ผีบุญของญี่ปุ่นในยุคนี้คือนายอะซาฮาระ
แล้วผีบุญของไทยคือใคร?
เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้วมาศาลสูงกรุงโตเกียวได้ออกบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยยกคำขออุทธรณ์โทษประหารชีวิตสาวกคนสุดท้ายของนิกายโอมชินริเกียว ( オウム真理教) นายเซอิชิ เอนโด (แถวสอง คนที่สองจากขวามือในรูปแรก) ที่ได้ก่อกรรมกับชาวญี่ปุ่นมาเกือบสองทศวรรษ เป็นการปิดฉากคดีสะเทือนขวัญที่ได้มีการพิจารณามากว่า 16 ปีอย่างไม่มีวันหวนกลับ
โอมชินริเกียว หากแปลตามชื่อก็อาจได้ความว่าเป็น นิกายของความจริง เพราะ โอม ที่เขียนโดยตัวคะตะคานะ( オウム) ที่มักเห็นเขียน ॐ หรือ ओम् หรือ प्रणवหมายถึงจักรวาลในภาษาสันสฤต ขณะที่ตัวคันจิ (真理教) หมายถึงความจริงอย่างที่สุด เป็นนิกายที่มีนายโชะโก อะซาฮาระ (麻原 彰晃, ) หรือชื่อจริงคือนายชิซุโอะ มัตซึโมโตะ (松本 智津夫, ) เป็นเจ้านิกาย ก่อตั้งในปี 1984 ภายหลังจากที่นายอะซาฮาระกลับมาจากอินเดียและอ้างว่าได้บรรลุโดยพบความจริงอันเป็นที่สุดแล้ว
การอ้างตัวว่าค้นพบความจริงอันเป็นที่สุดและบรรลุแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดเพราะมีคนอีกมากในสังคมทั่วโลกแม้ในประเทศไทยที่อ้างเช่นนั้น ขึ้นอยู่กับความเชื่อและวิจารณญาณของแต่ละคนว่าจะเชื่อหรือไม่ แต่ที่เป็นอันตรายก็คือการทำอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนร่วมชาติเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ
นายอะซาฮาระกับสาวกของเขาทำร้ายคนไปกี่คนก็ไม่แน่ชัด แต่ที่นำมากล่าวโทษต่อศาลก็มี 3 กรณีสำคัญคือ การฆาตกรรมครอบครัวนายซะกาโมโตะทนายความที่กำลังดำเนินคดีกับนายอะซาฮาระว่าฉ้อโกงเงินบริจาคที่ให้กับนิกายโอมชินริเกียว เนื่องจากกลัวจะถูกเปิดโปงว่าตนเองไม่ได้มีอะไรที่เป็นพิเศษกว่ามนุษย์ปุถุชนคนอื่นๆ ทนายซะกาโมโตะ ภรรยา และลูกวัย 14 เดือนจึงถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ทำลายศพและนำไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ หลายแห่งเพื่ออำพรางคดี
นอกจากนี้นายอะซาฮาระกับสาวกยังได้พัฒนาก๊าซสาริน (sarin) อันเป็นสารพิษทำลายระบบประสาทที่มีอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต โดยนำมาทดลองใช้เป็นอาวุธเคมีในพื้นที่จังหวัดมัตซึโมโตะ ระหว่างคืนวันที่ 27 มิ.ย. 1994 ส่งผลให้มีคนตายไป 8 คนบาดเจ็บอีกกว่า 200 คน แต่การสอบสวนของตำรวจในขณะนั้นกลับมุ่งไปที่ร้านค้าที่สะสมยาฆ่าแมลงที่ภรรยาเจ้าของร้านได้รับพิษจนอาการโคม่าจากก๊าซสารินทั้งๆ ที่ก๊าซสารินไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้จากยาฆ่าแมลง
เมื่อการทดลองอาวุธเคมีได้ผล นายอะซาฮาระกับสาวกของเขาจึงมุ่งการใหญ่ไปที่การใช้ก๊าซสารินในบริเวณพื้นที่จำกัดแต่มีคนมารวมอยู่มากนั่นก็คือรถไฟใต้ดินในกรุงโตเกียวในตอนเช้าเวลาเร่งด่วนของวันที่ 20 มี.ค. 1995
ใครที่เคยไปหรือดูข่าวจะทราบว่ารถไฟใต้ดินของกรุงโตเกียวในช่วงเวลาเร่งด่วนตอนเช้าจะมีคนใช้บริการอย่างหนาแน่นถึงขนาดต้องมีการดันก้นดันหลังผู้โดยสารเพื่อให้สามารถปิดประตูรถได้ นายอะซาฮาระกับพวกวางแผนใช้ถุงพลาสติกบรรจุก๊าซสารินที่อยู่ในสภาพของเหลวจำนวนสองถุงๆละประมาณ 500 ม.ล.ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์และใช้ปลายร่มด้านแหลมทิ่มแทงให้สารินไหลออกมาระเหยเป็นก๊าซ เป้าหมายคือขบวนรถไฟใต้ดินจำนวน 5 ขบวนโดยใช้คน 10 คนแบ่งเป็น 5 ทีมๆ ละ 2 คน โดยคนหนึ่งจะเป็นคนนำสารินเข้าไปและทำให้ระเหยเป็นก๊าซและหลบหนีออกมาขึ้นรถที่อีกคนหนึ่งจะขับมารอรับที่สถานีที่กำหนด
เนื่องจากในขณะนั้นยังไม่เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าผลกระทบของก๊าซสารินต่อคนเป็นอย่างไร แต่เป็นโชคดีที่มีแพทย์จากมหาวิทยาลัยชินชูที่รับรู้ถึงอาการจากผู้ป่วยที่ได้รับก๊าซสารินจากการทดลองโจมตีที่เมืองมัตซึโมโตะเมื่อปีที่ผ่านมา ได้เห็นข่าวจากทางโทรทัศน์และเป็นผู้แจ้งกับทางการ ผู้ป่วยที่ได้รับก๊าซสารินจึงสามารถรับการรักษาอย่างถูกต้องทันกาล แต่ก็ทำให้ผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่รถไฟ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยเสียชีวิตไป 13 คน บาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นพิการ 47 คน บาดเจ็บสาหัส 1,077 คนและที่ไม่สาหัสกว่า 5,000 คน
มีการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่องตามมา มีหลักฐานความพยายามปล่อยก๊าซไซยาไนด์ที่สถานีรถไฟชิจูกุ มีการลอบยิงหัวหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่หน้าบ้านพัก ส่งผลให้เกิดการตื่นตระหนกของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง
ตำรวจได้เข้าจับกุมนายอะซาฮาระในเวลาต่อมาสืบเนื่องจากหลักฐานการเข้าจับกุม ตรวจค้นและพบสารเคมีและอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตสารสารินในสถานที่ที่นิกายโอมชินริเกียวเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำให้การของผู้นำเอาสารสารินไปปล่อยในรถไฟเพื่อแลกกับการไม่ถูกโทษประหารชีวิต
มูลเหตุจูงใจในการทำร้ายเพื่อนมนุษย์จากการใช้ก๊าซสารินทั้งสองครั้งยังเป็นที่เคลือบแคลง เพราะเป็นการกระทำต่อผู้ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเป็นคู่ขัดแย้งกับนิกายนี้แต่อย่างใด
อัยการกล่าวว่าเป็นความพยายามที่จะล้มรัฐบาลและเปลี่ยนแปลงการปกครองให้นายอะซาฮาระเป็นจักรพรรดิอันเนื่องมาจากสาวกผู้ใกล้ชิดมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีด้านต่างๆ ในนิกายฯ มีการซื้อเฮลิคอปเตอร์เพื่อเตรียมการโปรยสารินเหนือกรุงโตเกียวเพื่อนำไปสู่การยึดอำนาจ ในขณะที่ทนายของนายอะซาฮาระแก้ต่างว่าเป็นการกระทำของสาวกของเขาอย่างอิสระที่ตีความได้ว่าเขาไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยแต่อย่างใด แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาสนับสนุนได้ว่าสาวกเหล่านั้นทำไปเพื่อจุดประสงค์อันใด การพิจารณาคดีนายอะซาฮาระใช้เวลากว่า 8 ปี
