xs
xsm
sm
md
lg

ห้ามกษัตริย์พูดกับประชาชน?

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ชื่อของปิยบุตร แสงกนกกุล แม้จะเป็นหนึ่งในกลุ่มนิติราษฎร์ แต่ก็ถูกวรเจตน์ ภาคีรัตน์ บดบังมานาน แต่อยู่ๆ คนที่คมสัน โพธิ์คง เรียกว่าเด็กเมื่อวานซืนก็กลายเป็นคนดัง “ชั่วข้ามคืน”

เมื่อเขาเสนอให้ยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 และเสนอให้ห้ามพระมหากษัตริย์มีพระราชดำรัสต่อสาธารณะ

ปิยบุตร มีเฟซบุ๊กของตัวเองเหมือนกันผมเข้าไปดู เขามีเพื่อนเพียง 6 คน ส่วนใหญ่โพสต์ข้อความเรื่องอาหารมากกว่าเรื่องการเมือง ยกเว้นโพสต์สุดท้าย เมื่อวันที่ 9 มีนาคมปี 2553 หลังจากนั้นปิยบุตรก็ไม่ได้เข้ามาเล่นเฟซบุ๊กอีกเลย

ท้ายสุดเขาโพสต์รูป “ตัดต่อ” คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ยืนคู่กับทักษิณ แล้วโพสต์ข้อความว่า “ใครคือคุณ คุณคือใคร?” เป็นหัวเรื่องพร้อมมีคำบรรยายว่า

“Result: อดีตนายกรัฐมนตรี : พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร-รวยขนาดนี้กรูจะซื้ออะไรก็ได้ เงินที่ได้ก็ได้ก่อนจะมาเล่นการเมืองแท้ๆ แต่เจือกมาหาว่ากรูคอร์รัปชันมั่งล่ะ ขายชาติมั่งหล่ะ กรูไม่มาเล่นการเมืองกรูก็มีกินมีใช้ไม่ต้องทำอะไรนอนใช้ตังค์อย่างเดียวยังได้เลย ลูกเมียก็เตือนว่าอย่าเลยพ่ออย่าเข้าการเมืองไทยเลย แ.้งแ.๊กกันมานานแล้ว บ่น..นนน (อุตส่าห์จะมาช่วยคนจน แต่ดันไปสะดุดเท้าคนรวยบางคน) ซวยจริงๆ เลยกรูนี่...”

ในโพสต์นั้นมีคนเข้ามาคลิก like 3 คน หนึ่งนั้นคือตัวปิยบุตรเอง และอีกคนคือ Taona Sonakul

“เต่านา” เป็นชื่อเล่นของ ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล บุตรคนโตของหม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กับ รัชนี คชเสนี เป็นพี่สาวต่างมารดาของหม่อมหลวงอภิมงคล โสณกุล

ในท้ายโพสต์ของตัวเอง ปิยบุตรยังเข้าไปโพสต์ข้อความต่อไว้ด้วยว่า “เห็นว่าพึ่งผ่านวันเกิดแป๊ะลิ้มมาไม่นาน ขอร่วมถีบด้วย ฮี่ฮี่”

ข้อความในเฟซบุ๊ก 2-3 บรรทัด อาจไม่อาจตัดสินตัวตนของปิยบุตรได้ แต่เราก็คงเห็นจุดยืนภายใต้บทบาทของเขาได้

อย่างไรก็ตาม หลังได้ยินข้อเสนอของปิยบุตร ทำให้ผมนึกไปถึง “ปฏิญญาฟินแลนด์” ที่เป็นประเด็นฮือฮาเมื่อหลายปีก่อน

1. สร้างระบบรัฐบาลแบบพรรคการเมืองเดียว 2. เปลี่ยนระบบราชการให้อยู่ภายใต้อำนาจสั่งการของพรรคการเมือง 3. การแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้กลายเป็นของภาคเอกชน เพื่อสร้างระบบทุนนิยมที่สมบูรณ์แบบ พร้อมที่จะพลิกเป็นระบบคอมมิวนิสต์ 4. ลดทอนความสำคัญของสถาบันกษัตริย์หรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ 5. สร้างระบบพรรคการเมืองแบบรวมอำนาจที่กรรมการบริหารพรรคและผู้นำพรรค

นัยความหมายในข้อที่ 4 และข้อเสนอของปิยบุตรนี้เองที่สอดคล้องกันอย่างไม่ต้องสงสัย

ความคิดของปิยบุตรเป็นความคิดสกุลเดียวกับสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คนที่เคลื่อนไหวหนักที่สุดในรอบหลายปี เพื่อลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระ มหากษัตริย์ในสังคมไทย จริงอยู่แม้สมศักดิ์จะเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 แต่ถ้ามาตรา 112 ถูกใช้อย่างไม่มีเหตุผลอย่างที่สมศักดิ์และพวกโจมตีสมศักดิ์ก็คงถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 ไปแล้วหลายกระทง

เพราะสมศักดิ์วิจารณ์สถานะและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์แทบทุกวัน

และพระราชดำรัสของในหลวงที่ให้ไว้เมื่อปี 2548 ก็ยืนยันว่า พระมหากษัตริย์ก็วิจารณ์ได้ ไม่เช่นนั้นพระมหากษัตริย์ก็ไม่ใช่คน

แต่การวิจารณ์ก็มีขอบเขตของมันอยู่ไม่ว่าจะกระทำต่อพระมหากษัตริย์หรือคนธรรมดา

สมศักดิ์ยืนยันว่า ต้องยกเลิกมาตรา 112 ไม่ใช่ปรับปรุงแก้ไขปรับอัตราโทษลงมา หรือตั้งคณะกรรมการขึ้นมากลั่นกรองการบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้เหมือนนัก วิชาการบางฝ่าย หรือข้อเสนอให้ปรับมาตรา 112 กลับไปแบบก่อน 6 ตุลา 2519 คือมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี

สมศักดิ์โกรธมากที่ร.ต.ท.เฉลิม อยู่บำรุง ประกาศจะจัดการกับเว็บหมิ่นและประกาศว่าไม่แก้ไขมาตรา 112 โดยเด็ดขาดถึงกับประกาศว่า จะหาทางติดต่อเพื่อฟ้องร้องพฤติกรรมของเฉลิมต่อทักษิณ และขู่ว่าถ้าทักษิณไม่จัดการเฉลิมก็จะเปิดโปงทักษิณ

อ่านแล้วก็ขำดี

ความคิดของปิยบุตรสอดคล้องกับสมศักดิ์ ที่อ้างว่าประเทศประชาธิปไตยไม่อนุญาตให้ Unelected Head of State (ประมุขรัฐที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง) เช่น ประธานาธิบดีแบบพิธีการที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลพูดอะไรด้วยตัวเองต่อสาธารณะ

การห้ามพระมหากษัตริย์แสดงความเห็นต่อสาธารณะหรือต้องให้รัฐบาลตรวจบทก่อนนั้น เป็นทัศนะของเผด็จการไม่ใช่ประชาธิปไตย นอกจากนั้นไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดสิทธิของพระมหากษัตริย์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ยังเป็นการละเมิดสิทธิของคนที่เคารพและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย

ผมห้ามคนที่สมศักดิ์เคารพรักสักคนพูดกับสมศักดิ์ได้ไหม ผมห้ามสมศักดิ์ได้ยินเสียงของเขาได้ไหม ผมขอตรวจบทก่อนที่เขาจะพูดกับสมศักดิ์ได้ไหม

พวกเขาห้ามมีกฎหมายเอาผิดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทั้งที่การกระทำแบบนี้กับคนธรรมดาก็ยังเป็นเรื่องต้องห้าม แถมยังห้ามพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชดำรัสกับประชาชน

พวกที่ค้านมาตรา 112 มักมีตรรกะที่ตลกแบบนี้ เมื่อเขาถามว่า ถ้าเมืองไทยไม่มีมาตรา 112 ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง คือ การคุ้มครองประมุขของรัฐ แต่มีกฎหมายคุ้มครองประมุขของต่างประเทศ แปลว่าเรามีกฎหมายคุ้มครองประมุขของชาติอื่นทุกชาติแต่ไม่มีกฎหมายคุ้มครองประมุขของตัวเอง พวกนี้ก็จะโต้ว่า กฎหมายคุ้มครองประมุขของต่างชาติไม่เคยมีการบังคับใช้ พอเขาบอกว่า กฎหมายคุ้มครองเจ้าในต่างประเทศก็มี พวกนี้ก็บอกว่าถึงมีก็ไม่มีการบังคับใช้

เอ้ยแล้วทำไมเราต้องตามฝรั่งมันด้วย ถ้ามันมีกฎหมายแล้วไม่เคารพกฎหมายของตัวเองก็เรื่องของมันสิ แล้วกฎหมายจะบังคับใช้ได้ไหมถ้าไม่มีคนฝ่าฝืนกฎหมาย

พวกนี้ไม่พูดเลยว่า แม้กฎหมายไทยจะมีบทบัญญัติโทษไว้สูง แต่กฎหมายไทยไม่เคยลงโทษขั้นสูงสุดเลย แม้แต่คดีชายที่ส่ง SMS ศาลก็ลงโทษสูงกว่าขั้นต่ำสุดแค่ 2 ปี เพียงแต่ชายคนนี้ทำผิดหลายครั้ง และคดีความผิดตามมาตรา 112 เมื่อขอพระราชทานอภัยโทษจะได้รับการอภัยให้พ้นโทษทุกครั้ง

เพียงแต่ประเด็นสำคัญก็คือต้องมีการบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้อย่างเป็นธรรมเท่านั้นเอง

สมศักดิ์บอกว่า ในอังกฤษไม่มีการใช้กฎหมายแบบนี้มากว่า 100 ปีแล้ว ทั้งๆ ที่-ยกตัวอย่าง-รายการทีวีล้อเลียน เสียดสี ควีน ประเภทว่า “Stupid” (ไม่ต้องพูดถึงล้อเลียน เสียดสี เจ้าคนอื่นๆ)

หรือในเนเธอร์แลนด์ ที่นานเป็นชาติ มีการใช้ที จึงแค่ปรับไม่กี่พันเหรียญ คนที่ด่าควีนเป็น “Whore”

ฯลฯ

ผมก็เลยไม่รู้ว่า สมศักดิ์ต้องการกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นหรือต้องการวิพากษ์วิจารณ์บทบาท และสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งสมศักดิ์ทำอยู่ทุกวันกันแน่ คือ มีกฎหมายได้แต่ห้ามบังคับใช้กับไม่ให้มีกฎหมายจะได้ด่าทอกันสนุกปากแบบที่พวกแฝงตัวอยู่ในออนไลน์ทำอยู่
กำลังโหลดความคิดเห็น