“อภิสิทธิ์” ลั่นไม่ไปให้ปากคำตำรวจนครบาลคดี 91 ศพพรุ่งนี้ เหตุยังไม่ได้รับหนังสือเชิญสอบ งงเชิญผ่านสื่อ แถมนักข่าวและนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามรู้ก่อนเจ้าตัว ฉะ “เฉลิม” ให้สัมภาษณ์ชี้นำพนักงานสอบสวนตลอด เตือนต้องทำงานตรงไปตรงมา ยันพร้อมใช้สิทธิป้องกันตัวเอง ย้ำขวาง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเต็มที่ ขณะเดียวกัน เย้ย “จตุพร” รู้ตัวสู้คดีสิ้นสมาชิกภาพ ส.ส.ไม่ได้เลยปล่อยข่าวมีกระบวนการจ้องล้มรัฐบาลเพื่อสร้างกระแส
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสถาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจนครบาลระบุว่าส่งหนังสือเชิญให้ปากคำในคดีการเสียงชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมช่วงเดือน เม.ย.ถึง พ.ค.ในวันที่ 2 ธันวาคมแล้วว่า ยังไม่ได้รับหนังสือเชิญไปให้ปากคำจากทางนครบาล จึงไม่ทราบว่ามีการส่งหนังสือไปที่ไหนอย่างไร ซึ่งได้สอบถามนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ยังไม่ได้รับหนังสือเช่นกัน โดยในวันพรุ่งนี้ (2 ธ.ค.) ตนมีกำหนดการไปจังหวัดสุโขทัย
ทั้งนี้ ยืนยันว่าพวกตนพร้อมให้ความร่วมมือในการให้ข้อเท็จจริงอยู่แล้ว แต่แปลกใจว่าเรื่องการเชิญไม่เชิญอย่างไรกลายเป็นว่าสื่อบางฉบับกับนักการเมืองบางฝ่ายทราบก่อนเจ้าตัว ซึ่งเป็นเรื่องแปลก และไม่รู้สึกกดดันที่มีการให้ข่าวว่าทางตำรวจจัดห้องรอตนและนายสุเทพ เพราะพร้อมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว
“แต่ผมต้องถามว่า ถ้ากระบวนการแจ้งกลายเป็นการแจ้งสื่อกับนัการเมืองฝ่ายตรงข้ามก่อน กรรมการจะมีความเป็นกลางหรือเปล่า กรรมการต้องมาชี้แจงตรงนี้” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าทางตำรวจอ้างว่าควรจะได้รับทราบจากสื่อแล้ว การไม่ไปพบตำรวจพรุ่งนี้จะถูกกล่าวหว่าบิดพลิ้วได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีระบบนี้ และถ้าจะใช้ระบบนี้ตนจะได้ให้การผ่านสื่อบ้าง วันนี้ตนยังไม่ได้รับหนังสือก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ต้องถามทางกรรมการว่าจัดระบบอย่างไร
“ผมคิดว่าเป็นกระบวนการทางการเมืองที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าพยายามจะลากมาเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความคิดนิรโทษกรรม แต่ทุกอย่างต้องทำตรงไปตรงมาพวกผมให้ความร่วมมือเต็มที่ และไม่เคยกดดัน จึงอยากให้ชี้แจงว่าเหตุใดเรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่รองนายกฯ บอกได้ล่วงหน้าฟันธงเรียบร้อยทั้งที่ยังไม่มีการไปให้ข้อเท็จจริงเลย ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ทำอย่างตรงไปตรงมา ตัวเจ้าหน้าที่ก็จะมีปัญหาเอง เพราะฝ่ายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ต้องใช้สิทธิด้านอื่น ผมคิดว่าการให้สัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มีลักษณะชี้นำมากขึ้นทุกวันจึงอยากให้ระมัดระวังด้วย” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเร่งรัดดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจะเป็นแรงกดดันให้ต้องเห็นด้วยกับการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องนิรโทษกรรมเป็นคนละเรื่องกัน เพราะคนที่คัดค้านเรื่องนี้ไม่ได้ดูว่าผลประโยชน์จะตกอยู่กบใครแต่ดูผลประโยชน์ส่วนรวมว่า มีความเหมาะสมแค่ไหน จะกระทบกับระบบกฎหมาย ระบบนิติรัฐอย่างไร เรื่องนี้คณะกรรมการต่างๆ ก็ยังทำงานไม่เสร็จ ควรให้คนเหล่านี้ทำงานไปก่อน เมื่อวานนี้ก็มีการพิจารณากรณีที่จะให้สถาบันพระปกเกล้าศึกษาวิจัยเกียวกับแนวทางปรองดอง ก็ควรรอผลจากการทำงานของคณะกรรมการชุดต่างๆ ก่อน
ส่วนที่รัฐบาลเร่งทำเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมควบคู่ไปกับการกดดันในทางคดีจะมีผลอะไรในทางสังคมบ้าง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีความพยายามจะบอกว่าต้องทำเรื่องนี้ไม่อย่างนั้นจะไม่จบ แต่ตนอยากให้เข้าใจว่าการทำเรื่องนี้โดยไม่มีความชัดเจนในเหตุผลที่จะรองรับให้เป็นที่ยอมรับได้ของสังคมมีแต่จะสร้างความขัดแย้งรอบใหม่ ปัญหาหลายครั้ที่ผ่านมาคนมองที่ตัวบุคคลว่าใครเกี่ยวข้องอย่างไรและดูประโยชน์ตรงนั้นแทนที่จะดูภาพรวมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศ สิ่งที่เกิดขึ้นกับส่วนรวมควรแก้ไขอย่างไร ซึ่งตนยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและจะคัดค้านถึงที่สุด เพราะไม่ใช่การแก้ปัญหาให้ส่วนรวมแต่เป็นเรื่องของบุคคล
ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์ที่เกิดกับนายอภิสิทธิ์ในวันนี้ทำให้เกิดความหวั่นไหวหรือหวาดกลัวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ เพราะพวกตนที่ทำงานรู้ว่าอะไรเป็นอะไรและเชื่อว่าความจริงเป็นที่รับรู้ของสังคมจะเดินหน้ายืนยันความจริงต่อไป
ส่วนกรณีที่แกนนำคนเสื้อแดงเริ่มเคลื่อนไหวโดยประกาศจะรวมมวลชน 1 แสนคนเพื่อสนับสนุนการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ใครอยากแสดงออกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยสามารถทำได้แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายไม่ควรเคลื่อนไหวในลักษณะทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีการคุกคามหรือมีผลกระทบต่อคนที่มีหน้าที่ที่ต้องทำอย่างตรงไปตรงมา การใช้มวลชนกดดันมีแต่จะกระทบความน่าเชื่อถือในการทำงานของทุกหน่วยงาน ขณะนี้ต้องเข้าใจว่าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลน่าจะทำในสิ่งที่ทำให้เกิดความมั่นใจความน่าเชื่อถือมากกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า ดีเอสไอกำลังจะทบทวนคดีแกนนำ นปช.ปราศรัยหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะทำให้เกิดปัญหาตามมาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องมีคำตอบว่าเหตุผลคืออะไรไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่ากระบวนการยุติธรรมในช่วงต้นน้ำเป็นเรื่องที่ฝ่ายบริหารหรือฝ่ายผู้มีอำนาจเข้าไปกำหนดได้ ซึ่งจะเป็นอันตรายและตนมีความเป็นห่วงว่าที่รัฐบาลพยายามเดินอยู่ในขณะนี้จะทำให้เกิดความไม่สงบขึ้น เพราะขณะนี้ยังมีปัญหาเรื่องน้ำท่วมประชาชนต้องการเห็นความสามัคคีให้ประเทศเดินหน้า แต่น้ำยังไม่ทันลดรัฐบาลก็หยิบประเด็นที่เป็นข้อขัดแย้งขึ้นมา ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์กับใคร
ต่อข้อถามที่ว่า หากยังดำเนินการเช่นนี้หลังน้ำลด แทนที่บ้านเมืองจะสงบจะกลายเป็นลุกเป็นไฟหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยู่ที่รัฐบาลต้องตัดสินใจ ซึ่งในที่ประชุมสภาสถาบันพระปกเกล้ามีกรรมการหลายคนบอกว่า ถ้าต้องการให้เกิดควมสงบ ความปรองดอง มันมีหลายเรื่องที่ต้องทำและลดความขัดแย้งได้ รัฐบาลต้องให้ความสำคัญต่อการระดมทุกภาคส่วนมาฟื้นฟูประเทศหลังประสบภัยครั้งใหญ่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย หลีกเลี่ยงการนำเอาประเด็นปัญหาและเป็นผลประโยชน์ของคนเพียงบางกลุ่มขึ้นมา
ส่วนกรณีที่มีการขยายผลมติ กกต.ให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ พ้นสมาชิกภาพความเป็น ส.ส.ว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการล้มรัฐบาลนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นายจตุพรควรต่อสู้เรื่องข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ควรสร้างเรื่องว่ามีขบวนการหรือมีเบื้องหลังมีผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเรื่องนี้เป็นประเด็นข้อกฎหมายที่มีการร้องเกือบตลอดเวลาเกี่ยวกับการขาดคุณสมบัติของ ส.ส.
“ผมไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะมีธงตามที่คุณจตุพรกล่าวอ้าง คุณจตุพรควรจะต่อสู้ตามสิทธิของตัวเอง หรือคุณจตุพรคิดว่าต่อสู้ไม่ได้จึงต้องใช้วิธีนี้ ถ้ามวลชนมากดดันองค์กรอิสระอีกก็จะย้อนกลับไปยังที่มาที่เป็นวิกฤตของประเทศทั้งหมด วันนี้ต้องทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนว่า เรื่องผิดถูกโดยเฉพาะเรื่องกฎหมาย กระบวนการของศาลจะต้องมีความเป็นอิสระในการตัดสิน บางครั้งคำตัดสินอาจถูกใจไม่ถูกใจคนบ้าง แต่เรื่องความถูกต้องกับความถูกใจเอามาปนกันไม่ได้ นายกฯควรต้องบอกชัดเจนกับผู้สนับสนุนว่า วันนี้เป็นเวลาที่ทุกฝ่ายควรจะลดละเรื่องที่จะเอาประเด็นความขัดแย้งขึ้นมา ปล่อยให้หน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งองค์กรอิสระได้ทำหน้าที่ และแสดงความเป็นผู้นำในเรื่องนี้ เพราะคนที่เคลื่อนไหวก็เป็นผู้ที่สนับสนุนฝ่ายนายกฯ ทั้งสิ้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว