เมื่อเวลา 13.45 น. วานนี้ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายศิริโชค โสภา และคณะที่ปรึกษากฎหมายพรรคประชาธิปัติย์ เดินทางมาให้ปากคำต่อคณะพนักงานสอบสวนนครบาล คดีชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิต 91 ศพ ตามที่มีการนัดหมายไว้ โดยนายอภิสิทธิ์ สวมชุดสูทสีดำ มีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ไม่มีความวิตกกังวลแต่อย่างใด ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนทุกแขนงที่รุมถ่ายภาพเบียดเสียดกันกว่า 100 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่รถยนต์ของนายอภิสิทธิ์ ขับเข้ามาในกองบัญชาการตำรวจนครบาล พบว่ามีประชาชนชายหญิงที่สวมชุดดำไว้ทุกข์ให้กับผู้เสียชีวิต มารออยู่ก่อนหน้าประมาณ 20 คนได้ชูป้ายข้อความที่เขียนว่า “ใครสั่งฆ่าประชาชนต้องรับกรรม” “ฆาตกรแห่งเมืองผู้ดี 91 ศพ” และข้อความอื่นๆ ที่มีเนื้อหาในลักษณะเดียวกัน พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “ไอ้ฆาตกร 91 ศพ” ตลอดทาง เมื่อรถยนต์ของนายอภิสิทธิ์ ขับเคลื่อนเข้ามาภายในกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 10 นาย ดูแลความเรียบร้อยอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้า ไม่ให้มีการบุกรุกเข้ามาในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพียงสั้นๆว่า “พร้อมจะชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่วิตกอะไร”
** "มาร์ค"ยันศอฉ.แค่ขอคืนพื้นที่จราจร
ภายหลังการเข้าให้ปากคำกว่า 3 ชั่วโมง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เดินทางมาให้ปากคำในฐานะพยาน กับกรณีที่มีการชันสูตรพลิกศพผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. และช่วงเดือนพ.ค.53 โดยอธิบายบทบาทหน้าที่ในช่วงนั้น ในฐานะนายกรัฐมนตรี และเป็นคนออกคำสั่งตั้ง ศอฉ. ขึ้นมา แต่ในรายละเอียดในส่วนการปฏิบัติงานของ ศอฉ. จะเป็นหน้าที่ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี สมัยนั้น และฐานะผอ.ศอฉ. เป็นผู้ดำเนินการ โดยยังได้อภิปรายถึงเหตุผลลำดับเหตุการณ์ ทั้งการเจรจา และการตัดสินใจขอคืนพื้นที่ต่างๆ ส่วนกรณีช่างภาพญี่ปุ่นที่เสียชีวิต เมื่อวันที่ 10 เม.ย.นั้น ต้องสอบถามทางเจ้าหน้าที่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ทางเจ้าหน้าที่มีความมุ่งหมาย คือการขอคืนพื้นที่การจราจร และทางการเจ้าหน้าที่จะหยุดการเคลื่อนไหวการชุมนุมก่อนมืด แต่กลับถูกโอบล้อม และมีการใช้อาวุธสงครามยิงเข้ามาใส่เจ้าหน้าที่ ก่อนเกิดเหตุชุลมุน
นอกจากนี้ ได้นำภาพถ่ายเป็นภาพเคลื่อนไหว และภาพนิ่งของชายชุดดำที่ปรากฏตัวในบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ ยังได้นำเอกสาร รวมทั้งแนวคำวินิจฉัยของศาลที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม และเท่าที่ทราบไม่มีประเด็นอะไรที่จะต้องเข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนแล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จากที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาระบุว่าเจ้าหน้าที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของกลุ่มผู้ชุมนุม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่มีเจ้าหน้าที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่ดีเอสไอ สมัยที่ตนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยมีการส่งสำนวนดังกล่าว ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติม ไม่ได้มีประเด็นอะไรใหม่ และทาง ร.ต.อ.เฉลิม ที่ได้ให้สัมภาษณ์ เกินเลยไปในข้อสรุปบางอย่าง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลก เนื่องจากมีการสอบสวนกันอยู่
เมื่อถามว่า รู้สึกวิตกกังวลหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่กังวล โดยส่วนตัวคิดว่า เจ้าหน้าที่ มีหน้าที่ทำแบบตรงไปตรงมา โดยขอย้ำว่า กระบวนการนี้มีความสำคัญต่อการเดินหน้าของประเทศ เพราะต้องค้นหาความจริง และถึงความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ฉะนั้นตนจึงต้องขอเตือนกับฝ่ายการเมือง ต้องไม่เข้าแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ หรือเข้ามาชี้นำ เพราะจะทำให้หมดความน่าเชื่อถือของกระบวนการทั้งหมดถูกกระทบ และจะไม่เป็นผลดีของประเทศไทยที่จะเดินเข้าสู่ความปรองดอง
"หากเจ้าหน้าที่ไม่ทำงานตรงไปตรงมา ทางเจ้าหน้าเองที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนคนที่เข้ามาชี้นำ จะไม่รับผิดชอบอะไรอย่างแน่นอน" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
**อนาถ"เจ๊ดา"นำแก๊งแดงโห่ไล่"มาร์ค"
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เดินทางไปให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ว่า ไม่ห่วงอะไร ซึ่งนายอภิสิทธิ์ คงไปชี้แจงตามปกติ ซึ่งในกรณีดังกล่าว ตนได้เคยยืนยันไปแล้วว่า ตนเป็นผู้สังการทั้งหมดในฐานะ ผอ.ศอฉ. และดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย
อย่างไรก็ตามทราบว่าระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ได้ไปชี้แจงนั้น ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งนำโดย นางดารุณี กฤตบุญญาลัย แสดงอาการก่อกวน โห่ไล่ ซึ่งตนเห็นแล้วน่าอนาถใจ และไม่เข้าใจว่า เหตุใดกลุ่มคนเหล่านี้ถึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น ทั้งที่พรรคเพื่อไทยที่พวกเขาสนับสนุนได้เป็นรัฐบาลแล้ว และมีกลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้ตำแหน่งทางการเมือง การมีพฤติกรรมเช่นนี้ จึงไม่แน่ใจว่ามีเป้าหมายอย่างไร
" ผมรู้สึกเอน็จอนาถใจ เหมือนไม่เลิกสักที สมัยที่ท่านอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ เวลาไปปฏิบัติหน้าที่ ก็จะมีคนพวกนี้ไปขัดขวางก่อกวน เอาตีนตบไปไล่ ไปโห่ พวกผมก็อดทนมาตลอด คิดว่าถ้ามีเลือกตั้งแล้ว มีการตั้งรัฐบาลใหม่ เขาเป็นรัฐบาลแล้วจะเรียบร้อย วันนี้ต้องให้คนเหล่านั้นไปถามพวกเดียวกันเองว่า จะเอาอะไรอีกกับคนไทย ได้อำนาจรัฐอยู่ในมือแล้ว พรรคพวกตัวเองเป็นรัฐบาล บางคนเป็นรัฐมนตรี เป็นเลขา เป็นที่ปรึกษา ไปมีอำนาจมีอิทธิพลอยู่ในรัฐบาล ทั้ง ๆที่เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ตั้งเยอะแยะ มันก็เป็นความเจ็บปวดของคนไทยอยู่แล้ว คนอื่นก็ยอมทุกอย่าง ทำไมฝ่ายผู้ชนะยังวุ่นวายไม่เลิกสักที ผมว่าเขาควรถามพรรคพวกตัวเองว่า เขาต้องการให้บ้านเมืองเป็นอย่างไรกันแน่ ผมรู้สึกเหมือนกับพวกเขาปากว่า ตาขยิบ เพราะท่านนายกฯพูดทุกวันว่าจะสมานฉันท์ แต่บรรดาลิ่วล้อบริวาร กลับเกะกะระราน หาเรื่องคน เรื่อยๆ แล้วแบบนี้จะสมานฉันท์ได้อย่างไร" นายสุเทพ กล่าว
** ห่วงแก้รธน.-นิรโทษทำบ้านเมืองวุ่น
นายสุเทพ กล่าวว่า มีความกังวลในสถานการณ์การเมืองต่อจากนี้ใน 3 ประเด็น ประกอบไปด้วย
1. มีขบวนการที่จะแก้กฎหมายในลักษณะที่เปิดทางให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะทหารมีหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ไม่ใช่กองทัพของคนใดคนหนึ่ง
2. มีความพยายามผลักดันกฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งหากมีการดำเนินการจริงเชื่อว่าประชาชนไม่สามารถรับได้
3. ความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่รถยนต์ของนายอภิสิทธิ์ ขับเข้ามาในกองบัญชาการตำรวจนครบาล พบว่ามีประชาชนชายหญิงที่สวมชุดดำไว้ทุกข์ให้กับผู้เสียชีวิต มารออยู่ก่อนหน้าประมาณ 20 คนได้ชูป้ายข้อความที่เขียนว่า “ใครสั่งฆ่าประชาชนต้องรับกรรม” “ฆาตกรแห่งเมืองผู้ดี 91 ศพ” และข้อความอื่นๆ ที่มีเนื้อหาในลักษณะเดียวกัน พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “ไอ้ฆาตกร 91 ศพ” ตลอดทาง เมื่อรถยนต์ของนายอภิสิทธิ์ ขับเคลื่อนเข้ามาภายในกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 10 นาย ดูแลความเรียบร้อยอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้า ไม่ให้มีการบุกรุกเข้ามาในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพียงสั้นๆว่า “พร้อมจะชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่วิตกอะไร”
** "มาร์ค"ยันศอฉ.แค่ขอคืนพื้นที่จราจร
ภายหลังการเข้าให้ปากคำกว่า 3 ชั่วโมง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เดินทางมาให้ปากคำในฐานะพยาน กับกรณีที่มีการชันสูตรพลิกศพผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. และช่วงเดือนพ.ค.53 โดยอธิบายบทบาทหน้าที่ในช่วงนั้น ในฐานะนายกรัฐมนตรี และเป็นคนออกคำสั่งตั้ง ศอฉ. ขึ้นมา แต่ในรายละเอียดในส่วนการปฏิบัติงานของ ศอฉ. จะเป็นหน้าที่ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี สมัยนั้น และฐานะผอ.ศอฉ. เป็นผู้ดำเนินการ โดยยังได้อภิปรายถึงเหตุผลลำดับเหตุการณ์ ทั้งการเจรจา และการตัดสินใจขอคืนพื้นที่ต่างๆ ส่วนกรณีช่างภาพญี่ปุ่นที่เสียชีวิต เมื่อวันที่ 10 เม.ย.นั้น ต้องสอบถามทางเจ้าหน้าที่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ทางเจ้าหน้าที่มีความมุ่งหมาย คือการขอคืนพื้นที่การจราจร และทางการเจ้าหน้าที่จะหยุดการเคลื่อนไหวการชุมนุมก่อนมืด แต่กลับถูกโอบล้อม และมีการใช้อาวุธสงครามยิงเข้ามาใส่เจ้าหน้าที่ ก่อนเกิดเหตุชุลมุน
นอกจากนี้ ได้นำภาพถ่ายเป็นภาพเคลื่อนไหว และภาพนิ่งของชายชุดดำที่ปรากฏตัวในบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ ยังได้นำเอกสาร รวมทั้งแนวคำวินิจฉัยของศาลที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม และเท่าที่ทราบไม่มีประเด็นอะไรที่จะต้องเข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนแล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จากที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาระบุว่าเจ้าหน้าที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของกลุ่มผู้ชุมนุม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่มีเจ้าหน้าที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่ดีเอสไอ สมัยที่ตนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยมีการส่งสำนวนดังกล่าว ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติม ไม่ได้มีประเด็นอะไรใหม่ และทาง ร.ต.อ.เฉลิม ที่ได้ให้สัมภาษณ์ เกินเลยไปในข้อสรุปบางอย่าง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลก เนื่องจากมีการสอบสวนกันอยู่
