วานนี้ (5 ก.พ.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวตอบโต้ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกรัฐบาล ที่ออกมาเชิดชูว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหนือกว่ารัฐบาล อภิสิทธิ์ ทุกด้านใน 15 เรื่อง โดยไม่สามารถชี้แจงประเด็นที่ตนจับโกหกนายกรัฐมนตรี 9 เรื่อง แม้แต่ประเด็นเดียว แต่ใช้วิธีกล่าวหารัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยปราศจากข้อมูล จึงน่าเป็นห่วงความมั่นคงของรัฐบาล ที่มีทีมโฆษกรัฐบาลขาดสติปัญญาในการเสาะหาข้อมูล เพราะทั้ง 15 ประเด็น ตนสามารถตีตกได้ทุกเรื่องด้วยข้อมูล ไม่ใช่การโกหกประชาชน และอยากให้ทีมโฆษกของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยใช้วิธีการเดียวกัน เพื่อยกระดับมาตรฐานการเมืองด้วย
กรณีที่นายอนุสรณ์ ระบุว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เข้าสู่อำนาจอย่างสง่างาม ไม่ได้ตั้งรัฐบาลในค่ายทหารว่า ตนไม่เห็นว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ จะมีความแตกต่างจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะทั้งคู่ต่างก็ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ที่สำคัญคือ พรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นลูกผู้ชายไม่เสนอชื่อนายกฯ แข่งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะเคารพเสียงประชาชน
แต่พรรคเพื่อไทย กลับแร้นแค้นบุคลากร ที่จะชิงชัยในสภากับนายอภิสิทธิ์ และกระหายอำนาจ จนยอมทำทุกอย่างเพื่อคงความเป็นรัฐบาลเอาไว้ ยอมแม้กระทั่งยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้พรรคเล็กอย่างพรรคเพื่อแผ่นดิน ด้วยการเสนอชื่อพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน แต่ก็พ่ายแพ้ในสภา
ส่วนที่ อ้างว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่กระทบกับเพื่อนบ้าน เลิกรบกับกัมพูชา เปิดชายแดนแม่สอดกับพม่านั้น ตนก็ขอยืนยันว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่เคยทำให้สนามการค้าเป็นสนามรบ มีแต่รักษาผลประโยชน์ และอธิปไตยของชาติอย่างเต็มที่ ด้วยการต่อสู้กับกัมพูชาโดยไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง เพื่อรักษาประโยชน์ชาติ ทั้งเวทีกรรมการมรดกโลก เจบีซี และในศาลโลก ซึ่งตรงกันข้ามกับรัฐบาลชุดนี้ ที่ยอมกัมพูชาทุกเรื่อง ไม่กล้าแม้แต่จะประท้วงการกระทำของกัมพูชา ที่สุ่มเสียงต่อการละเมิดอธิปไตยของไทย
สำหรับกรณีเปิดด่านแม่สอดนั้น สะท้อนว่า นายอนุสรณ์ ไม่ทำการบ้าน ทำให้ไม่รู้ว่า การปิดด่านไม่ได้เกิดจากปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่เป็นปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อย ซึ่งในช่วงปลายรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทางการพม่าก็ส่งสัญญาณมาแล้วว่า เริ่มมีความพร้อมที่จะกลับมาเปิดด่านหลังเหตุการณ์ภายในประเทศเขาสงบ นอกจากนี้ในช่วงที่มีการปิดด่าน ชาวบ้านสองประเทศก็ยังติดต่อกันได้ตามปกติโดยสัญจรทางเรือ
"ถ้าคุณอนุสรณ์ จะช่วยหาข้อมูล เพิ่มพูนสติปัญญาของตัวเองให้มากกว่านี้ก็จะทราบว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ ยังเตรียมที่จะผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ท้องถิ่นพิเศษ "นครแม่สอด" และเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด เรื่องเดียวกับที่ รมว.กระทรวงการต่างประเทศกำลังตีกินว่า เป็นผลงานรัฐบาลชุดนี้ ทั้งๆ ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้มาสานต่อเท่านั้นเอง แต่เราก็ดีใจที่พวกท่านจะเดินตามแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์วางไว้ เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ และฝากสานต่อนโยบายรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่จะผลักดันอีก 56 จังหวัด เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษด้วย ซึ่งคุณยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องยุ่งยาก อ่านโพย แค่ทำตามสิ่งคุณอภิสิทธิ์ ปูทางไว้ให้พอแล้ว หวังว่าคงไม่ยุ่งยากเกินกว่าสติปัญญาของคุณยิ่งลักษณ์นะครับ" นายชวนนท์ กล่าว
กรณีที่ นายอนุสรณ์ ภาคภูมิใจว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยกระดับการศึกษาของเด็กไทยให้ก้าวไกลสู่สากล โดยทำให้เด็กไทยเข้าถึงแท็บเล็ตว่า ยิ่งทำให้ตนรู้สึกเศร้าใจกับประเทศไทยอย่างมาก ที่มีผู้บริหารแบบนี้ เพราะนโยบายดังกล่าว ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าอาจมีการทุจริต และนำแท็บเล็ตด้อยคุณภาพไปแจกเด็ก ป.1 ส่งผลต่อกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก และยังอาจทำให้เด็กป.1 มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยตามมาด้วย โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ยังยอมรับว่าเป็นนโยบายที่มีปัญหาทำให้ต้องมีการประเมินหลังแจกล็อตแรกก่อนว่า มีผลอย่างไร ซึ่งผลกระทบจากนโยบายนี้ที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ เปลืองงบประมาณที่ควรนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาระบบการศึกษาไทยด้านอื่น ดีกว่าคิดมักง่ายใช้เงินประชาชนซื้อคะแนนนิยม ด้วยการแจกแทปเล็ต เด็ก ป.1 ที่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งว่า จะกลายเป็นการทำลายทักษะ และพัฒนาการของเด็กมากกว่า
สำหรับเรื่องราคาไข่ ที่นายอนุสรณ์ บอกว่า ประชาชนในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีปัญหาไข่แพงจนต้องนำไข่ไปชั่งกิโลขายนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า เป็นการพูดแบบไม่มีข้อมูล เพราะยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ไข่ไก่แพงที่สุดอยู่ที่ 5 บาท แต่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์แพงถึงฟองละ 8 บาท และเรื่องไข่ชั่งโล ก็เป็นแค่การเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน ไม่ได้มีการบังคับ ประชาชนสามารถซื้อไข่เป็นฟองได้เหมือนเดิม
แต่ที่สำคัญคือรัฐบาลอภิสิทธิ์ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะในขณะนั้นราคาไข่แพงเนื่องจากมีการควบคุมปริมาณพันธุ์สัตว์ให้น้อยกว่าความต้องการของตลาด จนทำให้ปริมาณผลผลิต กับความต้องการไม่สมดุลกัน ราคาไข่จึงแพง และยังเป็นการกระทำที่น่าจะผิดต่อ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 มาตรา 26 ถึงมาตรา 28 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 51 คือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 84 บัญญัติว่า “รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายเศรษฐกิจ ด้วยการกำกับให้การประกอบกิจการมีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาดตัดตอน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม และคุ้มครองผู้บริโภค
"ผมไม่ทราบว่าคุณอนุสรณ์ และรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ จะศึกษาข้อกฎหมายหรือไม่ว่า สิ่งที่กรมปศุสัตว์ และคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่ และผลิตภัณฑ์ ทำนั้น ต้องบอกว่าไม่มีอำนาจกฎหมายรองรับให้ออกคำสั่งทางปกครอง ในลักษณะที่จำกัดเสรีภาพ กีดกันหรือห้ามเอกชนผู้เลี้ยงไก่รายอื่นๆ นำเข้าแม่พันธุ์ไก่ไข่ เพราะเป็นการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 โดยเรื่องนี้มีเกษตรกรเขาไปฟ้องต่อศาลปกครองด้วย ก่อนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ จะคลายปมปัญหานี้ด้วยการเปิดเสรีพันธุ์สัตว์ ขอเตือนล่วงหน้าว่า ในวันที่ 7 ก.พ.นี้ ที่ รมว.พาณิชย์ บอกว่าจะเสนอให้กลับไปควบคุมปริมาณพันธุ์สัตว์ป้องกันไข่ล้นตลาดนั้น ต้องใช้สติปัญญาคิดอย่างรอบคอบ ไม่เช่นนั้นอาจมีคนต้องติดคุกเพราะทำผิดกฎหมาย ”
นายชวนนท์ กล่าวว่า แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ การดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชน ซึ่งรัฐบาลล้มเหลวโดยสิ้นเชิง โดยดูได้จากราคาไข่ไก่ ที่เกษตรกรอ้างว่าขาดทุน ไข่ราคาตก แต่ทำไมประชาชนยังต้องกินไข่ดาวฟองละ 10 บาท แสดงให้เห็นว่ากลไกตลาดในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีปัญหา ซึ่งต้องแก้ไขให้ตรงจุด ไม่ใช่มองแค่ด้านเดียว ด้วยการเอาใจเกษตรกร แต่ไม่คำนึงถึงผู้บริโภค ในขณะนี้นโยบายรัฐบาลอภิสิทธิ์ส่งผลทำให้ไข่ราคาถูกลงแล้ว แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับไม่สามารถดูแลให้ประชาชนบริโภคไข่ในราคาที่เป็นธรรมได้ ทั้งที่ราคาไข่ลดลงแต่ประชาชนยังต้องกินไข่ในราคาแพง โดยที่นายกฯ ไม่เคยแม้แต่จะไปสำรวจราคาสินค้าด้วยตัวเอง หรือว่าตอนนี้เดินตลาดไม่เป็นแล้ว เพราะไม่ใช่ช่วงหาเสียง ที่สำคัญคือรัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะซ้ำเติมประชาชน ด้วยการให้ชาวบ้านต้องกินไข่ราคาแพงตลอดกาล หากกลับไปใช้นโยบายควบคุมปริมาณพันธุ์สัตว์อีกครั้ง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังแนะนำให้รัฐบาลแก้ปัญหาไข่ไก่ บนหลักการสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรม เกษตรกรอยู่ได้ประชาชนไม่ถูกเอาเปรียบ และต้องปล่อยให้กลไกทางการตลาดทำงาน ซึ่งภาวะไข่ล้นตลาด ที่อ้างกันในขณะนี้นั้น รัฐบาลต้องตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ถ้าจริงทำไมคนยังต้องกินไข่แพง
นอกจากนี้นโยบายเปิดพันธุ์สัตว์เสรี ก็เพิ่งจะส่งผล ดังนั้นจึงต้องให้เวลาในการปรับสมดุล ซึ่งกลไกตลาดจะทำหน้าที่ของมันเอง
ส่วนกรณีที่นายอนุสรณ์ บอกว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ต้องให้ประชาชนเข้าคิวซื้อน้ำมันปาล์มนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า เป็นเพราะรัฐบาลชุดนี้ ได้รับอานิสงส์ จากการแก้ปัญหาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ จนทำให้วันนี้ นอกจากน้ำมันปาล์มไม่ขาดตลาดแล้ว ราคายังเป็นธรรมกับผู้บริโภคด้วย และสาเหตุที่ทำให้น้ำมันปาล์ม ขาดตลาด เป็นเพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ ต้องการดูแลค่าครองชีพประชาชน จึงไม่ยอมให้ผู้ประกอบการขึ้นราคาขวดละ 60-70 บาท ทำให้น้ำมันขาดตลาด และมีราคาสูงอยู่ระยะหนึ่ง เนื่องจากปริมาณการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค เพราะผู้ประกอบการไม่ยอมผลิตน้ำมันออกสู่ตลาด แต่รัฐบาลก็แก้ปัญหาทันที โดยใช้เวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ แม้ว่าประชาชนจะเดือดร้อน แต่ก็เป็นช่วงสั้นๆ โดยสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ทิ้งไว้ให้รัฐบาลชุดนี้คือ การดูแลประชาชนให้ซื้อราคาน้ำมันปาล์มขวดละ 48 บาท ไม่ต้องซื้อน้ำมันแพงถึงขวดละ 70 บาท เพราะหากรัฐบาลในขณะนั้น ยอมให้มีการขึ้นราคาตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการ ปัญหาการขาดตลาดจะไม่เกิดขึ้น แต่เชื่อได้เลยว่า ราคาน้ำมันจะไม่ลดลงมาอยู่ที่ 48 บาท อย่างแน่นอน
"รัฐบาลยิ่งลักษณ์ขาดความเอาใจใส่ต่อประชาชน เพราะ 6 เดือนที่ผ่านมาล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการแก้ปัญหาค่าครองชีพ และยังกำหนดนโยบายพลังงาน ที่ซ้ำเติมคนจนด้วย ทำให้ประชาชนมีรายจ่ายเพิ่มครัวเรือนละ 2 พันบาท ต่อเดือน แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ดูแลประชาชนให้ประหยัดรายจ่ายต่อครัวเรือนเดือนละกว่า 3 พันบาท " นายชวนนท์ กล่าว
ส่วนประเด็นที่ นายอนุสรณ์ อ้างว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตย โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งระบบ ไม่เหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์ แก้ได้แค่ระบบการเลือกตั้ง และมาตรา 190 นั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตย เพราะถ้านายอนุสรณ์ เข้าใจว่าความเป็นประชาธิปไตยว่า วัดกันที่ใครแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้มากกว่ากัน ตนก็เป็นห่วงพรรคเพื่อไทย ที่มีบุคลากรด้อยคุณภาพเช่นนี้ เพราะจะพากันตกต่ำจนฉุดขึ้นจากเหวไม่ได้
ทั้งนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ แก้รัฐธรรมนูญเฉพาะที่จำเป็นในประเด็นเรื่องระบบเลือกตั้ง และ มาตรา 190 เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งล้วนแต่มีหลักคิดที่ส่วนรวมเป็นตัวตั้ง กำหนดประเด็นบอกกับสังคมอย่างชัดเจนว่า ขอบเขตการแก้ไขเป็นอย่างไร ไม่ใช่คิดฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อล้างความผิดให้นายใหญ่เหมือนที่พรรคเพื่อไทย กำลังดำเนินการในขณะนี้ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนั้นก็ไม่มีวาระส่วนตัวใดๆ แอบแฝง ทำให้ไม่เกิดความขัดแย้งในสังคม แตกต่างจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะทำ เพราะเป็นประชาธิปไตยที่มีปลายทางอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น จุดมุ่งหมายที่ประชาชนเขารู้ทันว่า น้องสาวแก้รัฐธรรมนูญเพื่อพี่ชาย กำลังจะเป็นปมขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้นในสังคมไทย อาจถึงขั้นกลายเป็นรัฐธรรมนูญเลือด เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยซ้ำ จึงขอแนะนำให้รัฐบาลเข้าเกียร์ถอยดีกว่า
ส่วนที่นายอนุสรณ์ ภูมิใจว่าเอาชนะยาเสพติดได้ มีคะแนนเหนือกว่าในทุกโพลนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า ต้องดูในระยะยาวยังตัดสินขณะนี้ไม่ได้ แต่ตนจะเปรียบเทียบให้นายอนุสรณ์เห็นว่า แม้แต่การทำสงครามยาเสพติดยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประชาชนชื่นชอบนั้น เมื่อเทียบกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็มีความแตกต่างในทางสถิติการจับกุมอย่างเห็นได้ชัดดังนี้
จากข้อมูล ปปส. การจับกุมยาเสพติด เฉลี่ยต่อปี ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ 7 9,074.39 คดี จำนวนผู้ต้องหา 86,509.94 คน ของกลาง 58,903.20 ก.ก. ขณะที่ยุคอภิสิทธิ์ จำนวนคดี 149,749.60 คดี จำนวนผู้ต้องหา 164,362.80 คน ของกลาง 107,229.32 ก.ก.
นายชวนนท์ กล่าวว่า จากข้อมูลนี้จะเห็นชัดว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ จริงจังกับการแก้ปัญหายาเสพติด และทำอย่างครบวงจร ไม่ใช่หวังสร้างภาพ พาสื่อล้อมปราบ จนเกิดคำถามว่า มีการจัดฉากหรือไม่ ที่สำคัญคือรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่มีนโยบายฆ่าตัดตอน เพื่อความสะใจเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน เพราะรู้ว่าไมใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
" การกวาดล้างเครือข่ายยาเสพติดในเรือนจำ ที่รัฐบาลกำลังตีปี๊บอยู่ตอนนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ทำมานานแล้ว ย้ายนักโทษยาเสพติดไปคุกเขาบิน เราก็ทำ และยังติดตั้งเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ด้วย สถานที่แห่งนี้จึงมีความพร้อมให้รัฐบาลย้ายนักโทษคดียาเสพติดมาอยู่ที่คุกเขาบิน และนายกฯอภิสิทธิ์ ขณะนั้น ทำงานในภาคปฏิบัติ ไม่ใช่มุ่งแต่การสร้างภาพ มีการติดตามประเมินผลด้วยตัวเองทุกเดือน ซึ่งเชื่อว่า คุณยิ่งลักษณ์ ไม่มีทางทำ เพราะหัวใจที่ห่วงใยประชาชน มันต่างกันมาก สิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ทำได้ก็เพียงแค่อ่านตามโพยว่า จะลดยาเสพติด 80 % ภายใน 1 ปี เท่านั้น ที่สำคัญคือ คุณอนุสรณ์ ต้องจำให้ขึ้นใจครับว่า นายตำรวจใหญ่ที่ดูแลปัญหายาเสพติดยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. คนปัจจุบัน ที่พวกท่านยกย่องเชิดชูว่า มีผลงานปราบปรามยาเสพติดนั่นแหละ" นายชวนนท์ กล่าว
นายชวนนท์ ยังกล่าวถึง การใช้งบประมาณปราบปรามยาเสพติดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่มีการจัดงบประมาณไว้ที่ 1,811.23 ล้านบาท แบ่งเป็นงบยาเสพติด 1,735.22 ล้านบาท แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น 76.01 ล้านบาท ซึ่งมีการเบิกจ่ายตามตัวเลขที่สื่อมวลชนนำเสนอไว้ ณ วันที่ 6 ม.ค. 55 ใช้จ่ายงบประมาณไปแล้วในส่วนยาเสพติด 635.29 ล้านบาท และ คอร์รัปชันอีก 27.36 ล้านบาท รวม 2 นโยบาย ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,811.23 ล้านบาท ณ วันที่ 6 ม.ค. 55 มีการเบิกจ่ายงบไปแล้วจำนวน 662.65 ล้านบาท หรือประมาณ 36 % ของงบประมาณที่ตั้งไว้
"ผมยอมรับว่าพวกท่านใช้เงินกันรวดเร็วจริง ๆ 6 เดือนท่านใช้ไปแล้ว 662.65 ล้านบาท ถ้าใช้แก้ปัญหา โดยไม่มีการตกหล่นระหว่างทาง เราไม่ขัดข้อง แต่เราไม่ยอมแน่ถ้าจะมีใครจัดฉากสร้างหนังฆาตกรรม ดึงความสนใจของประชาชน แล้วแอบผลาญงบประมาณของชาติ เรื่องนี้ผมจะเสนอให้กรรมาธิการติดตามงบประมาณไปตรวจสอบให้ ร.ต.อ.เฉลิม แจกแจงรายละเอียด เพื่อให้เกิดความโปร่งใสด้วย เพราะตอนนี้กระทรวงยุติธรรม จะขอเพิ่มอีก 3 พันกว่าล้าน สร้างคุกซุปเปอร์แม็กซ์ ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม ก็จะของบเพิ่มให้ ปปส. การแก้ปัญหาทุกเรื่องของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตั้งต้นจากการใช้เงินก่อนการใช้สติปัญญาในการบริหารทั้งสิ้น ขอย้ำว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีปัญหาหากการใช้จ่ายจะเป็นไปเพื่อประชาชน แต่ไม่ยอมแน่ ถ้าจะมีใครแปรโครงการคุกซุปเปอร์แม๊กซ์ ไปเป็นโครงการซุปเปอร์แด๊ก เพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว" นายชวนนท์ กล่าว
ส่วนที่นายอนุสรณ์ อ้างว่า รัฐบาลยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน ด้วยค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำวันละ 300 บาท เริ่ม 1 เม.ย.นี้นั้น ต้องพูดให้ครบด้วยว่า เป็นการตบตาประชาชน เพราะค่าแรงที่หาเสียงไว้ต้องขึ้นทันทีทั่วประเทศ แต่นี่กลับนำร่องเพียง 7 จังหวัด และกว่าจะขึ้นได้ท่านต้องใช้เวลาถึง 9 เดือน ก็ต้องบอกประชาชนให้ครบด้วยว่าเมื่อขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่ใดแล้ว พื้นที่นั้นจะไม่มีการปรับค่าแรงในอีก 2 ปีข้างหน้า และนโยบายนี้ ก็ทำให้เอกชนหลายบริษัทย้ายฐานการผลิตออกจากไทยไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้จบปริญญาตรี มีรายได้เดือนละ 15,000 บาท นั้น ก็สร้างความเหลื่อมล้ำให้กับข้าราชการผู้ที่จบสายวิชาชีพ และยังไม่ครอบคลุมถึงวิชาชีพอื่น นอกจากข้าราชการ ทั้งที่ในช่วงหาเสียงระบุว่า รวมเอกชนด้วย ที่สำคัญคือ ค่าครองชีพจะพุ่งสูงขึ้นอีก แม่ค้าเขาไม่ดูนะครับว่า จะขายของให้พนักงานเอกชนถูกกว่าข้าราชการ เพราะยังไม่ได้รับการปรับอัตราเงินเดือน ตามที่รัฐบาลเคยหาเสียงไว้ คนรับเคราะห์ก็คือประชาชนอีกเช่นเดียวกัน
นายชวนนท์ กล่าวถึงกรณีที่ นายอนุสรณ์ อ้างว่า ชาวนารวยขึ้น ด้วยนโยบายจำนำข้าวนั้น ถือเป็นการโกหกประชาชน ทั้งๆ ที่ขณะนี้มีปริมาณข้าวในโครงการเพียง 8 ล้านตัน จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 25 ล้านตัน โดยที่เกษตรกรไม่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะถูกกดราคา มีปัญหาการสวมสิทธิ์ ทุจริตกันทุกขั้นตอน นอกจากนี้นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังทำลายอนาคตการส่งออกข้าวไทยอย่างรุนแรง โดยเห็นได้จากสถิติการส่งออกเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้เพียง 3.5 แสนตัน ต่างจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วที่ส่งได้ถึง 7.3 แสนตัน ลดลงถึง 52 % เนื่องจากรัฐบาลกำหนดราคารับจำนำที่สูงกว่าราคาตลาด หากยังไม่ทบทวนนโยบาย ก็จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงตามมาแน่นอน นอกจากนี้นโยบายจำนำข้าว ยังส่งผลให้ราคาข้าวถุงแพงขึ้นอีก 10 % ด้วย และคนซวยก็คือ ประชาชนอีกเช่นเคย
สำหรับกองทุนพัฒนาสตรี จังหวัดละ 100 ล้านบาท และยกระดับการแข่งขัน และเสริมศักยภาพชุมชน ด้วยกองทุน SML นั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะจับตาอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอย กองทุนหมู่บ้าน ที่นอกจากไม่ได้ทำให้หมู่บ้านพัฒนาขึ้นแล้ว ยังสร้างหนี้ให้กับประชาชนในหมู้บ้านด้วย และต้องดูด้วยว่า จะมีการเลือกปฏิบัติ จัดสรรให้พรรคพวกตัวเองก่อนหรือไม่
นายชวนนท์ ยังแสดงความประหลาดใจที่ นายอนุสรณ์ นำเรื่องสร้างรถไฟความเร็วสูง ถึงเมืองจีน มาเป็นผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งๆ ที่เป็นโครงการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ปูทางไว้รัฐบาลชุดนี้เพียงแค่มาสานต่อเท่านั้น และประเด็นที่นายอนุสรณ์ บอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ สามารถสร้างความเชื่อมั่น ผลักดันให้เห็นอนาคตกับยุทธศาสตร์ป้องกันน้ำท่วมบนเวทีดาวอสนั้น ก็เป็นการโกหกทั้งประชาชน และตัวเอง เพราะเอกชนหลายราย มีการย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปแล้ว และนายกรัฐมนตรีก็ยอมรับด้วยว่าขณะนี้มีเอกชนร้อยละ 50 ที่อาจย้ายฐานการผลิตออกจากไทยเพิ่มอีก
นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์น้ำท่วม ก็ขาดความชัดเจน จนกรรมการกยน.หลายคนทนไม่ได้ ต้องออกมาพูดให้สังคมรับรู้ว่า รัฐบาลคิดแต่จะใช้เงิน โดยไม่มีแผนเป็นรูปธรรม ซึ่งจะทำให้ประชาชนเสี่ยงกับภาวะน้ำท่วมซ้ำรอยปีที่แล้ว ทั้ง ๆ ที่ประชาชนอีกจำนวนมาก ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา 5 พันบาท จากปัญหาอุทกภัยในปี 2554 ด้วยซ้ำ
นายชวนนท์ กล่าวว่า จากข้อมูลปัจจุบันพบว่า มีผู้ประสบอุทกภัย 5 แสนครัวเรือน ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา 5 พันบาท รัฐบาลจึงควรเร่งรัดดำเนินการในเรื่องนี้ พร้อมกับแสดงความแปลกใจที่การประชุมครม.ที่บ้านพิษณุโลก เพื่อพิจารณาแผนบริหารจัดการน้ำ และการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี กลับมีแต่รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยไม่มี รมว.เกษตรฯ ซึ่งคุมกรมชลประทาน ที่เป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการน้ำ โดยเป็นห่วงว่า หากกรมชลประทานไม่มีส่วนร่วมในการพิจารณาแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลจะทำให้เกิดปัญหาตามมา และแสดงความไม่เห็นด้วยที่ทัวร์นกแก้วของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเอาแผนใหญ่จากส่วนกลางครอบจังหวัดให้ต้องปฏิบัติตาม โดยเปรียบเทียบว่า รัฐบาลนี้ทำให้ประชาชนมีค่าไม่แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงในกรงของรัฐบาล เพราะคิดแผนโดยคนไม่กี่คน แล้วเอาแผนดังกล่าวไปครอบในพื้นที่ ถือเป็นการบริหารผิดทางคือทำจากบนลงล่าง ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในการพิจารณาโครงการ เท่ากับบริหารงานแบบเผด็จการ คิดแต่ถลุงเงินไม่คิดถึงผลกระทบสังคม สิ่งแวดล้อม และขอท้าให้รัฐบาลกู้เงินตาม พ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ทันที หากเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนจริง เนื่องจากการยื่นตีความไม่ได้มีผลกระทบต่อการบังคับใช้ของกฎหมาย ทั้งนี้เห็นว่า การที่รัฐบาลไม่กล้ากู้ เพราะรู้ดีว่า พ.ร.ก.ดังกล่าว เสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่นายอนุสรณ์ อ้างว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างไม่แตกแยก ไม่เข่นฆ่าไม่สังหารหมู่ประชาชนนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า เป็นการโกหกประชาชนซ้ำซาก เพราะรัฐบาลชุดนี้สนับสนุนผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง ทำลายความมั่นคงของชาติ และยังคิดเอาเงินภาษีประชาชนไปแจกให้กองกำลังของตัวเองรายละ 7.75 ล้านบาท เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยพรรคเพื่อไทยล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยวิธีการนอกรัฐธรรมนูญด้วย
"คนไทยเขาไม่ยอมหรอกครับ เพราะภาพมันติดตาว่า มีกองกำลังในกลุ่มผู้ชุมนุมใช้อาวุธโจมตีทำร้ายทหาร และประชาชนผู้บริสุทธิ์ มีการละเมิดสิทธิประชาชนจำนวนมาก และทำลายเศรษฐกิจของประเทศ จนเกือบจะพังพินาศ ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องเข้าควบคุมสถานการณ์ คืนความสงบให้บ้านเมือง ดำเนินการทุกอย่างตามหลักสากล เพราะถ้าหากมีการสังหารหมู่เกิดขึ้นจริง ป่านนี้ต่างประเทศคงเข้ามาแทรกแซงประเทศไทยตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พรรคเพื่อไทย ต้องการไปแล้ว แต่เป็นเพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ พยายามอย่างที่สุดที่จะจำกัดความสูญเสียจนต่างชาติเขารับรู้ข้อเท็จจริง แตกต่างจากคนบางกลุ่มที่ทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มความตายหาประโยชน์จากซากศพของคนไทย ถ้าคุณอนุสรณ์ รังเกียจการสังหารหมู่ประชาชน ขอแนะนำให้ท่านเสนอนายกรัฐมนตรี ให้ปลด คุณนลินี ก่อนเป็นอันดับแรก คุณอภิสิทธิ์ เดินทางไปไนในโลกใบนี้ได้อย่างเสรี ใช้บัตรเครดิตได้ทั่วโลก แต่คุณนลินี ไปสหรัฐฯ ต้องมีเจ้ามือตลอด เพราะใช้เงินและบัตรเครดิตไม่ได้" นายชวนนท์ กล่าว
กรณีที่นายอนุสรณ์ ระบุว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เข้าสู่อำนาจอย่างสง่างาม ไม่ได้ตั้งรัฐบาลในค่ายทหารว่า ตนไม่เห็นว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ จะมีความแตกต่างจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะทั้งคู่ต่างก็ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ที่สำคัญคือ พรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นลูกผู้ชายไม่เสนอชื่อนายกฯ แข่งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะเคารพเสียงประชาชน
แต่พรรคเพื่อไทย กลับแร้นแค้นบุคลากร ที่จะชิงชัยในสภากับนายอภิสิทธิ์ และกระหายอำนาจ จนยอมทำทุกอย่างเพื่อคงความเป็นรัฐบาลเอาไว้ ยอมแม้กระทั่งยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้พรรคเล็กอย่างพรรคเพื่อแผ่นดิน ด้วยการเสนอชื่อพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน แต่ก็พ่ายแพ้ในสภา
ส่วนที่ อ้างว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่กระทบกับเพื่อนบ้าน เลิกรบกับกัมพูชา เปิดชายแดนแม่สอดกับพม่านั้น ตนก็ขอยืนยันว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่เคยทำให้สนามการค้าเป็นสนามรบ มีแต่รักษาผลประโยชน์ และอธิปไตยของชาติอย่างเต็มที่ ด้วยการต่อสู้กับกัมพูชาโดยไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง เพื่อรักษาประโยชน์ชาติ ทั้งเวทีกรรมการมรดกโลก เจบีซี และในศาลโลก ซึ่งตรงกันข้ามกับรัฐบาลชุดนี้ ที่ยอมกัมพูชาทุกเรื่อง ไม่กล้าแม้แต่จะประท้วงการกระทำของกัมพูชา ที่สุ่มเสียงต่อการละเมิดอธิปไตยของไทย
สำหรับกรณีเปิดด่านแม่สอดนั้น สะท้อนว่า นายอนุสรณ์ ไม่ทำการบ้าน ทำให้ไม่รู้ว่า การปิดด่านไม่ได้เกิดจากปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่เป็นปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อย ซึ่งในช่วงปลายรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทางการพม่าก็ส่งสัญญาณมาแล้วว่า เริ่มมีความพร้อมที่จะกลับมาเปิดด่านหลังเหตุการณ์ภายในประเทศเขาสงบ นอกจากนี้ในช่วงที่มีการปิดด่าน ชาวบ้านสองประเทศก็ยังติดต่อกันได้ตามปกติโดยสัญจรทางเรือ
"ถ้าคุณอนุสรณ์ จะช่วยหาข้อมูล เพิ่มพูนสติปัญญาของตัวเองให้มากกว่านี้ก็จะทราบว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ ยังเตรียมที่จะผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ท้องถิ่นพิเศษ "นครแม่สอด" และเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด เรื่องเดียวกับที่ รมว.กระทรวงการต่างประเทศกำลังตีกินว่า เป็นผลงานรัฐบาลชุดนี้ ทั้งๆ ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้มาสานต่อเท่านั้นเอง แต่เราก็ดีใจที่พวกท่านจะเดินตามแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์วางไว้ เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ และฝากสานต่อนโยบายรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่จะผลักดันอีก 56 จังหวัด เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษด้วย ซึ่งคุณยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องยุ่งยาก อ่านโพย แค่ทำตามสิ่งคุณอภิสิทธิ์ ปูทางไว้ให้พอแล้ว หวังว่าคงไม่ยุ่งยากเกินกว่าสติปัญญาของคุณยิ่งลักษณ์นะครับ" นายชวนนท์ กล่าว
กรณีที่ นายอนุสรณ์ ภาคภูมิใจว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยกระดับการศึกษาของเด็กไทยให้ก้าวไกลสู่สากล โดยทำให้เด็กไทยเข้าถึงแท็บเล็ตว่า ยิ่งทำให้ตนรู้สึกเศร้าใจกับประเทศไทยอย่างมาก ที่มีผู้บริหารแบบนี้ เพราะนโยบายดังกล่าว ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าอาจมีการทุจริต และนำแท็บเล็ตด้อยคุณภาพไปแจกเด็ก ป.1 ส่งผลต่อกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก และยังอาจทำให้เด็กป.1 มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยตามมาด้วย โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ยังยอมรับว่าเป็นนโยบายที่มีปัญหาทำให้ต้องมีการประเมินหลังแจกล็อตแรกก่อนว่า มีผลอย่างไร ซึ่งผลกระทบจากนโยบายนี้ที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ เปลืองงบประมาณที่ควรนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาระบบการศึกษาไทยด้านอื่น ดีกว่าคิดมักง่ายใช้เงินประชาชนซื้อคะแนนนิยม ด้วยการแจกแทปเล็ต เด็ก ป.1 ที่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งว่า จะกลายเป็นการทำลายทักษะ และพัฒนาการของเด็กมากกว่า
สำหรับเรื่องราคาไข่ ที่นายอนุสรณ์ บอกว่า ประชาชนในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีปัญหาไข่แพงจนต้องนำไข่ไปชั่งกิโลขายนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า เป็นการพูดแบบไม่มีข้อมูล เพราะยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ไข่ไก่แพงที่สุดอยู่ที่ 5 บาท แต่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์แพงถึงฟองละ 8 บาท และเรื่องไข่ชั่งโล ก็เป็นแค่การเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน ไม่ได้มีการบังคับ ประชาชนสามารถซื้อไข่เป็นฟองได้เหมือนเดิม
แต่ที่สำคัญคือรัฐบาลอภิสิทธิ์ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะในขณะนั้นราคาไข่แพงเนื่องจากมีการควบคุมปริมาณพันธุ์สัตว์ให้น้อยกว่าความต้องการของตลาด จนทำให้ปริมาณผลผลิต กับความต้องการไม่สมดุลกัน ราคาไข่จึงแพง และยังเป็นการกระทำที่น่าจะผิดต่อ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 มาตรา 26 ถึงมาตรา 28 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 51 คือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 84 บัญญัติว่า “รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายเศรษฐกิจ ด้วยการกำกับให้การประกอบกิจการมีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาดตัดตอน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม และคุ้มครองผู้บริโภค
"ผมไม่ทราบว่าคุณอนุสรณ์ และรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ จะศึกษาข้อกฎหมายหรือไม่ว่า สิ่งที่กรมปศุสัตว์ และคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่ และผลิตภัณฑ์ ทำนั้น ต้องบอกว่าไม่มีอำนาจกฎหมายรองรับให้ออกคำสั่งทางปกครอง ในลักษณะที่จำกัดเสรีภาพ กีดกันหรือห้ามเอกชนผู้เลี้ยงไก่รายอื่นๆ นำเข้าแม่พันธุ์ไก่ไข่ เพราะเป็นการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 โดยเรื่องนี้มีเกษตรกรเขาไปฟ้องต่อศาลปกครองด้วย ก่อนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ จะคลายปมปัญหานี้ด้วยการเปิดเสรีพันธุ์สัตว์ ขอเตือนล่วงหน้าว่า ในวันที่ 7 ก.พ.นี้ ที่ รมว.พาณิชย์ บอกว่าจะเสนอให้กลับไปควบคุมปริมาณพันธุ์สัตว์ป้องกันไข่ล้นตลาดนั้น ต้องใช้สติปัญญาคิดอย่างรอบคอบ ไม่เช่นนั้นอาจมีคนต้องติดคุกเพราะทำผิดกฎหมาย ”
นายชวนนท์ กล่าวว่า แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ การดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชน ซึ่งรัฐบาลล้มเหลวโดยสิ้นเชิง โดยดูได้จากราคาไข่ไก่ ที่เกษตรกรอ้างว่าขาดทุน ไข่ราคาตก แต่ทำไมประชาชนยังต้องกินไข่ดาวฟองละ 10 บาท แสดงให้เห็นว่ากลไกตลาดในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีปัญหา ซึ่งต้องแก้ไขให้ตรงจุด ไม่ใช่มองแค่ด้านเดียว ด้วยการเอาใจเกษตรกร แต่ไม่คำนึงถึงผู้บริโภค ในขณะนี้นโยบายรัฐบาลอภิสิทธิ์ส่งผลทำให้ไข่ราคาถูกลงแล้ว แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับไม่สามารถดูแลให้ประชาชนบริโภคไข่ในราคาที่เป็นธรรมได้ ทั้งที่ราคาไข่ลดลงแต่ประชาชนยังต้องกินไข่ในราคาแพง โดยที่นายกฯ ไม่เคยแม้แต่จะไปสำรวจราคาสินค้าด้วยตัวเอง หรือว่าตอนนี้เดินตลาดไม่เป็นแล้ว เพราะไม่ใช่ช่วงหาเสียง ที่สำคัญคือรัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะซ้ำเติมประชาชน ด้วยการให้ชาวบ้านต้องกินไข่ราคาแพงตลอดกาล หากกลับไปใช้นโยบายควบคุมปริมาณพันธุ์สัตว์อีกครั้ง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังแนะนำให้รัฐบาลแก้ปัญหาไข่ไก่ บนหลักการสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรม เกษตรกรอยู่ได้ประชาชนไม่ถูกเอาเปรียบ และต้องปล่อยให้กลไกทางการตลาดทำงาน ซึ่งภาวะไข่ล้นตลาด ที่อ้างกันในขณะนี้นั้น รัฐบาลต้องตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ถ้าจริงทำไมคนยังต้องกินไข่แพง
นอกจากนี้นโยบายเปิดพันธุ์สัตว์เสรี ก็เพิ่งจะส่งผล ดังนั้นจึงต้องให้เวลาในการปรับสมดุล ซึ่งกลไกตลาดจะทำหน้าที่ของมันเอง
ส่วนกรณีที่นายอนุสรณ์ บอกว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ต้องให้ประชาชนเข้าคิวซื้อน้ำมันปาล์มนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า เป็นเพราะรัฐบาลชุดนี้ ได้รับอานิสงส์ จากการแก้ปัญหาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ จนทำให้วันนี้ นอกจากน้ำมันปาล์มไม่ขาดตลาดแล้ว ราคายังเป็นธรรมกับผู้บริโภคด้วย และสาเหตุที่ทำให้น้ำมันปาล์ม ขาดตลาด เป็นเพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ ต้องการดูแลค่าครองชีพประชาชน จึงไม่ยอมให้ผู้ประกอบการขึ้นราคาขวดละ 60-70 บาท ทำให้น้ำมันขาดตลาด และมีราคาสูงอยู่ระยะหนึ่ง เนื่องจากปริมาณการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค เพราะผู้ประกอบการไม่ยอมผลิตน้ำมันออกสู่ตลาด แต่รัฐบาลก็แก้ปัญหาทันที โดยใช้เวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ แม้ว่าประชาชนจะเดือดร้อน แต่ก็เป็นช่วงสั้นๆ โดยสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ทิ้งไว้ให้รัฐบาลชุดนี้คือ การดูแลประชาชนให้ซื้อราคาน้ำมันปาล์มขวดละ 48 บาท ไม่ต้องซื้อน้ำมันแพงถึงขวดละ 70 บาท เพราะหากรัฐบาลในขณะนั้น ยอมให้มีการขึ้นราคาตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการ ปัญหาการขาดตลาดจะไม่เกิดขึ้น แต่เชื่อได้เลยว่า ราคาน้ำมันจะไม่ลดลงมาอยู่ที่ 48 บาท อย่างแน่นอน
"รัฐบาลยิ่งลักษณ์ขาดความเอาใจใส่ต่อประชาชน เพราะ 6 เดือนที่ผ่านมาล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการแก้ปัญหาค่าครองชีพ และยังกำหนดนโยบายพลังงาน ที่ซ้ำเติมคนจนด้วย ทำให้ประชาชนมีรายจ่ายเพิ่มครัวเรือนละ 2 พันบาท ต่อเดือน แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ดูแลประชาชนให้ประหยัดรายจ่ายต่อครัวเรือนเดือนละกว่า 3 พันบาท " นายชวนนท์ กล่าว
ส่วนประเด็นที่ นายอนุสรณ์ อ้างว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตย โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งระบบ ไม่เหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์ แก้ได้แค่ระบบการเลือกตั้ง และมาตรา 190 นั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตย เพราะถ้านายอนุสรณ์ เข้าใจว่าความเป็นประชาธิปไตยว่า วัดกันที่ใครแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้มากกว่ากัน ตนก็เป็นห่วงพรรคเพื่อไทย ที่มีบุคลากรด้อยคุณภาพเช่นนี้ เพราะจะพากันตกต่ำจนฉุดขึ้นจากเหวไม่ได้
ทั้งนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ แก้รัฐธรรมนูญเฉพาะที่จำเป็นในประเด็นเรื่องระบบเลือกตั้ง และ มาตรา 190 เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งล้วนแต่มีหลักคิดที่ส่วนรวมเป็นตัวตั้ง กำหนดประเด็นบอกกับสังคมอย่างชัดเจนว่า ขอบเขตการแก้ไขเป็นอย่างไร ไม่ใช่คิดฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อล้างความผิดให้นายใหญ่เหมือนที่พรรคเพื่อไทย กำลังดำเนินการในขณะนี้ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนั้นก็ไม่มีวาระส่วนตัวใดๆ แอบแฝง ทำให้ไม่เกิดความขัดแย้งในสังคม แตกต่างจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะทำ เพราะเป็นประชาธิปไตยที่มีปลายทางอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น จุดมุ่งหมายที่ประชาชนเขารู้ทันว่า น้องสาวแก้รัฐธรรมนูญเพื่อพี่ชาย กำลังจะเป็นปมขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้นในสังคมไทย อาจถึงขั้นกลายเป็นรัฐธรรมนูญเลือด เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยซ้ำ จึงขอแนะนำให้รัฐบาลเข้าเกียร์ถอยดีกว่า
ส่วนที่นายอนุสรณ์ ภูมิใจว่าเอาชนะยาเสพติดได้ มีคะแนนเหนือกว่าในทุกโพลนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า ต้องดูในระยะยาวยังตัดสินขณะนี้ไม่ได้ แต่ตนจะเปรียบเทียบให้นายอนุสรณ์เห็นว่า แม้แต่การทำสงครามยาเสพติดยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประชาชนชื่นชอบนั้น เมื่อเทียบกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็มีความแตกต่างในทางสถิติการจับกุมอย่างเห็นได้ชัดดังนี้
จากข้อมูล ปปส. การจับกุมยาเสพติด เฉลี่ยต่อปี ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ 7 9,074.39 คดี จำนวนผู้ต้องหา 86,509.94 คน ของกลาง 58,903.20 ก.ก. ขณะที่ยุคอภิสิทธิ์ จำนวนคดี 149,749.60 คดี จำนวนผู้ต้องหา 164,362.80 คน ของกลาง 107,229.32 ก.ก.
นายชวนนท์ กล่าวว่า จากข้อมูลนี้จะเห็นชัดว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ จริงจังกับการแก้ปัญหายาเสพติด และทำอย่างครบวงจร ไม่ใช่หวังสร้างภาพ พาสื่อล้อมปราบ จนเกิดคำถามว่า มีการจัดฉากหรือไม่ ที่สำคัญคือรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่มีนโยบายฆ่าตัดตอน เพื่อความสะใจเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน เพราะรู้ว่าไมใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
" การกวาดล้างเครือข่ายยาเสพติดในเรือนจำ ที่รัฐบาลกำลังตีปี๊บอยู่ตอนนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ทำมานานแล้ว ย้ายนักโทษยาเสพติดไปคุกเขาบิน เราก็ทำ และยังติดตั้งเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ด้วย สถานที่แห่งนี้จึงมีความพร้อมให้รัฐบาลย้ายนักโทษคดียาเสพติดมาอยู่ที่คุกเขาบิน และนายกฯอภิสิทธิ์ ขณะนั้น ทำงานในภาคปฏิบัติ ไม่ใช่มุ่งแต่การสร้างภาพ มีการติดตามประเมินผลด้วยตัวเองทุกเดือน ซึ่งเชื่อว่า คุณยิ่งลักษณ์ ไม่มีทางทำ เพราะหัวใจที่ห่วงใยประชาชน มันต่างกันมาก สิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ทำได้ก็เพียงแค่อ่านตามโพยว่า จะลดยาเสพติด 80 % ภายใน 1 ปี เท่านั้น ที่สำคัญคือ คุณอนุสรณ์ ต้องจำให้ขึ้นใจครับว่า นายตำรวจใหญ่ที่ดูแลปัญหายาเสพติดยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. คนปัจจุบัน ที่พวกท่านยกย่องเชิดชูว่า มีผลงานปราบปรามยาเสพติดนั่นแหละ" นายชวนนท์ กล่าว
นายชวนนท์ ยังกล่าวถึง การใช้งบประมาณปราบปรามยาเสพติดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่มีการจัดงบประมาณไว้ที่ 1,811.23 ล้านบาท แบ่งเป็นงบยาเสพติด 1,735.22 ล้านบาท แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น 76.01 ล้านบาท ซึ่งมีการเบิกจ่ายตามตัวเลขที่สื่อมวลชนนำเสนอไว้ ณ วันที่ 6 ม.ค. 55 ใช้จ่ายงบประมาณไปแล้วในส่วนยาเสพติด 635.29 ล้านบาท และ คอร์รัปชันอีก 27.36 ล้านบาท รวม 2 นโยบาย ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,811.23 ล้านบาท ณ วันที่ 6 ม.ค. 55 มีการเบิกจ่ายงบไปแล้วจำนวน 662.65 ล้านบาท หรือประมาณ 36 % ของงบประมาณที่ตั้งไว้
"ผมยอมรับว่าพวกท่านใช้เงินกันรวดเร็วจริง ๆ 6 เดือนท่านใช้ไปแล้ว 662.65 ล้านบาท ถ้าใช้แก้ปัญหา โดยไม่มีการตกหล่นระหว่างทาง เราไม่ขัดข้อง แต่เราไม่ยอมแน่ถ้าจะมีใครจัดฉากสร้างหนังฆาตกรรม ดึงความสนใจของประชาชน แล้วแอบผลาญงบประมาณของชาติ เรื่องนี้ผมจะเสนอให้กรรมาธิการติดตามงบประมาณไปตรวจสอบให้ ร.ต.อ.เฉลิม แจกแจงรายละเอียด เพื่อให้เกิดความโปร่งใสด้วย เพราะตอนนี้กระทรวงยุติธรรม จะขอเพิ่มอีก 3 พันกว่าล้าน สร้างคุกซุปเปอร์แม็กซ์ ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม ก็จะของบเพิ่มให้ ปปส. การแก้ปัญหาทุกเรื่องของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตั้งต้นจากการใช้เงินก่อนการใช้สติปัญญาในการบริหารทั้งสิ้น ขอย้ำว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีปัญหาหากการใช้จ่ายจะเป็นไปเพื่อประชาชน แต่ไม่ยอมแน่ ถ้าจะมีใครแปรโครงการคุกซุปเปอร์แม๊กซ์ ไปเป็นโครงการซุปเปอร์แด๊ก เพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว" นายชวนนท์ กล่าว
ส่วนที่นายอนุสรณ์ อ้างว่า รัฐบาลยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน ด้วยค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำวันละ 300 บาท เริ่ม 1 เม.ย.นี้นั้น ต้องพูดให้ครบด้วยว่า เป็นการตบตาประชาชน เพราะค่าแรงที่หาเสียงไว้ต้องขึ้นทันทีทั่วประเทศ แต่นี่กลับนำร่องเพียง 7 จังหวัด และกว่าจะขึ้นได้ท่านต้องใช้เวลาถึง 9 เดือน ก็ต้องบอกประชาชนให้ครบด้วยว่าเมื่อขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่ใดแล้ว พื้นที่นั้นจะไม่มีการปรับค่าแรงในอีก 2 ปีข้างหน้า และนโยบายนี้ ก็ทำให้เอกชนหลายบริษัทย้ายฐานการผลิตออกจากไทยไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้จบปริญญาตรี มีรายได้เดือนละ 15,000 บาท นั้น ก็สร้างความเหลื่อมล้ำให้กับข้าราชการผู้ที่จบสายวิชาชีพ และยังไม่ครอบคลุมถึงวิชาชีพอื่น นอกจากข้าราชการ ทั้งที่ในช่วงหาเสียงระบุว่า รวมเอกชนด้วย ที่สำคัญคือ ค่าครองชีพจะพุ่งสูงขึ้นอีก แม่ค้าเขาไม่ดูนะครับว่า จะขายของให้พนักงานเอกชนถูกกว่าข้าราชการ เพราะยังไม่ได้รับการปรับอัตราเงินเดือน ตามที่รัฐบาลเคยหาเสียงไว้ คนรับเคราะห์ก็คือประชาชนอีกเช่นเดียวกัน
นายชวนนท์ กล่าวถึงกรณีที่ นายอนุสรณ์ อ้างว่า ชาวนารวยขึ้น ด้วยนโยบายจำนำข้าวนั้น ถือเป็นการโกหกประชาชน ทั้งๆ ที่ขณะนี้มีปริมาณข้าวในโครงการเพียง 8 ล้านตัน จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 25 ล้านตัน โดยที่เกษตรกรไม่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะถูกกดราคา มีปัญหาการสวมสิทธิ์ ทุจริตกันทุกขั้นตอน นอกจากนี้นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังทำลายอนาคตการส่งออกข้าวไทยอย่างรุนแรง โดยเห็นได้จากสถิติการส่งออกเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้เพียง 3.5 แสนตัน ต่างจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วที่ส่งได้ถึง 7.3 แสนตัน ลดลงถึง 52 % เนื่องจากรัฐบาลกำหนดราคารับจำนำที่สูงกว่าราคาตลาด หากยังไม่ทบทวนนโยบาย ก็จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงตามมาแน่นอน นอกจากนี้นโยบายจำนำข้าว ยังส่งผลให้ราคาข้าวถุงแพงขึ้นอีก 10 % ด้วย และคนซวยก็คือ ประชาชนอีกเช่นเคย
สำหรับกองทุนพัฒนาสตรี จังหวัดละ 100 ล้านบาท และยกระดับการแข่งขัน และเสริมศักยภาพชุมชน ด้วยกองทุน SML นั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะจับตาอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอย กองทุนหมู่บ้าน ที่นอกจากไม่ได้ทำให้หมู่บ้านพัฒนาขึ้นแล้ว ยังสร้างหนี้ให้กับประชาชนในหมู้บ้านด้วย และต้องดูด้วยว่า จะมีการเลือกปฏิบัติ จัดสรรให้พรรคพวกตัวเองก่อนหรือไม่
นายชวนนท์ ยังแสดงความประหลาดใจที่ นายอนุสรณ์ นำเรื่องสร้างรถไฟความเร็วสูง ถึงเมืองจีน มาเป็นผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งๆ ที่เป็นโครงการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ปูทางไว้รัฐบาลชุดนี้เพียงแค่มาสานต่อเท่านั้น และประเด็นที่นายอนุสรณ์ บอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ สามารถสร้างความเชื่อมั่น ผลักดันให้เห็นอนาคตกับยุทธศาสตร์ป้องกันน้ำท่วมบนเวทีดาวอสนั้น ก็เป็นการโกหกทั้งประชาชน และตัวเอง เพราะเอกชนหลายราย มีการย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปแล้ว และนายกรัฐมนตรีก็ยอมรับด้วยว่าขณะนี้มีเอกชนร้อยละ 50 ที่อาจย้ายฐานการผลิตออกจากไทยเพิ่มอีก
นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์น้ำท่วม ก็ขาดความชัดเจน จนกรรมการกยน.หลายคนทนไม่ได้ ต้องออกมาพูดให้สังคมรับรู้ว่า รัฐบาลคิดแต่จะใช้เงิน โดยไม่มีแผนเป็นรูปธรรม ซึ่งจะทำให้ประชาชนเสี่ยงกับภาวะน้ำท่วมซ้ำรอยปีที่แล้ว ทั้ง ๆ ที่ประชาชนอีกจำนวนมาก ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา 5 พันบาท จากปัญหาอุทกภัยในปี 2554 ด้วยซ้ำ
นายชวนนท์ กล่าวว่า จากข้อมูลปัจจุบันพบว่า มีผู้ประสบอุทกภัย 5 แสนครัวเรือน ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา 5 พันบาท รัฐบาลจึงควรเร่งรัดดำเนินการในเรื่องนี้ พร้อมกับแสดงความแปลกใจที่การประชุมครม.ที่บ้านพิษณุโลก เพื่อพิจารณาแผนบริหารจัดการน้ำ และการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี กลับมีแต่รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยไม่มี รมว.เกษตรฯ ซึ่งคุมกรมชลประทาน ที่เป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการน้ำ โดยเป็นห่วงว่า หากกรมชลประทานไม่มีส่วนร่วมในการพิจารณาแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลจะทำให้เกิดปัญหาตามมา และแสดงความไม่เห็นด้วยที่ทัวร์นกแก้วของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเอาแผนใหญ่จากส่วนกลางครอบจังหวัดให้ต้องปฏิบัติตาม โดยเปรียบเทียบว่า รัฐบาลนี้ทำให้ประชาชนมีค่าไม่แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงในกรงของรัฐบาล เพราะคิดแผนโดยคนไม่กี่คน แล้วเอาแผนดังกล่าวไปครอบในพื้นที่ ถือเป็นการบริหารผิดทางคือทำจากบนลงล่าง ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในการพิจารณาโครงการ เท่ากับบริหารงานแบบเผด็จการ คิดแต่ถลุงเงินไม่คิดถึงผลกระทบสังคม สิ่งแวดล้อม และขอท้าให้รัฐบาลกู้เงินตาม พ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ทันที หากเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนจริง เนื่องจากการยื่นตีความไม่ได้มีผลกระทบต่อการบังคับใช้ของกฎหมาย ทั้งนี้เห็นว่า การที่รัฐบาลไม่กล้ากู้ เพราะรู้ดีว่า พ.ร.ก.ดังกล่าว เสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่นายอนุสรณ์ อ้างว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างไม่แตกแยก ไม่เข่นฆ่าไม่สังหารหมู่ประชาชนนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า เป็นการโกหกประชาชนซ้ำซาก เพราะรัฐบาลชุดนี้สนับสนุนผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง ทำลายความมั่นคงของชาติ และยังคิดเอาเงินภาษีประชาชนไปแจกให้กองกำลังของตัวเองรายละ 7.75 ล้านบาท เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยพรรคเพื่อไทยล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยวิธีการนอกรัฐธรรมนูญด้วย
"คนไทยเขาไม่ยอมหรอกครับ เพราะภาพมันติดตาว่า มีกองกำลังในกลุ่มผู้ชุมนุมใช้อาวุธโจมตีทำร้ายทหาร และประชาชนผู้บริสุทธิ์ มีการละเมิดสิทธิประชาชนจำนวนมาก และทำลายเศรษฐกิจของประเทศ จนเกือบจะพังพินาศ ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องเข้าควบคุมสถานการณ์ คืนความสงบให้บ้านเมือง ดำเนินการทุกอย่างตามหลักสากล เพราะถ้าหากมีการสังหารหมู่เกิดขึ้นจริง ป่านนี้ต่างประเทศคงเข้ามาแทรกแซงประเทศไทยตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พรรคเพื่อไทย ต้องการไปแล้ว แต่เป็นเพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ พยายามอย่างที่สุดที่จะจำกัดความสูญเสียจนต่างชาติเขารับรู้ข้อเท็จจริง แตกต่างจากคนบางกลุ่มที่ทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มความตายหาประโยชน์จากซากศพของคนไทย ถ้าคุณอนุสรณ์ รังเกียจการสังหารหมู่ประชาชน ขอแนะนำให้ท่านเสนอนายกรัฐมนตรี ให้ปลด คุณนลินี ก่อนเป็นอันดับแรก คุณอภิสิทธิ์ เดินทางไปไนในโลกใบนี้ได้อย่างเสรี ใช้บัตรเครดิตได้ทั่วโลก แต่คุณนลินี ไปสหรัฐฯ ต้องมีเจ้ามือตลอด เพราะใช้เงินและบัตรเครดิตไม่ได้" นายชวนนท์ กล่าว