร่วมมือกันเป็นพลังปฏิวัติประเทศไทยจริงๆ เสียที ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เพื่อสร้างคุณูปการให้กับแผ่นดิน จงทำเถิด แม้ตายไปก็จะได้ชื่อว่า “ไม่เสียชาติเกิด” ครับพี่น้อง และทหารหาญของชาติ