xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.ร่ายโต้ “ดีเจแดง” หยันทำทีมโฆษกรัฐไร้สติ เย้ยหลายโครงการสานต่อผลงาน “มาร์ค”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (แฟ้มภาพ)
“ชวนนท์” ซัด “อนุสรณ์” กล่าวหารัฐ “มาร์ค” ไร้ข้อมูล หยันทีมโฆษกขาดสติปัญญา พร้อมโต้ข้อกล่าวหา 15 ข้อ แนะสานต่อ 56 จว.เขต ศก.พิเศษด้วย ซัดรัฐดูแลค่าครองชีพล้มเหลว โอ่จับยาได้มากกว่ายุค “แม้ว” อีก ฉะขึ้นค่าแรงแค่ตบตาประชาชน ลั่นไม่ยอมแปรคุกเป็นโครงการซูเปอร์แด๊ก ซัดพล่ามมั่วผลงาน ยันรถไฟความเร็วสูงโครงการเก่า งง นายกฯ เรียกถก รมต.จัดการน้ำไร้เงาพรรคอื่น


วันนี้ (5 ก.พ.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอบโต้ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกรัฐบาล ที่ออกมาเชิดชู รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ เหนือกว่ารัฐบาล อภิสิทธิ์ ทุกด้าน 15 เรื่อง ว่า ไม่สามารถชี้แจงประเด็นที่ตนจับโกหกนายกรัฐมนตรี 9 เรื่อง แม้แต่ประเด็นเดียว แต่ใช้วิธีกล่าวหารัฐบาล อภิสิทธิ์ โดยปราศจากข้อมูล จึงน่าเป็นห่วงความมั่นคงของรัฐบาลที่มีทีมโฆษกรัฐบาลขาดสติปัญญาในการเสาะหาข้อมูล เพราะทั้ง 15 ประเด็น ตนสามารถตีตกได้ทุกเรื่องด้วยข้อมูล ไม่ใช่การโกหกประชาชน และอยากให้ทีมโฆษกของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย ใช้วิธีการเดียวกันเพื่อยกระดับมาตรฐานการเมืองด้วย

นายชวนนท์ กล่าวถึงกรณีที่ นายอนุสรณ์ ระบุ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ เข้าสู่อำนาจอย่างสง่างาม ไม่ได้ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ว่า ตนไม่เห็นว่า รัฐบาล อภิสิทธิ์ จะมีความแตกต่างจากรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ เพราะทั้งคู่ต่างก็ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ที่สำคัญคือ พรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นลูกผู้ชายไม่เสนอชื่อนายกฯแข่งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะเคารพเสียงประชาชน แต่พรรคเพื่อไทยกลับแร้นแค้นบุคลากรที่จะชิงชัยในสภากับ นายอภิสิทธิ์ และกระหายอำนาจจนยอมทำทุกอย่างเพื่อคงความเป็นรัฐบาลเอาไว้ ยอมแม้กระทั่งยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้พรรคเล็กอย่างพรรคเพื่อแผ่นดิน ด้วยการเสนอชื่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน แต่ก็พ่ายแพ้ในสภา

ส่วนที่ อ้างว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่กระทบกับเพื่อนบ้าน เลิกรบกับกัมพูชา เปิดชายแดนแม่สอดกับพม่านั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า ตนก็ขอยืนยันว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่เคยทำให้สนามการค้าเป็นสนามรบ มีแต่รักษาผลประโยชน์และอธิปไตยของชาติอย่างเต็มที่ ด้วยการต่อสู้กับกัมพูชาโดยไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างเพื่อรักษาประโยชน์ชาติ ทั้งเวทีกรรมการมรดกโลก เจบีซี และในศาลโลก ซึ่งตรงกันข้ามกับรัฐบาลชุดนี้ที่ยอมกัมพูชาทุกเรื่อง ไม่กล้าแม้แต่จะประท้วงการกระทำของกัมพูชาที่สุ่มเสียงต่อการละเมิดอธิปไตยของไทย

สำหรับกรณีเปิดด่านแม่สอดนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า สะท้อนว่า นายอนุสรณ์ ไม่ทำการบ้าน ทำให้ไม่รู้ว่าการปิดด่านไม่ได้เกิดจากปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่เป็นปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อย ซึ่งในช่วงปลายรัฐบาล อภิสิทธิ์ ทางการพม่าก็ส่งสัญญาณมาแล้วว่า เริ่มมีความพร้อมที่จะกลับมาเปิดด่าน หลังเหตุการณ์ภายในประเทศเขาสงบ นอกจากนี้ ในช่วงที่มีการปิดด่านชาวบ้านสองประเทศก็ยังติดต่อกันได้ตามปกติโดยสัญจรทางเรือ

“ถ้า คุณอนุสรณ์ จะช่วยหาข้อมูลเพิ่มพูนสติปัญญาของตัวเองให้มากกว่านี้ ก็จะทราบว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ ยังเตรียมที่จะผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ท้องถิ่นพิเศษ “นครแม่สอด” และเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด เรื่องเดียวกับที่ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ กำลังตีกินว่า เป็นผลงานรัฐบาลชุดนี้ ทั้งๆ ที่รัฐบาล อภิสิทธิ์ ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้มาสานต่อเท่านั้นเอง แต่เราก็ดีใจที่พวกท่านจะเดินตามแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์วางไว้ เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ประโยขน์ และฝากสานต่อนโยบายรัฐบาล อภิสิทธิ์ ที่จะผลักดันอีก 56 จังหวัด เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษด้วย ซึ่งคุณยิ่งลักษณ์ไม่ต้องยุ่งยากอ่านโพย แค่ทำตามสิ่งคุณอภิสิทธิ์ ปูทางไว้ให้ก็พอแล้ว หวังว่า คงไม่ยุ่งยากเกินกว่าสติปัญญาของคุณยิ่งลักษณ์นะครับ” นายชวนนท์ กล่าว

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายอนุสรณ์ ภาคภูมิใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยกระดับการศึกษาของเด็กไทยให้ก้าวไกลสู่สากลโดยทำให้เด็กไทยเข้าถึงแท็บเล็ต ว่า ยิ่งทำให้ตนรู้สึกเศร้าใจกับประเทศไทยอย่างมาก ที่มีผู้บริหารแบบนี้ เพราะนโยบายดังกล่าวถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าอาจมีการทุจริตและนำแท็บเล็ตด้อยคุณภาพไปแจกเด็ก ป.1 ส่งผลต่อกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก และยังอาจทำให้เด็ก ป.1 มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยตามมาด้วย โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ยังยอมรับว่าเป็นนโยบายที่มีปัญหาทำให้ต้องมีการประเมินหลังแจกล็อตแรกก่อนว่ามีผลอย่างไร ซึ่งผลกระทบจากนโยบายนี้ที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ เปลืองงบประมาณที่ควรนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาระบบการศึกษาไทยด้านอื่น ดีกว่าคิดมักง่ายใช้เงินประชาชนซื้อคะแนนนิยมด้วยการแจกแทปเล็ตเด็ก ป.1 ที่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งว่าจะกลายเป็นการทำลายทักษะและพัฒนาการของเด็กมากกว่า

สำหรับเรื่องราคาไข่ที่ นายอนุสรณ์ บอกว่า ประชาชนในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีปัญหาไข่แพงจนต้องนำไข่ไปชั่งกิโลขายนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า เป็นการพูดแบบไม่มีข้อมูล เพราะยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ไข่ไก่แพงที่สุดอยู่ที่ 5 บาท แต่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์แพงถึงฟองละ 8 บาท และเรื่องไข่ชั่งโลก็เป็นแค่การเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน ไม่ได้มีการบังคับ ประชาชนสามารถซื้อไข่เป็นฟองได้เหมือนเดิม แต่ที่สำคัญคือรัฐบาลอภิสิทธิ์ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุเพราะในขณะนั้นราคาไข่แพงเนื่องจากมีการควบคุมปริมาณพันธุ์สัตว์ให้น้อยกว่าความต้องการของตลาด จนทำให้ปริมาณผลผลิตกับความต้องการไม่สมดุลย์กันราคาไข่จึงแพง และยังเป็นการกระทำที่น่าจะผิดต่อ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 มาตรา 26 ถึงมาตรา 28 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 51 คือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 84 บัญญัติว่า “รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายเศรษฐกิจ ด้วยการกำกับให้การประกอบกิจการมีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาดตัดตอน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม และคุ้มครองผู้บริโภค

“ผมไม่ทราบว่า คุณอนุสรณ์ และรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ จะศึกษาข้อกฎหมายหรือไม่ว่า สิ่งที่กรมปศุสัตว์ และคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ ทำนั้น ต้องบอกว่าไม่มีอำนาจกฎหมายรองรับให้ออกคำสั่งทางปกครอง ในลักษณะที่จำกัดเสรีภาพ กีดกันหรือห้ามเอกชนผู้เลี้ยงไก่รายอื่นๆ นำเข้าแม่พันธุ์ไก่ไข่ เพราะเป็นการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 84 โดยเรื่องนี้มีเกษตรกรเขาไปฟ้องต่อศาลปกครองด้วย ก่อนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ จะคลายปมปัญหานี้ด้วยการเปิดเสรีพันธุ์สัตว์ ขอเตือนล่วงหน้าว่า ในวันที่ 7 ก.พ.นี้ ที่ รมว.พาณิชย์ บอกว่าจะเสนอให้กลับไปควบคุมปริมาณพันธุ์สัตว์ป้องกันไข่ล้นตลาดนั้น ต้องใช้สติปัญญาคิดอย่างรอบคอบ ไม่เช่นนั้นอาจมีคนต้องติดคุกเพราะทำผิดกฎหมาย”นายชวนนท์ กล่าว

นายชวนนท์ กล่าวว่า แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ การดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชนซึ่งรัฐบาลล้มเหลวโดยสิ้นเชิง โดยดูได้จากราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรอ้างว่าขาดทุนไข่ราคาตก แต่ทำไมประชาชนยังต้องกินไข่ดาวฟองละ 10 บาท แสดงให้เห็นว่ากลไกตลาดในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์มีปัญหา ซึ่งต้องแก้ไขให้ตรงจุด ไม่ใช่มองแค่ด้านเดียวด้วยการเอาใจเกษตรกรแต่ไม่คำนึงถึงผู้บริโภค ในขณะนี้นโยบายรัฐบาลอภิสิทธิ์ส่งผลทำให้ไข่ราคาถูกลงแล้ว แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับไม่สามารถดูแลให้ประชาชนบริโภคไข่ในราคาที่เป็นธรรมได้ ทั้งที่ราคาไข่ลดลงแต่ประชาชนยังต้องกินไข่ในราคาแพง โดยที่นายกฯไม่เคยแม้แต่จะไปสำรวจราคาสินค้าด้วยตัวเอง หรือว่าตอนนี้เดินตลาดไม่เป็นแล้วเพราะไม่ใช่ช่วงหาเสียง ที่สำคัญคือรัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะซ้ำเติมประชาชนด้วยการให้ชาวบ้านต้องกินไข่ราคาแพงตลอดกาล หากกลับไปใช้นโยบายควบคุมปริมาณพันธุ์สัตว์อีกครั้ง

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังแนะนำให้รัฐบาลแก้ปัญหาไข่ไก่บนหลักการสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรม เกษตรกรอยู่ได้ประชาชนไม่ถูกเอาเปรียบ และต้องปล่อยให้กลไกทางการตลาดทำงาน ซึ่งภาวะไข่ล้นตลาดที่อ้างกันในขณะนี้นั้นรัฐบาลต้องตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ถ้าจริงทำไมคนยังต้องกินไข่แพง นอกจากนี้นโยบายเปิดพันธุ์สัตว์เสรีก็เพิ่งจะส่งผลดังนั้นจึงต้องให้เวลาในการปรับสมดุลย์ ซึ่งกลไกตลาดจะทำหน้าที่ของมันเอง

ส่วนกรณีที่ นายอนุสรณ์ ระบุรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ต้องให้ประชาชนเข้าคิวซื้อน้ำมันปาล์มนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า เป็นเพราะรัฐบาลชุดนี้ได้รับอานิสงห์จากการแก้ปัญหาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ จนทำให้วันนี้นอกจากน้ำมันปาล์มไม่ขาดตลาดแล้ว ราคายังเป็นธรรมกับผู้บริโภคด้วย และสาเหตุที่ทำให้น้ำมันปาล์มขาดตลาดว่าเป็นเพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องการดูแลค่าครองชีพประชาชน จึงไม่ยอมให้ผู้ประกอบการขึ้นราคาขวดละ 60-70 บาท ทำให้น้ำมันขาดตลาดและมีราคาสูงอยู่ระยะหนึ่ง เนื่องจากปริมาณการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค เพราะผู้ประกอบการไม่ยอมผลิตน้ำมันออกสู่ตลาด แต่รัฐบาลก็แก้ปัญหาทันทีโดยใช้เวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ แม้ว่าประชาชนจะเดือดร้อนแต่ก็เป็นช่วงสั้นๆ โดยสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ทิ้งไว้ให้รัฐบาลชุดนี้ คือ การดูแลประชาชนให้ซื้อราคาน้ำมันปาล์มขวดละ 48 บาท ไม่ต้องซื้อน้ำมันแพงถึงขวดละ 70 บาท เพราะหากรัฐบาลในขณะนั้นยอมให้มีการขึ้นราคาตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการ ปัญหาการขาดตลาดจะไม่เกิดขึ้น แต่เชื่อได้เลยว่าราคาน้ำมันจะไม่ลดลงมาอยู่ที่ 48 บาทอย่างแน่นอน

“รัฐบาลยิ่งลักษณ์ขาดความเอาใจใส่ต่อประชาชน เพราะ 6 เดือนที่ผ่านมาล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการแก้ปัญหาค่าครองชีพ และยังกำหนดนโยบายพลังงานที่ซ้ำเติมคนจนด้วย ทำให้ประชาชนมีรายจ่ายเพิ่มครัวเรือนละ 2 พันบาทต่อเดือน แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดูแลประชาชนให้ประหยัดรายจ่ายต่อครัวเรือนเดือนละกว่า 3 พันบาท” นายชวนนท์ กล่าว

ส่วนประเด็นที่นายอนุสรณ์อ้าง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งระบบไม่เหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์แก้ได้แค่ระบบการเลือกตั้ง และมาตรา 190 นั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตย เพราะถ้านายอนุสรณ์เข้าใจว่าความเป็นประชาธิปไตยว่า วัดกันที่ใครแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้มากกว่ากัน ตนก็เป็นห่วงพรรคเพื่อไทย ที่มีบุคลากรด้อยคุณภาพเช่นนี้ เพราะจะพากันตกต่ำจนฉุดขึ้นจากเหวไม่ได้ ทั้งนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์แก้รัฐธรรมนูญเฉพาะที่จำเป็นในประเด็นเรื่องระบบเลือกตั้ง และ มาตรา 190 เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งล้วนแต่มีหลักคิดที่ส่วนรวมเป็นตัวตั้ง กำหนดประเด็นบอกกับสังคมอย่างชัดเจนว่าขอบเขตการแก้ไขเป็นอย่างไร ไม่ใช่คิดฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเพื่อล้างความผิดให้นายใหญ่เหมือนที่พรรคเพื่อไทยกำลังดำเนินการในขณะนี้ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนั้นก็ไม่มีวาระส่วนตัวใด ๆ แอบแฝงทำให้ไม่เกิดความขัดแย้งในสังคม แตกต่างจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะทำ เพราะเป็นประชาธิปไตยที่มีปลายทางอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น จุดมุ่งหมายที่ประชาชนเขารู้ทันว่าน้องสาวแก้รัฐธรรมนูญเพื่อพี่ชายกำลังจะเป็นปมขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้นในสังคมไทย อาจถึงขั้นกลายเป็นรัฐธรรมนูญเลือดเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยซ้ำ จึงขอแนะนำให้รัฐบาลเข้าเกียร์ถอยดีกว่า

ส่วนที่ นายอนุสรณ์ ภูมิใจว่า เอาชนะยาเสพติดได้มีคะแนนเหนือกว่าในทุกโพลนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า ต้องดูในระยะยาวยังตัดสินขณะนี้ไม่ได้ แต่ตนจะเปรียบเทียบให้นายอนุสรณ์เห็นว่าแม้แต่การทำสงครามยาเสพติดยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประชาชนชื่นชอบนั้นเมื่อเทียบกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มีความแตกต่างในทางสถิติการจับกุมอย่างเห็นได้ชัดดังนี้ โดยจากข้อมูล ป.ป.ส.การจับกุมยาเสพติด เฉลี่ยต่อปี ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ 79,074.39 คดี จำนวนผู้ต้องหา 86,509.94 คน ของกลาง 58,903.20 กก.ขณะที่ ยุคอภิสิทธิ์ จำนวนคดี 149,749.60 คดี จำนวนผู้ต้องหา 164,362.80 คน ของกลาง 107,229.32 กก.

นายชวนนท์ กล่าวว่า จากข้อมูลนี้จะเห็นชัดว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์จริงจังกับการแก้ปัญหายาเสพติดและทำอย่างครบวงจรไม่ใช่หวังสร้างภาพพาสื่อล้อมปราบ จนเกิดคำถามว่ามีการจัดฉากหรือไม่ ที่สำคัญคือรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่มีนโยบายฆ่าตัดตอนเพื่อความสะใจเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน เพราะรู้ว่าไมใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน

“การกวาดล้างเครือข่ายยาเสพติดในเรือนจำที่รัฐบาลกำลังตีปี๊บอยู่ตอนนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ทำมานานแล้ว ย้ายนักโทษยาเสพติดไปคุกเขาบินเราก็ทำ และยังติดตั้งเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ด้วย สถานที่แห่งนี้จึงมีความพร้อมให้รัฐบาลย้ายนักโทษคดียาเสพติดมาอยู่ที่คุกเขาบิน และนายกฯอภิสิทธิ์ ขณะนั้น ทำงานในภาคปฏิบัติ ไม่ใช่มุ่งแต่การสร้างภาพ มีการติดตามประเมินผลด้วยตัวเองทุกเดือน ซึ่งเชื่อว่า คุณยิ่งลักษณ์ไม่มีทางทำ เพราะหัวใจที่ห่วงใยประขาชนมันต่างกันมาก สิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ทำได้ก็เพียงแค่อ่านตามโพยว่าจะลดยาเสพติด 80 % ภายใน 1 ปีเท่านั้น ที่สำคัญคือ คุณอนุสรณ์ ต้องจำให้ขึ้นใจครับว่า นายตำรวจใหญ่ที่ดูแลปัญหายาเสพติดยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.คนปัจจุบันที่พวกท่านยกย่องเชิดชูว่ามีผลงานปราบปรามยาเสพติดนั่นแหละ” นายชวนนท์ กล่าว

นายชวนนท์ ยังกล่าวถึงการใช้งบประมาณปราบปรามยาเสพติดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีที่มีการจัดงบประมาณไว้ที่ 1,811.23 ล้านบาท แบ่งเป็นงบยาเสพติด 1,735.22 ล้านบาท แก้ปัญหาคอร์รัปชัน 76.01 ล้านบาท ซึ่งมีการเบิกจ่ายตามตัวเลขที่สื่อมวลชนนำเสนอไว้ ณ วันที่ 6 ม.ค.2555 ใช้จ่ายงบประมาณไปแล้วในส่วนยาเสพติด 635.29 ล้านบาท และ คอร์รัปชันอีก 27.36 ล้านบาท รวม 2 นโยบายใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,811.23 ล้านบาท ณ วันที่ 6 ม.ค. 2555 มีการเบิกจ่ายงบไปแล้วจำนวน 662.65 ล้านบาท หรือประมาณ 36% ของงบประมาณที่ตั้งไว้

“ผมยอมรับว่า พวกท่านใช้เงินกันรวดเร็วจริงๆ 6 เดือน ท่านใช้ไปแล้ว 662.65 ล้านบาท ถ้าใช้แก้ปัญโดยไม่มีการตกหล่นระหว่างทางเราไม่ขัดข้อง แต่เราไม่ยอมแน่ถ้าจะมีใครจัดฉากสร้างหนังฆาตกรรมดึงความสนใจของประชาชนแล้วแอบผลาญงบประมาณของชาติ เรื่องนี้ผมจะเสนอให้กรรมาธิการติดตามงบประมาณไปตรวจสอบให้ ร.ต.อ.เฉลิม แจกแจงรายละเอียดเพื่อให้เกิดความโปร่งใสด้วย เพราะตอนนี้กระทรวงยุติธรรมจะขอเพิ่มอีก 3 พันกว่าล้านสร้างคุกซูเปอร์แม็กซ์ ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม ก็จะของบเพิ่มให้ ป.ป.ส.การแก้ปัญหาทุกเรื่องของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ตั้งต้นจากการใช้เงินก่อนการใช้สติปัญญาในการบริหารทั้งสิ้น ขอย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหาหากการใช้จ่ายจะเป็นไปเพื่อประชาชน แต่ไม่ยอมแน่ถ้าจะมีใครแปรโครงการคุกซูเปอร์แม็กซ์ไปเป็นโครงการซูเปอร์แด๊กเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว” นายชวนนท์ กล่าว

ส่วนที่ นายอนุสรณ์ อ้างว่า รัฐบาลยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงานด้วยค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำวันละ 300 บาท เริ่ม 1 เมษายน นี้นั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า ต้องพูดให้ครบด้วยว่า เป็นการตบตาประชาชนเพราะค่าแรงที่หาเสียงไว้ต้องขึ้นทันทีทั่วประเทศ แต่นี่กลับนำร่องเพียง 7 จังหวัด และกว่าจะขึ้นได้ท่านต้องใช้เวลาถึง 9 เดือน ก็ต้องบอกประชาชนให้ครบด้วยว่าเมื่อขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่ใดแล้ว พื้นที่นั้นจะไม่มีการปรับค่าแรงในอีก 2 ปีข้างหน้า และนโยบายนี้ก็ทำให้เอกชนหลายบริษัทย้ายฐานการผลิตออกจากไทยไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้จบปริญญาตรีมีรายได้เดือนละ 15,000 บาท นั้นก็สร้างความเหลื่อมล้ำให้กับข้าราชการผู้ที่จบสายวิชาชีพ และยังไม่ครอบคลุมถึงวิชาชีพอื่นนอกจากข้าราชการ ทั้งที่ในช่วงหาเสียงระบุว่ารวมเอกชนด้วย ที่สำคัญคือ ค่าครองชีพจะพุ่งสูงขึ้นอีก แม่ค้าเขาไม่ดูนะครับว่าจะขายของให้พนักงานเอกชนถูกกว่าข้าราชการ เพราะยังไม่ได้รับการปรับอัตราเงินเดือน ตามที่รัฐบาลเคยหาเสียงไว้ คนรับเคราะห์ก็คือประชาชนอีกเช่นเดียวกัน

นายชวนนท์ กล่าวถึงกรณีที่ นายอนุสรณ์ อ้าง ชาวนารวยขึ้นด้วยนโยบายจำนำข้าว ว่า ถือเป็นการโกหกประชาชน ทั้งๆ ที่ขณะนี้มีปริมาณข้าวในโครงการเพียง 8 ล้านตันจากที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 25 ล้านตัน โดยที่เกษตรกรไม่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริงเพราะถูกกดราคา มีปัญหาการสวมสิทธิ์ ทุจริตกันทุกขั้นตอน นอกจากนี้นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังทำลายอนาคตการส่งออกข้าวไทยอย่างรุนแรง โดยเห็นได้จากสถิติการส่งออกเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่ส่งออกได้เพียง 3.5 แสนตัน ต่างจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วที่ส่งได้ถึง 7.3 แสนตันลดลงถึง 52% เนื่องจากรัฐบาลกำหนดราคารับจำนำที่สูงกว่าราคาตลาด หากยังไม่ทบทวนนโยบายก็จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงตามมาแน่นอน นอกจากนี้นโยบายจำนำข้าวยังส่งผลให้ราคาข้าวถุงแพงขึ้นอีก 10 % ด้วย และคนซวย ก็คือ ประชาชนอีกเช่นเคย