เมื่อถามว่า รู้สึกวิตกกังวลหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่กังวล โดยส่วนตัวคิดว่า เจ้าหน้าที่ มีหน้าที่ทำแบบตรงไปตรงมา โดยขอย้ำว่า กระบวนการนี้มีความสำคัญต่อการเดินหน้าของประเทศ เพราะต้องค้นหาความจริง และถึงความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ฉะนั้นตนจึงต้องขอเตือนกับฝ่ายการเมือง ต้องไม่เข้าแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ หรือเข้ามาชี้นำ เพราะจะทำให้หมดความน่าเชื่อถือของกระบวนการทั้งหมดถูกกระทบ และจะไม่เป็นผลดีของประเทศไทยที่จะเดินเข้าสู่ความปรองดอง
"หากเจ้าหน้าที่ไม่ทำงานตรงไปตรงมา ทางเจ้าหน้าเองที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนคนที่เข้ามาชี้นำ จะไม่รับผิดชอบอะไรอย่างแน่นอน" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
**อนาถ"เจ๊ดา"นำแก๊งแดงโห่ไล่"มาร์ค"
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เดินทางไปให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ว่า ไม่ห่วงอะไร ซึ่งนายอภิสิทธิ์ คงไปชี้แจงตามปกติ ซึ่งในกรณีดังกล่าว ตนได้เคยยืนยันไปแล้วว่า ตนเป็นผู้สังการทั้งหมดในฐานะ ผอ.ศอฉ. และดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย
อย่างไรก็ตามทราบว่าระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ได้ไปชี้แจงนั้น ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งนำโดย นางดารุณี กฤตบุญญาลัย แสดงอาการก่อกวน โห่ไล่ ซึ่งตนเห็นแล้วน่าอนาถใจ และไม่เข้าใจว่า เหตุใดกลุ่มคนเหล่านี้ถึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น ทั้งที่พรรคเพื่อไทยที่พวกเขาสนับสนุนได้เป็นรัฐบาลแล้ว และมีกลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้ตำแหน่งทางการเมือง การมีพฤติกรรมเช่นนี้ จึงไม่แน่ใจว่ามีเป้าหมายอย่างไร
" ผมรู้สึกเอน็จอนาถใจ เหมือนไม่เลิกสักที สมัยที่ท่านอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ เวลาไปปฏิบัติหน้าที่ ก็จะมีคนพวกนี้ไปขัดขวางก่อกวน เอาตีนตบไปไล่ ไปโห่ พวกผมก็อดทนมาตลอด คิดว่าถ้ามีเลือกตั้งแล้ว มีการตั้งรัฐบาลใหม่ เขาเป็นรัฐบาลแล้วจะเรียบร้อย วันนี้ต้องให้คนเหล่านั้นไปถามพวกเดียวกันเองว่า จะเอาอะไรอีกกับคนไทย ได้อำนาจรัฐอยู่ในมือแล้ว พรรคพวกตัวเองเป็นรัฐบาล บางคนเป็นรัฐมนตรี เป็นเลขา เป็นที่ปรึกษา ไปมีอำนาจมีอิทธิพลอยู่ในรัฐบาล ทั้ง ๆที่เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ตั้งเยอะแยะ มันก็เป็นความเจ็บปวดของคนไทยอยู่แล้ว คนอื่นก็ยอมทุกอย่าง ทำไมฝ่ายผู้ชนะยังวุ่นวายไม่เลิกสักที ผมว่าเขาควรถามพรรคพวกตัวเองว่า เขาต้องการให้บ้านเมืองเป็นอย่างไรกันแน่ ผมรู้สึกเหมือนกับพวกเขาปากว่า ตาขยิบ เพราะท่านนายกฯพูดทุกวันว่าจะสมานฉันท์ แต่บรรดาลิ่วล้อบริวาร กลับเกะกะระราน หาเรื่องคน เรื่อยๆ แล้วแบบนี้จะสมานฉันท์ได้อย่างไร" นายสุเทพ กล่าว
** ห่วงแก้รธน.-นิรโทษทำบ้านเมืองวุ่น
นายสุเทพ กล่าวว่า มีความกังวลในสถานการณ์การเมืองต่อจากนี้ใน 3 ประเด็น ประกอบไปด้วย
1. มีขบวนการที่จะแก้กฎหมายในลักษณะที่เปิดทางให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะทหารมีหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ไม่ใช่กองทัพของคนใดคนหนึ่ง
2. มีความพยายามผลักดันกฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งหากมีการดำเนินการจริงเชื่อว่าประชาชนไม่สามารถรับได้
3. ความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด