ASTVผู้จัดการรายวัน- วุฒิฯ เรียงหน้าค้านเยียวยาแดงเผาเมืองแบบเว่อร์ จี้ครม.ทบทวนใหม่ ซัดมติบ้าระห่ำ หวั่นขยายความขัดแย้งเพิ่มขึ้น เชื่อใช้ 2 พันล้านบาท ไม่โปร่งใส เอาภาษีชาวบ้านไปผลาญเล่น ระวังคนเผาบ้านนายกฯหวังรวยทางลัด ด้านปชป. ยื่นศาลปกครอง สั่งยกเลิกมติ ครม.อัปยศ พร้อมเอาผิดอาญาทั้งครม. ตามมาตรา 157
ในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวานนี้ (16 ม.ค.) ช่วงก่อนเข้าสู่วาระการประชุม พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา ได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือถึงประเด็นต่างๆ โดย ส.ว.หลายคน ได้โจมตีมติ ครม. เมื่อวันที่ 10 ม.ค. ที่อนุมัติให้จ่ายเงินเยียวยาในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ปี 2548-2553 อาทิ นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ที่กล่าวว่า ถือเป็นมติเยียวยาบ้าระห่ำของครม. ประชาชนจึงสงสัยกันว่า รัฐบาลใช้หลักนิติธรรม หรือกฎหมายอะไรมาพิจารณาออกเป็นมติครม. เยียวยาความเสียหายผู้เสียชีวิต หรือบาดเจ็บจากการชุมนุมทางการเมือง โดยไม่มีกรอบการพิจารณา ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ จึงสงสัยในความเท่าเทียมกันกับชีวิตของคนที่มาชุมนุม กับเจ้าหน้าที่รัฐที่เสียชีวิต หรือชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ ที่บกพร่องของเจ้าหน้าที่ อาทิ กรณีเหตุการณ์ ตากใบ หรือบุคคลที่เสียชีวิตในสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แตกต่างจากการชุมนุมเมื่อปี 2552-2553 อย่างไร ที่บอกว่าจะปรองดอง อาจไม่ใช่ แต่จะขยายมิติความขัดแย้งกว้างมากขึ้น เพราะยังขาดความโปร่งใส เงิน 2,000 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หลักความเท่าเทียมเป็นธรรมต้องมี อยากให้รัฐบาลให้ความชัดเจน และทบทวนกรอบระเบียบดังกล่าว
ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ขอฝากไปถึงนายกฯ และ ครม.ว่า มติการเยียวยาดังกล่าวน่าจะเป็นมติที่ขัดต่อกฎหมาย เพราะใช้คำว่าฟื้นฟูเยียวยา โดยไม่อยู่ในกรอบกฎหมาย และแนวทางปฏิบัติ ทั้งทางการเงินและรูปแบบอื่น จึงอาจมีผู้ไปฟ้องต่อศาลปกครอง อาจทำให้มติครม.ดังกล่าวหยุดชะงักลง ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ได้นำไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ แต่จะนำไปสู่ความแตกแยก ความเป็น 2 มาตรฐาน เพราะหลักเกณฑ์ที่พิกลพิการ
" นี่เป็นเงินภาษีประชาชน ทำให้เขาอาจละเว้นการเสียภาษีให้รัฐ ที่นำเงินไปผลาญอย่างนี้ คราวหน้าถ้ามีการชุมนุม อาจมีการระดมคนเข้ามาแล้วไปก่อเหตุที่บ้าน หรือออฟฟิศของนายกฯ ก็ได้ จะได้ได้เงินเยอะขนาดนี้ รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ของนายกฯ และ ครม. อาจจะน้อยใจแล้วไม่ปฏิบัติหน้าที่ เพราะได้เงินเยียวยาต่างมาตรฐานกัน ดังนั้นขอให้ ครม.ยกเลิกมติดังกล่าว หรือชะลอไป จนกว่าจะมีกรอบที่ชัดเจน" นายสมชาย กล่าว
จากนั้นนางตรึงใจ บูรณสมภพ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เงินเยียวยาจำนวนนี้ถือว่าสูงมาก สูงอย่างน่าเกลียด ไม่มีความเกรงใจประชาชนที่ก้มหน้าก้มตาเสียภาษีให้รัฐ แต่รัฐบาลกลับนำมาใช้ปู้ยี่ปู้ยำ ให้ผู้เสียชีวิตที่มาชุมนุม โดยไม่คำนึงถึงผู้เสียชีวิตเพื่อชาติ ในกรณีอื่น เช่น ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยตามแนวชายแดน รวมไปถึงตำรวจ ครูอาจารย์ พระ น่าจะได้รับการเยียวยามากกว่าผู้ที่มาชุมนุม
นอกจากนี้ยังไม่มีระเบียบจ่ายเงินที่ชัดเจนว่า จะให้กับผู้ใด เท่าใด ขณะที่คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถูกผู้ชุมนุมยิงตาย หรือทหารที่เสียชีวิตเพราะผู้ชุมนุม จึงขอให้นายกฯ และ ครม.ทบทวนด้วย
พล.อ.อ.วีรวิทย์ คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา ที่กล่าวว่า รัฐบาลกำลังเปลี่ยนหลักการบริหารประเทศ เพราะไม่ได้พิจารณาอยู่บนกรอบกฎหมาย และระเบียบปฏิบัติ ทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือ รวมถึงกระทบต่อสายตาต่างชาติ ที่บริหารราชการแผ่นดินโดยขาดความรอบคอบ ไม่ใช่แค่กรณีกรณีเดียว แต่จะมีกรณีอื่นตามมา เพราะตามหลักรัฐจะต้องจ่ายชดเชย โดยฐานการพิจารณาของศาลฎีกาเท่านั้น แต่คราวนี้รัฐบาลออกนอกกรอบ น่าจะมีการตรวจสอบว่า มีอำนาจสั่งหรือไม่ หลังจากนี้หากมีการชดเชยค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ตาม หน่วยราชการที่เป็นผู้สั่งจ่าย ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความผิดฐานละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อหาเงินมาชดใช้ให้เท่าจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป
นายวันชัย สอนศิริ ส.ว.สรรหา ที่กล่าวว่า มติ ครม.ที่บอกว่าจะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ แต่น่าจะสร้างความความขัดแย้งแตกแยกในสังคมมากกว่า เพราะไม่ได้เป็นไปตามหลักนิติธรรม นิติรัฐ ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการจ่ายเงินชดเชยและเยียวยา ตามหลักต้องจ่ายแก่ผู้เสียหาย ผู้ถูกระเมิด ผู้ประสบภัย ไม่ใช่จ่ายให้แก่ผู้ร่วมกระทำผิด แม้คนถูกสงสัยว่ากระทำผิด ระเบียบของกระทรวงยุติธรรมยังไม่จ่ายให้เลย คนร้าย คนชั่ว คนเลว ไม่มีสิทธิได้รับเงินชดเชย หรือเยียวยาแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ดังนั้นกฎหมายหรือระเบียบจึงมีไว้เยียวยาผู้ที่ไม่ได้กระทำผิด ทหาร ตรวจ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเสียชีวิตยังได้เงินไม่ถึงล้านบาท รวมถึงผู้ที่ติดคุกตะราง และศาลยกฟ้องถ้าตายก็ได้ไม่ถึงแสนบาท จึงเป็นเรื่องสองมาตรฐานโดยแท้
**ร้องศาลปค.สั่งเพิกถอนมติครม.
ในวันเดียวกันนี้ (16 ม.ค.) นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายสมชัย เกิดรุ่งเรือง ผู้จัดการมรดกของ ด.ช.จักรพันธุ์ ศรีสะอาด หรือ “น้องฟลุ๊ค” ที่เสียชีวิตจากการปราบปรามยาเสพติด ในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์สลายการชุมนุมพฤษภา 35 ได้เดินทางมายื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนมติครม. เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่อนุมัติให้มีการจ่ายเงินชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.49-พ.ค. 53 และขอให้ศาลพิพากษา สั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดี มีมติกำหนดกฎเกณฑ์ในการเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ความรุนแรงในครั้งต่างๆ อย่างเท่าเทียมกันจากข้อเท็จจริงในแต่ละกรณีอย่างเป็นธรรม โดยไม่รวมถึงกรณีผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย ในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ คำฟ้องระบุว่า มติดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เยียวยาเฉพาะกลุ่มบุคคลที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า เป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ จากเหตุการณ์ความรุนแรงตามความหมายของมติ ครม. 10 ม.ค. เช่น ผู้ที่ก่อเหตุวางเพลิงเผาทรัพย์ เสียชีวิตจากการประกอบระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น โดยเฉพาะการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ที่เป็นการชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งที่การจะได้รับการเยียวยา ก็ควรมีการอภัยโทษหรือนิรโทษกรรมเสียก่อน มิฉะนั้นมติครม. ดังกล่าวจะทำให้ผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ได้รับการชดเชย ถือเป็นการนำงบประมาณแผ่นดินไปใช้อย่างไม่เหมาะสม ขาดความยุติธรรม เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ขัดต่อหลักนิติธรรม
ยิ่งไปกว่านั้น มติครม.ดังกล่าวไม่ได้ครอบคลุมถึงบุคคลที่เข้าข่ายเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางการเมือง ที่มิได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิด แต่กลับไม่ได้รับการเยียวยาอีกหลายกรณี เช่น ตากใบ กรือเซะ พฤษภาทิมฬ 35 จนถึงกรณี 14 ต.ค. 16 และ 16 ต.ค19 ทั้งที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องเยียวยาความเสียหายอย่างเท่าเทียมกัน มติครม. 10 ม.ค.จึงขัดกับหลักนิติธรรม และความเสมอภาค ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 และ มาตรา 30 จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนมติครม. ดังกล่าว
นายสาธิต กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลอ้างว่าปฏิบัติตามแนวทางการปรองดอง ของนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่ให้มีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนั้น เห็นว่าทาง คอป.ให้มีการเยียวยาทั้งทางการเงิน และด้านจิตใจ แต่รัฐบาลนี้ก็กลับหยิบยกเฉพาะการเยียวยาด้านการเงิน เพื่อตอบสนองสมาชิกพรรคตนเองที่เป็นคนเสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม ในการฟ้องคดีครั้งนี้ ยังไม่ได้มีการขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา คือ ให้สั่งระงับการบังคับใช้ตามมติครม.ดังกล่าวไว้ก่อน จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา เพราะเห็นว่ายังเป็นชั้นของการยื่นฟ้องคดี แต่ถ้าศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณา และรัฐบาลยังเดินหน้าปฏิบัติตามมติ ก็จะยื่นของศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อให้กำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว
นายสาธิต ยังระบุว่า ในเวลา 15.00 น. ตนและคณะ จะเดินทางไป สน.ดุสิต เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายกฯ และคณะรัฐมนตรี ต่อพนักงานสอบสวน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 เนื่องจากอนุมัติเงินช่วยเหลือผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ทั้งคนที่กระทำผิด พ.ร.ก.ฉุนเฉิน รวมทั้งบุกรุกสถานที่ราชการ เป็นต้น
ในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวานนี้ (16 ม.ค.) ช่วงก่อนเข้าสู่วาระการประชุม พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา ได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือถึงประเด็นต่างๆ โดย ส.ว.หลายคน ได้โจมตีมติ ครม. เมื่อวันที่ 10 ม.ค. ที่อนุมัติให้จ่ายเงินเยียวยาในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ปี 2548-2553 อาทิ นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ที่กล่าวว่า ถือเป็นมติเยียวยาบ้าระห่ำของครม. ประชาชนจึงสงสัยกันว่า รัฐบาลใช้หลักนิติธรรม หรือกฎหมายอะไรมาพิจารณาออกเป็นมติครม. เยียวยาความเสียหายผู้เสียชีวิต หรือบาดเจ็บจากการชุมนุมทางการเมือง โดยไม่มีกรอบการพิจารณา ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ จึงสงสัยในความเท่าเทียมกันกับชีวิตของคนที่มาชุมนุม กับเจ้าหน้าที่รัฐที่เสียชีวิต หรือชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ ที่บกพร่องของเจ้าหน้าที่ อาทิ กรณีเหตุการณ์ ตากใบ หรือบุคคลที่เสียชีวิตในสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แตกต่างจากการชุมนุมเมื่อปี 2552-2553 อย่างไร ที่บอกว่าจะปรองดอง อาจไม่ใช่ แต่จะขยายมิติความขัดแย้งกว้างมากขึ้น เพราะยังขาดความโปร่งใส เงิน 2,000 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หลักความเท่าเทียมเป็นธรรมต้องมี อยากให้รัฐบาลให้ความชัดเจน และทบทวนกรอบระเบียบดังกล่าว
ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ขอฝากไปถึงนายกฯ และ ครม.ว่า มติการเยียวยาดังกล่าวน่าจะเป็นมติที่ขัดต่อกฎหมาย เพราะใช้คำว่าฟื้นฟูเยียวยา โดยไม่อยู่ในกรอบกฎหมาย และแนวทางปฏิบัติ ทั้งทางการเงินและรูปแบบอื่น จึงอาจมีผู้ไปฟ้องต่อศาลปกครอง อาจทำให้มติครม.ดังกล่าวหยุดชะงักลง ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ได้นำไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ แต่จะนำไปสู่ความแตกแยก ความเป็น 2 มาตรฐาน เพราะหลักเกณฑ์ที่พิกลพิการ
" นี่เป็นเงินภาษีประชาชน ทำให้เขาอาจละเว้นการเสียภาษีให้รัฐ ที่นำเงินไปผลาญอย่างนี้ คราวหน้าถ้ามีการชุมนุม อาจมีการระดมคนเข้ามาแล้วไปก่อเหตุที่บ้าน หรือออฟฟิศของนายกฯ ก็ได้ จะได้ได้เงินเยอะขนาดนี้ รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ของนายกฯ และ ครม. อาจจะน้อยใจแล้วไม่ปฏิบัติหน้าที่ เพราะได้เงินเยียวยาต่างมาตรฐานกัน ดังนั้นขอให้ ครม.ยกเลิกมติดังกล่าว หรือชะลอไป จนกว่าจะมีกรอบที่ชัดเจน" นายสมชาย กล่าว
จากนั้นนางตรึงใจ บูรณสมภพ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เงินเยียวยาจำนวนนี้ถือว่าสูงมาก สูงอย่างน่าเกลียด ไม่มีความเกรงใจประชาชนที่ก้มหน้าก้มตาเสียภาษีให้รัฐ แต่รัฐบาลกลับนำมาใช้ปู้ยี่ปู้ยำ ให้ผู้เสียชีวิตที่มาชุมนุม โดยไม่คำนึงถึงผู้เสียชีวิตเพื่อชาติ ในกรณีอื่น เช่น ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยตามแนวชายแดน รวมไปถึงตำรวจ ครูอาจารย์ พระ น่าจะได้รับการเยียวยามากกว่าผู้ที่มาชุมนุม
นอกจากนี้ยังไม่มีระเบียบจ่ายเงินที่ชัดเจนว่า จะให้กับผู้ใด เท่าใด ขณะที่คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถูกผู้ชุมนุมยิงตาย หรือทหารที่เสียชีวิตเพราะผู้ชุมนุม จึงขอให้นายกฯ และ ครม.ทบทวนด้วย
พล.อ.อ.วีรวิทย์ คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา ที่กล่าวว่า รัฐบาลกำลังเปลี่ยนหลักการบริหารประเทศ เพราะไม่ได้พิจารณาอยู่บนกรอบกฎหมาย และระเบียบปฏิบัติ ทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือ รวมถึงกระทบต่อสายตาต่างชาติ ที่บริหารราชการแผ่นดินโดยขาดความรอบคอบ ไม่ใช่แค่กรณีกรณีเดียว แต่จะมีกรณีอื่นตามมา เพราะตามหลักรัฐจะต้องจ่ายชดเชย โดยฐานการพิจารณาของศาลฎีกาเท่านั้น แต่คราวนี้รัฐบาลออกนอกกรอบ น่าจะมีการตรวจสอบว่า มีอำนาจสั่งหรือไม่ หลังจากนี้หากมีการชดเชยค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ตาม หน่วยราชการที่เป็นผู้สั่งจ่าย ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความผิดฐานละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อหาเงินมาชดใช้ให้เท่าจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป
นายวันชัย สอนศิริ ส.ว.สรรหา ที่กล่าวว่า มติ ครม.ที่บอกว่าจะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ แต่น่าจะสร้างความความขัดแย้งแตกแยกในสังคมมากกว่า เพราะไม่ได้เป็นไปตามหลักนิติธรรม นิติรัฐ ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการจ่ายเงินชดเชยและเยียวยา ตามหลักต้องจ่ายแก่ผู้เสียหาย ผู้ถูกระเมิด ผู้ประสบภัย ไม่ใช่จ่ายให้แก่ผู้ร่วมกระทำผิด แม้คนถูกสงสัยว่ากระทำผิด ระเบียบของกระทรวงยุติธรรมยังไม่จ่ายให้เลย คนร้าย คนชั่ว คนเลว ไม่มีสิทธิได้รับเงินชดเชย หรือเยียวยาแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ดังนั้นกฎหมายหรือระเบียบจึงมีไว้เยียวยาผู้ที่ไม่ได้กระทำผิด ทหาร ตรวจ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเสียชีวิตยังได้เงินไม่ถึงล้านบาท รวมถึงผู้ที่ติดคุกตะราง และศาลยกฟ้องถ้าตายก็ได้ไม่ถึงแสนบาท จึงเป็นเรื่องสองมาตรฐานโดยแท้
**ร้องศาลปค.สั่งเพิกถอนมติครม.
ในวันเดียวกันนี้ (16 ม.ค.) นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายสมชัย เกิดรุ่งเรือง ผู้จัดการมรดกของ ด.ช.จักรพันธุ์ ศรีสะอาด หรือ “น้องฟลุ๊ค” ที่เสียชีวิตจากการปราบปรามยาเสพติด ในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์สลายการชุมนุมพฤษภา 35 ได้เดินทางมายื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนมติครม. เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่อนุมัติให้มีการจ่ายเงินชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.49-พ.ค. 53 และขอให้ศาลพิพากษา สั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดี มีมติกำหนดกฎเกณฑ์ในการเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ความรุนแรงในครั้งต่างๆ อย่างเท่าเทียมกันจากข้อเท็จจริงในแต่ละกรณีอย่างเป็นธรรม โดยไม่รวมถึงกรณีผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย ในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ คำฟ้องระบุว่า มติดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เยียวยาเฉพาะกลุ่มบุคคลที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า เป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ จากเหตุการณ์ความรุนแรงตามความหมายของมติ ครม. 10 ม.ค. เช่น ผู้ที่ก่อเหตุวางเพลิงเผาทรัพย์ เสียชีวิตจากการประกอบระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น โดยเฉพาะการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ที่เป็นการชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งที่การจะได้รับการเยียวยา ก็ควรมีการอภัยโทษหรือนิรโทษกรรมเสียก่อน มิฉะนั้นมติครม. ดังกล่าวจะทำให้ผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ได้รับการชดเชย ถือเป็นการนำงบประมาณแผ่นดินไปใช้อย่างไม่เหมาะสม ขาดความยุติธรรม เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ขัดต่อหลักนิติธรรม
ยิ่งไปกว่านั้น มติครม.ดังกล่าวไม่ได้ครอบคลุมถึงบุคคลที่เข้าข่ายเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางการเมือง ที่มิได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิด แต่กลับไม่ได้รับการเยียวยาอีกหลายกรณี เช่น ตากใบ กรือเซะ พฤษภาทิมฬ 35 จนถึงกรณี 14 ต.ค. 16 และ 16 ต.ค19 ทั้งที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องเยียวยาความเสียหายอย่างเท่าเทียมกัน มติครม. 10 ม.ค.จึงขัดกับหลักนิติธรรม และความเสมอภาค ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 และ มาตรา 30 จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนมติครม. ดังกล่าว
นายสาธิต กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลอ้างว่าปฏิบัติตามแนวทางการปรองดอง ของนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่ให้มีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนั้น เห็นว่าทาง คอป.ให้มีการเยียวยาทั้งทางการเงิน และด้านจิตใจ แต่รัฐบาลนี้ก็กลับหยิบยกเฉพาะการเยียวยาด้านการเงิน เพื่อตอบสนองสมาชิกพรรคตนเองที่เป็นคนเสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม ในการฟ้องคดีครั้งนี้ ยังไม่ได้มีการขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา คือ ให้สั่งระงับการบังคับใช้ตามมติครม.ดังกล่าวไว้ก่อน จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา เพราะเห็นว่ายังเป็นชั้นของการยื่นฟ้องคดี แต่ถ้าศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณา และรัฐบาลยังเดินหน้าปฏิบัติตามมติ ก็จะยื่นของศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อให้กำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว
นายสาธิต ยังระบุว่า ในเวลา 15.00 น. ตนและคณะ จะเดินทางไป สน.ดุสิต เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายกฯ และคณะรัฐมนตรี ต่อพนักงานสอบสวน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 เนื่องจากอนุมัติเงินช่วยเหลือผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ทั้งคนที่กระทำผิด พ.ร.ก.ฉุนเฉิน รวมทั้งบุกรุกสถานที่ราชการ เป็นต้น
