ผมจำได้ว่าคุณสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ทำหนังสือยืนยันจากกระทรวงการต่างประเทศต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทยเมื่อปี พ.ศ. 2551 ให้ทหารถืออาวุธคอยอารักขาเจ้าหน้าที่จากยูเนสโกที่เข้ามาตรวจพื้นที่และคอยควบคุมไม่ให้กัมพูชาใช้บันไดทางด้านทิศเหนือของตัวปราสาทเพราะเป็นดินแดนประเทศไทย แต่ถ้าหากกัมพูชาจะขึ้นมาก็ให้ใช้บันไดทางขึ้นด้านช่องบันไดหักแทน รัฐบาลคุณสมชาย ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เขย (ลุงเขย) ของนายกฯ หญิงได้ยืนยันถึงพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารว่าเป็นของไทยอย่างชัดเจน
ผมอยากขอบอกท่านนายกฯ หญิงอีกสักเรื่องหนึ่งว่าก่อนหน้าที่รัฐบาลของคุณชวน หลีกภัย จะไปทำข้อตกลงไทย-ลาว เมื่อประมาณ พ.ศ. 2539 และ MOU 43 สภาพโดยทั่วไปของ “เขาพระวิหาร” เมื่อ พ.ศ. 2543 พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย เรามีรั้วลวดหนามที่ล้อมตัวปราสาทไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีปี พ.ศ. 2505 ดังนั้นนอกรั้วลวดหนามทหารพรานและกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ดูแลอย่างชัดแจ้ง เพราะเราได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 ในฐานะเป็นประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ ประเทศจึงจำใจต้องให้อำนาจอธิปไตยที่ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา หรือพูดง่ายๆ ก็คือเราให้อำนาจอธิปไตยเป็นเพียงแค่ซากปรักหักพังแต่มิได้ยกดินแดนให้ พื้นที่ทับซ้อนจึงอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ที่รองรับตัวปราสาทพระวิหาร แต่ในขณะเดียวกัน เราได้มีหนังสือตั้งข้อสงวนสิทธิ์ที่จะเรียกคืนตัวปราสาทในอนาคตโดยได้กระทำต่อหน้าสมาชิกของสหประชาชาติผ่านรักษาการเลขาธิการของสหประชาชาติในเวลานั้น
ตามหนังสือของกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 กับทั้งมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เราไม่ได้ยกดินแดนโดยรอบและดินแดนใต้ตัวปราสาทให้แก่กัมพูชา แต่เราให้กัมพูชาเข้ามาใช้อำนาจในบริเวณที่ตัวปราสาทโดยเว้นด้านช่องบันไดหักเพื่อให้กัมพูชาได้เข้ามาได้ และประเทศไทยได้ล้อมรั้วลวดหนามยาว 7,000 เมตร ครอบตัวปราสาทพระวิหารคิดเป็นเนื้อที่ทั้งหมด 150 ไร่ เรายังได้จัดทำป้ายทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส โดยมีเนื้อหาใจความว่า นี่คือเขตอาณาบริเวณปราสาทพระวิหาร จากคำสัมภาษณ์ของจอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม และจอมพลประภาส ให้การตรงกันว่า เราไม่ได้ยกดินแดนแต่เราให้เขมรใช้ที่ดินที่รองรับตัวปราสาทกับทั้งอำนาจอธิปไตยที่ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา (ชั่วคราว) ตามคำตัดสินของศาลโลกภายใต้การสงวนสิทธิ์และไม่ยอมรับคำตัดสิน
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอเตือนนายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ว่าเรามิได้ยกดินแดนโดยรอบให้กับกัมพูชาแต่อย่างใด และการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกอันเกิดขึ้นจากความต้องการของกัมพูชาที่จะให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่ การที่ศาลมีอำนาจในการตีความนี้เป็นการรู้เห็นเป็นใจทั้งฝ่ายกัมพูชาและศาล เมื่อเราเดินทางไปศาลเพื่อแก้ข้อกล่าวหาของกัมพูชา ศาลกลับยกคำคัดค้านของฝ่ายไทย (อันนี้เป็นเพราะข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศบางคนทำสำนวนอ่อน)
อย่างไรก็ดี แผนผังที่ปรากฏตอนท้ายของการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลนั้น ฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาจับยัดมือให้ศาลโลก กัมพูชาจึงได้เปรียบไทยและประเทศไทยของเราอาจสูญเสียดินแดน การที่ท่านนายกฯ หญิงเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อขอความเห็นและมติเรื่องการถอนทหารออกจากพื้นที่ตามคำสั่งของมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลนั้น ย่อมเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนอย่างยิ่ง เพราะประเทศไทยทั้งรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย และคุณทักษิณ ชินวัตร ต่างยอมรับแผนที่ 1:200,000 ให้มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ อันมีผลมาจากการทำความตกลงไทย-ลาว MOU 43 และ TOR 46
ดังนั้นศาลโลกและโดยการสนับสนุนจากหลักฐานอย่างแข็งขันของกัมพูชาและการทำสำนวนอ่อนด้อยของฝ่ายไทย ศาลโลกย่อมเข้าใจว่าประเทศไทยยินดีใช้แผนที่เก๊มาตราส่วน 1:200,000 ที่ไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนฯ และศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 ก็ไม่เคยตัดสินแผนที่และเส้นเขตแดนบนแผนที่เก๊เลย แต่คราวนี้ประเทศไทยจะต้องสูญเสียดินแดนและอับอายขายหน้าไปทั่วโลก เพราะเรานำแผนที่เก๊ไปใช้ต่อประเทศเพื่อนบ้านให้มีผลผูกพันดังที่กล่าวมาข้างต้น ศาลโลกต้องเข้าใจต่อไปว่าการที่ฝ่ายกัมพูชาเสนอแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรักเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก และศาลโลกก็เป็นเพราะว่าไทยยอมรับแผนที่ตาม MOU 43 และ TOR 46 กับทั้งที่มีประจักษ์พยานว่าฝ่ายไทยได้ยอมรับแผนที่แล้วจากการไปทำความตกลงไทย-ลาว
ผมจึงอยากขอเสนอให้ท่านนายกฯ หญิงกล้าตัดสินใจยกเลิกความตกลงไทย-ลาว MOU 43 และ TOR 46 เพื่อแก้ไขสถานการณ์และอย่าไปศาลโลกเลย เพราะศาลโลกเป็นศาลที่อยุติธรรมกับประเทศไทยเสมอมา อนึ่ง ผมไม่อยากให้ประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเราชาวไทย ต้องสูญเสียดินแดนเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษาเลย เพราะจะเป็นเรื่องน่าอายระดับที่ไทยยังต้องสูญเสียดินแดนอีกในปัจจุบัน
ผมอยากขอบอกท่านนายกฯ หญิงอีกสักเรื่องหนึ่งว่าก่อนหน้าที่รัฐบาลของคุณชวน หลีกภัย จะไปทำข้อตกลงไทย-ลาว เมื่อประมาณ พ.ศ. 2539 และ MOU 43 สภาพโดยทั่วไปของ “เขาพระวิหาร” เมื่อ พ.ศ. 2543 พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย เรามีรั้วลวดหนามที่ล้อมตัวปราสาทไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีปี พ.ศ. 2505 ดังนั้นนอกรั้วลวดหนามทหารพรานและกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ดูแลอย่างชัดแจ้ง เพราะเราได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 ในฐานะเป็นประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ ประเทศจึงจำใจต้องให้อำนาจอธิปไตยที่ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา หรือพูดง่ายๆ ก็คือเราให้อำนาจอธิปไตยเป็นเพียงแค่ซากปรักหักพังแต่มิได้ยกดินแดนให้ พื้นที่ทับซ้อนจึงอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ที่รองรับตัวปราสาทพระวิหาร แต่ในขณะเดียวกัน เราได้มีหนังสือตั้งข้อสงวนสิทธิ์ที่จะเรียกคืนตัวปราสาทในอนาคตโดยได้กระทำต่อหน้าสมาชิกของสหประชาชาติผ่านรักษาการเลขาธิการของสหประชาชาติในเวลานั้น
ตามหนังสือของกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 กับทั้งมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เราไม่ได้ยกดินแดนโดยรอบและดินแดนใต้ตัวปราสาทให้แก่กัมพูชา แต่เราให้กัมพูชาเข้ามาใช้อำนาจในบริเวณที่ตัวปราสาทโดยเว้นด้านช่องบันไดหักเพื่อให้กัมพูชาได้เข้ามาได้ และประเทศไทยได้ล้อมรั้วลวดหนามยาว 7,000 เมตร ครอบตัวปราสาทพระวิหารคิดเป็นเนื้อที่ทั้งหมด 150 ไร่ เรายังได้จัดทำป้ายทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส โดยมีเนื้อหาใจความว่า นี่คือเขตอาณาบริเวณปราสาทพระวิหาร จากคำสัมภาษณ์ของจอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม และจอมพลประภาส ให้การตรงกันว่า เราไม่ได้ยกดินแดนแต่เราให้เขมรใช้ที่ดินที่รองรับตัวปราสาทกับทั้งอำนาจอธิปไตยที่ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา (ชั่วคราว) ตามคำตัดสินของศาลโลกภายใต้การสงวนสิทธิ์และไม่ยอมรับคำตัดสิน
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอเตือนนายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ว่าเรามิได้ยกดินแดนโดยรอบให้กับกัมพูชาแต่อย่างใด และการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกอันเกิดขึ้นจากความต้องการของกัมพูชาที่จะให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่ การที่ศาลมีอำนาจในการตีความนี้เป็นการรู้เห็นเป็นใจทั้งฝ่ายกัมพูชาและศาล เมื่อเราเดินทางไปศาลเพื่อแก้ข้อกล่าวหาของกัมพูชา ศาลกลับยกคำคัดค้านของฝ่ายไทย (อันนี้เป็นเพราะข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศบางคนทำสำนวนอ่อน)
อย่างไรก็ดี แผนผังที่ปรากฏตอนท้ายของการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลนั้น ฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาจับยัดมือให้ศาลโลก กัมพูชาจึงได้เปรียบไทยและประเทศไทยของเราอาจสูญเสียดินแดน การที่ท่านนายกฯ หญิงเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อขอความเห็นและมติเรื่องการถอนทหารออกจากพื้นที่ตามคำสั่งของมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลนั้น ย่อมเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนอย่างยิ่ง เพราะประเทศไทยทั้งรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย และคุณทักษิณ ชินวัตร ต่างยอมรับแผนที่ 1:200,000 ให้มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ อันมีผลมาจากการทำความตกลงไทย-ลาว MOU 43 และ TOR 46
ดังนั้นศาลโลกและโดยการสนับสนุนจากหลักฐานอย่างแข็งขันของกัมพูชาและการทำสำนวนอ่อนด้อยของฝ่ายไทย ศาลโลกย่อมเข้าใจว่าประเทศไทยยินดีใช้แผนที่เก๊มาตราส่วน 1:200,000 ที่ไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนฯ และศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 ก็ไม่เคยตัดสินแผนที่และเส้นเขตแดนบนแผนที่เก๊เลย แต่คราวนี้ประเทศไทยจะต้องสูญเสียดินแดนและอับอายขายหน้าไปทั่วโลก เพราะเรานำแผนที่เก๊ไปใช้ต่อประเทศเพื่อนบ้านให้มีผลผูกพันดังที่กล่าวมาข้างต้น ศาลโลกต้องเข้าใจต่อไปว่าการที่ฝ่ายกัมพูชาเสนอแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรักเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก และศาลโลกก็เป็นเพราะว่าไทยยอมรับแผนที่ตาม MOU 43 และ TOR 46 กับทั้งที่มีประจักษ์พยานว่าฝ่ายไทยได้ยอมรับแผนที่แล้วจากการไปทำความตกลงไทย-ลาว
ผมจึงอยากขอเสนอให้ท่านนายกฯ หญิงกล้าตัดสินใจยกเลิกความตกลงไทย-ลาว MOU 43 และ TOR 46 เพื่อแก้ไขสถานการณ์และอย่าไปศาลโลกเลย เพราะศาลโลกเป็นศาลที่อยุติธรรมกับประเทศไทยเสมอมา อนึ่ง ผมไม่อยากให้ประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเราชาวไทย ต้องสูญเสียดินแดนเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษาเลย เพราะจะเป็นเรื่องน่าอายระดับที่ไทยยังต้องสูญเสียดินแดนอีกในปัจจุบัน