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ออกกฎหมายในปี 2008 ให้รัฐเป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายต่อผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีจากนิกายนี้โดยถือว่าเป็นการกระทำที่มีจุดประสงค์มุ่งร้ายต่อรัฐหรือในปัจจุบันก็ถือได้ว่าเป็นการก่อการร้ายนั่นเอง
ไม่ว่าจุดประสงค์ของนายอะซาฮาระจะเป็นอย่างไร แต่เขาได้พาสาวกของเขาเกือบร้อยคนที่ส่วนใหญ่มีการศึกษาดี มีอนาคตและครอบครัวไปสู่ความวิบัติ 13 คนรวมถึงตัวเขารอวันเวลาในการประหาร 5 คนถูกจำคุกตลอดชีวิตในขณะที่อีก 80 คนได้รับโทษจำคุกลดหลั่นกันไป มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ยังไม่ได้ตัวมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและยังหลบหนีโดยมีค่าหัวอยู่ นายเอนโดเป็นคนสุดท้ายที่ขออุทธรณ์คำตัดสินประหารชีวิตและก็ได้รับการปฏิเสธเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ปัจจัยอะไรที่ทำให้สาวกเหล่านี้หลงใหลไปกับผีบุญเช่นเขาไปได้
การขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่มีศาสนาที่แท้จริงของคนญี่ปุ่นดูจะเป็นคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
แม้กระบวนการยุติธรรมจะใช้เวลากว่า 16 ปีและไม่สามารถทำให้ผู้ที่เสียชีวิตหรือพิการได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ก็เป็นเสาหลักให้กับสังคมที่จะยึดถือได้ว่าบ้านเมืองยังมีขื่อแป ผีบุญอย่างนายอะซาฮาระจึงต้องชดใช้กรรมที่ได้ทำไว้ แม้ว่าจะมีข้อวิพากษ์เป็นอย่างมากเกี่ยวกับการไม่ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับนิกายนี้ของตำรวจทั้งๆ ที่หากกระทำก่อนหน้านี้ก็อาจสามารถป้องกันชีวิตของผู้บริสุทธิ์ได้อีกหลายคน อัยการผู้ดำเนินคดีนี้ได้เปิดเผยในภายหลังว่า หากมี กม.ที่สามารถต่อรองโทษจะสามารถทำให้ได้ข้อมูลจากสาวกผู้ถูกจับกุมมาดำเนินคดีกับผีบุญนายอะซาฮาระผู้มากด้วยเงินและความเชื่อได้ก่อนที่จะเกิดการโจมตีด้วยก๊าซสารินกับผู้โดยสารรถไฟใต้ดิน
กลับมาที่ประเทศไทยในยุคนายกฯ หุ่นโชว์ กระบวนการยุติธรรมดูจะ “รวน” ไปทุกส่วนเพราะส่วนใหญ่มุ่งตอบสนองต่อกระแสทางการเมืองมากกว่าดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม นี่คือบททดสอบที่สำคัญว่าประเทศไทยจะสามารถยกระดับเป็นประเทศที่พัฒนาได้แล้วหรือยัง เพราะการพัฒนามิได้หมายถึงการมีรายได้หรือมี GDP เติบโตในเปอร์เซ็นต์สูงๆ แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องมีหลักความเสมอภาคให้ยึดถือด้วย
หากจะกล่าวว่า “เขา” คือผีบุญของเมืองไทยก็คงไม่ผิด เพราะเจตนาของ “เขา” นั้นชัดเจนกว่านายอะซาฮาระมาตั้งแต่ต้นว่ามุ่งดีหรือร้ายกับสังคมของไทย พฤติกรรมของ “เขา” ไม่แตกต่างไปจากที่นายอะซาฮาระทำ ผลประโยชน์ของ “เขา” ต้องมาก่อนผลประโยชน์ของชาติเป็นข้อพิสูจน์ที่ดี สังคมเราจะปรองดองกับผีบุญเช่นนี้ได้อย่างไร
***************
*1 The Japan Foundation Fellow บทความนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน Japan Foundation ไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องแต่อย่างใด
แล้วผีบุญของไทยคือใคร?
เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้วมาศาลสูงกรุงโตเกียวได้ออกบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยยกคำขออุทธรณ์โทษประหารชีวิตสาวกคนสุดท้ายของนิกายโอมชินริเกียว ( オウム真理教) นายเซอิชิ เอนโด (แถวสอง คนที่สองจากขวามือในรูปแรก) ที่ได้ก่อกรรมกับชาวญี่ปุ่นมาเกือบสองทศวรรษ เป็นการปิดฉากคดีสะเทือนขวัญที่ได้มีการพิจารณามากว่า 16 ปีอย่างไม่มีวันหวนกลับ
โอมชินริเกียว หากแปลตามชื่อก็อาจได้ความว่าเป็น นิกายของความจริง เพราะ โอม ที่เขียนโดยตัวคะตะคานะ( オウム) ที่มักเห็นเขียน ॐ หรือ ओम् หรือ प्रणवหมายถึงจักรวาลในภาษาสันสฤต ขณะที่ตัวคันจิ (真理教) หมายถึงความจริงอย่างที่สุด เป็นนิกายที่มีนายโชะโก อะซาฮาระ (麻原 彰晃, ) หรือชื่อจริงคือนายชิซุโอะ มัตซึโมโตะ (松本 智津夫, ) เป็นเจ้านิกาย ก่อตั้งในปี 1984 ภายหลังจากที่นายอะซาฮาระกลับมาจากอินเดียและอ้างว่าได้บรรลุโดยพบความจริงอันเป็นที่สุดแล้ว
การอ้างตัวว่าค้นพบความจริงอันเป็นที่สุดและบรรลุแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดเพราะมีคนอีกมากในสังคมทั่วโลกแม้ในประเทศไทยที่อ้างเช่นนั้น ขึ้นอยู่กับความเชื่อและวิจารณญาณของแต่ละคนว่าจะเชื่อหรือไม่ แต่ที่เป็นอันตรายก็คือการทำอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนร่วมชาติเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ
นายอะซาฮาระกับสาวกของเขาทำร้ายคนไปกี่คนก็ไม่แน่ชัด แต่ที่นำมากล่าวโทษต่อศาลก็มี 3 กรณีสำคัญคือ การฆาตกรรมครอบครัวนายซะกาโมโตะทนายความที่กำลังดำเนินคดีกับนายอะซาฮาระว่าฉ้อโกงเงินบริจาคที่ให้กับนิกายโอมชินริเกียว เนื่องจากกลัวจะถูกเปิดโปงว่าตนเองไม่ได้มีอะไรที่เป็นพิเศษกว่ามนุษย์ปุถุชนคนอื่นๆ ทนายซะกาโมโตะ ภรรยา และลูกวัย 14 เดือนจึงถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ทำลายศพและนำไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ หลายแห่งเพื่ออำพรางคดี
นอกจากนี้นายอะซาฮาระกับสาวกยังได้พัฒนาก๊าซสาริน (sarin) อันเป็นสารพิษทำลายระบบประสาทที่มีอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต โดยนำมาทดลองใช้เป็นอาวุธเคมีในพื้นที่จังหวัดมัตซึโมโตะ ระหว่างคืนวันที่ 27 มิ.ย. 1994 ส่งผลให้มีคนตายไป 8 คนบาดเจ็บอีกกว่า 200 คน แต่การสอบสวนของตำรวจในขณะนั้นกลับมุ่งไปที่ร้านค้าที่สะสมยาฆ่าแมลงที่ภรรยาเจ้าของร้านได้รับพิษจนอาการโคม่าจากก๊าซสารินทั้งๆ ที่ก๊าซสารินไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้จากยาฆ่าแมลง
เมื่อการทดลองอาวุธเคมีได้ผล นายอะซาฮาระกับสาวกของเขาจึงมุ่งการใหญ่ไปที่การใช้ก๊าซสารินในบริเวณพื้นที่จำกัดแต่มีคนมารวมอยู่มากนั่นก็คือรถไฟใต้ดินในกรุงโตเกียวในตอนเช้าเวลาเร่งด่วนของวันที่ 20 มี.ค. 1995
ใครที่เคยไปหรือดูข่าวจะทราบว่ารถไฟใต้ดินของกรุงโตเกียวในช่วงเวลาเร่งด่วนตอนเช้าจะมีคนใช้บริการอย่างหนาแน่นถึงขนาดต้องมีการดันก้นดันหลังผู้โดยสารเพื่อให้สามารถปิดประตูรถได้ นายอะซาฮาระกับพวกวางแผนใช้ถุงพลาสติกบรรจุก๊าซสารินที่อยู่ในสภาพของเหลวจำนวนสองถุงๆละประมาณ 500 ม.ล.ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์และใช้ปลายร่มด้านแหลมทิ่มแทงให้สารินไหลออกมาระเหยเป็นก๊าซ เป้าหมายคือขบวนรถไฟใต้ดินจำนวน 5 ขบวนโดยใช้คน 10 คนแบ่งเป็น 5 ทีมๆ ละ 2 คน โดยคนหนึ่งจะเป็นคนนำสารินเข้าไปและทำให้ระเหยเป็นก๊าซและหลบหนีออกมาขึ้นรถที่อีกคนหนึ่งจะขับมารอรับที่สถานีที่กำหนด
เนื่องจากในขณะนั้นยังไม่เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าผลกระทบของก๊าซสารินต่อคนเป็นอย่างไร แต่เป็นโชคดีที่มีแพทย์จากมหาวิทยาลัยชินชูที่รับรู้ถึงอาการจากผู้ป่วยที่ได้รับก๊าซสารินจากการทดลองโจมตีที่เมืองมัตซึโมโตะเมื่อปีที่ผ่านมา ได้เห็นข่าวจากทางโทรทัศน์และเป็นผู้แจ้งกับทางการ ผู้ป่วยที่ได้รับก๊าซสารินจึงสามารถรับการรักษาอย่างถูกต้องทันกาล แต่ก็ทำให้ผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่รถไฟ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยเสียชีวิตไป 13 คน บาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นพิการ 47 คน บาดเจ็บสาหัส 1,077 คนและที่ไม่สาหัสกว่า 5,000 คน
มีการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่องตามมา มีหลักฐานความพยายามปล่อยก๊าซไซยาไนด์ที่สถานีรถไฟชิจูกุ มีการลอบยิงหัวหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่หน้าบ้านพัก ส่งผลให้เกิดการตื่นตระหนกของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง
ตำรวจได้เข้าจับกุมนายอะซาฮาระในเวลาต่อมาสืบเนื่องจากหลักฐานการเข้าจับกุม ตรวจค้นและพบสารเคมีและอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตสารสารินในสถานที่ที่นิกายโอมชินริเกียวเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำให้การของผู้นำเอาสารสารินไปปล่อยในรถไฟเพื่อแลกกับการไม่ถูกโทษประหารชีวิต
มูลเหตุจูงใจในการทำร้ายเพื่อนมนุษย์จากการใช้ก๊าซสารินทั้งสองครั้งยังเป็นที่เคลือบแคลง เพราะเป็นการกระทำต่อผู้ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเป็นคู่ขัดแย้งกับนิกายนี้แต่อย่างใด
อัยการกล่าวว่าเป็นความพยายามที่จะล้มรัฐบาลและเปลี่ยนแปลงการปกครองให้นายอะซาฮาระเป็นจักรพรรดิอันเนื่องมาจากสาวกผู้ใกล้ชิดมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีด้านต่างๆ ในนิกายฯ มีการซื้อเฮลิคอปเตอร์เพื่อเตรียมการโปรยสารินเหนือกรุงโตเกียวเพื่อนำไปสู่การยึดอำนาจ ในขณะที่ทนายของนายอะซาฮาระแก้ต่างว่าเป็นการกระทำของสาวกของเขาอย่างอิสระที่ตีความได้ว่าเขาไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยแต่อย่างใด แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาสนับสนุนได้ว่าสาวกเหล่านั้นทำไปเพื่อจุดประสงค์อันใด การพิจารณาคดีนายอะซาฮาระใช้เวลากว่า 8 ปี
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ออกกฎหมายในปี 2008 ให้รัฐเป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายต่อผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีจากนิกายนี้โดยถือว่าเป็นการกระทำที่มีจุดประสงค์มุ่งร้ายต่อรัฐหรือในปัจจุบันก็ถือได้ว่าเป็นการก่อการร้ายนั่นเอง
ไม่ว่าจุดประสงค์ของนายอะซาฮาระจะเป็นอย่างไร แต่เขาได้พาสาวกของเขาเกือบร้อยคนที่ส่วนใหญ่มีการศึกษาดี มีอนาคตและครอบครัวไปสู่ความวิบัติ 13 คนรวมถึงตัวเขารอวันเวลาในการประหาร 5 คนถูกจำคุกตลอดชีวิตในขณะที่อีก 80 คนได้รับโทษจำคุกลดหลั่นกันไป มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ยังไม่ได้ตัวมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและยังหลบหนีโดยมีค่าหัวอยู่ นายเอนโดเป็นคนสุดท้ายที่ขออุทธรณ์คำตัดสินประหารชีวิตและก็ได้รับการปฏิเสธเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ปัจจัยอะไรที่ทำให้สาวกเหล่านี้หลงใหลไปกับผีบุญเช่นเขาไปได้
การขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่มีศาสนาที่แท้จริงของคนญี่ปุ่นดูจะเป็นคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
แม้กระบวนการยุติธรรมจะใช้เวลากว่า 16 ปีและไม่สามารถทำให้ผู้ที่เสียชีวิตหรือพิการได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ก็เป็นเสาหลักให้กับสังคมที่จะยึดถือได้ว่าบ้านเมืองยังมีขื่อแป ผีบุญอย่างนายอะซาฮาระจึงต้องชดใช้กรรมที่ได้ทำไว้ แม้ว่าจะมีข้อวิพากษ์เป็นอย่างมากเกี่ยวกับการไม่ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับนิกายนี้ของตำรวจทั้งๆ ที่หากกระทำก่อนหน้านี้ก็อาจสามารถป้องกันชีวิตของผู้บริสุทธิ์ได้อีกหลายคน อัยการผู้ดำเนินคดีนี้ได้เปิดเผยในภายหลังว่า หากมี กม.ที่สามารถต่อรองโทษจะสามารถทำให้ได้ข้อมูลจากสาวกผู้ถูกจับกุมมาดำเนินคดีกับผีบุญนายอะซาฮาระผู้มากด้วยเงินและความเชื่อได้ก่อนที่จะเกิดการโจมตีด้วยก๊าซสารินกับผู้โดยสารรถไฟใต้ดิน
กลับมาที่ประเทศไทยในยุคนายกฯ หุ่นโชว์ กระบวนการยุติธรรมดูจะ “รวน” ไปทุกส่วนเพราะส่วนใหญ่มุ่งตอบสนองต่อกระแสทางการเมืองมากกว่าดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม นี่คือบททดสอบที่สำคัญว่าประเทศไทยจะสามารถยกระดับเป็นประเทศที่พัฒนาได้แล้วหรือยัง เพราะการพัฒนามิได้หมายถึงการมีรายได้หรือมี GDP เติบโตในเปอร์เซ็นต์สูงๆ แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องมีหลักความเสมอภาคให้ยึดถือด้วย
หากจะกล่าวว่า “เขา” คือผีบุญของเมืองไทยก็คงไม่ผิด เพราะเจตนาของ “เขา” นั้นชัดเจนกว่านายอะซาฮาระมาตั้งแต่ต้นว่ามุ่งดีหรือร้ายกับสังคมของไทย พฤติกรรมของ “เขา” ไม่แตกต่างไปจากที่นายอะซาฮาระทำ ผลประโยชน์ของ “เขา” ต้องมาก่อนผลประโยชน์ของชาติเป็นข้อพิสูจน์ที่ดี สังคมเราจะปรองดองกับผีบุญเช่นนี้ได้อย่างไร
***************
*1 The Japan Foundation Fellow บทความนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน Japan Foundation ไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องแต่อย่างใด