สำหรับกองทุนพัฒนาสตรีจังหวัดละ 100 ล้านบาท และยกระดับการแข่งขันและเสริมศักยภาพชุมชน ด้วยกองทุน SML นั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ก็จะจับตาอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอย กองทุนหมู่บ้าน ที่นอกจากไม่ได้ทำให้หมู่บ้านพัฒนาขึ้นแล้วยังสร้างหนี้ให้กับประชาชนในหมู้บ้านด้วย และต้องดูด้วยว่าจะมีการเลือกปฏิบัติจัดสรรให้พรรคพวกตัวเองก่อนหรือไม่

นายชวนนท์ ยังแสดงความประหลาดใจที่ นายอนุสรณ์ นำเรื่องสร้างรถไฟความเร็วสูงถึงเมืองจีนมาเป็นผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งๆ ที่เป็นโครงการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปูทางไว้รัฐบาลชุดนี้เพียงแค่มาสานต่อเท่านั้น และประเด็นที่นายอนุสรณ์ บอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ สามารถสร้างความเชื่อมั่นผลักดันให้เห็นอนาคตกับยุทธศาสตร์ป้องกันน้ำท่วมบนเวทีดาวอสนั้นก็เป็นการโกหกทั้งประชาชนและตัวเอง เพราะเอกชนหลายรายมีการย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปแล้ว และนายกรัฐมนตรีก็ยอมรับด้วยว่าขณะนี้มีเอกชนร้อยละ 50 ที่อาจย้ายฐานการผลิตออกจากไทยเพิ่มอีก นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์น้ำท่วมก็ขาดความชัดเจน จนกรรมการ กยน.หลายคนทนไม่ได้ต้องออกมาพูดให้สังคมรับรู้ว่า รัฐบาลคิดแต่จะใช้เงินโดยไม่มีแผนเป็นรูปธรรมซึ่งจะทำให้ประชาชนเสี่ยงกับภาวะน้ำท่วมซ้ำรอยปีที่แล้ว ทั้ง ๆ ที่ประชาชนอีกจำนวนมากยังไม่ได้รับเงินเยียวยา 5 พันบาทจากปัญหาอุทกภัยในปี 2554 ด้วยซ้ำ

นายชวนนท์ กล่าวว่า จากข้อมูลปัจจุบันพบว่า มีผู้ประสบอุทกภัย 5 แสนครัวเรือน ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา 5 พันบาท รัฐบาลจึงควรเร่งรัดดำเนินการในเรื่องนี้ พร้อมกับแสดงความแปลกใจที่การประชุมครม.ที่บ้านพิษณุโลก เพื่อพิจารณาแผนบริหารจัดการน้ำและการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีกลับมีแต่รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ไม่มี รมว.เกษตรฯ ซึ่งคุมกรมชลประทานที่เป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการน้ำ โดยเป็นห่วงว่า หากกรมชลประทานไม่มีส่วนร่วมในการพิจารณาแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลจะทำให้เกิดปัญหาตามมา และแสดงความไม่เห็นด้วยที่ทัวร์นกแก้วของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเอาแผนใหญ่จากส่วนกลางครอบจังหวัดให้ต้องปฏิบัติตาม โดยเปรียบเทียบว่ารัฐบาลนี้ทำให้ประชาชนมีค่าไม่แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงในกรงของรัฐบาล เพราะคิดแผนโดยคนไม่กี่คน แล้วเอาแผนดังกล่าวไปครอบในพื้นที่ ถือเป็นการบริหารผิดทาง คือ ทำจากบนลงล่างไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในการพิจารณาโครงการ เท่ากับบริหารงานแบบเผด็จการ คิดแต่ถลุงเงินไม่คิดถึงผลกระทบสังคม สิ่งแวดล้อม และขอท้าให้รัฐบาลกู้เงินตาม พ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาททันที หากเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนจริง เนื่องจากการยื่นตีความไม่ได้มีผลกระทบต่อการบังคับใช้ของกฎหมาย ทั้งนี้ เห็นว่า การที่รัฐบาลไม่กล้ากู้เพราะรู้ดีว่า พ.ร.ก.ดังกล่าวเสี่ยงต่อการ
กำลังโหลดความคิดเห็น