xs
xsm
sm
md
lg

ปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบเป็นของไทย ตอนที่ 5 แผนที่เถื่อน (ตอนจบ)

เผยแพร่:   โดย: เทพมนตรี ลิมปพยอม

ตอนที่แล้วผมได้แสดงข้อมูลให้ผู้อ่านได้ทราบเกี่ยวกับการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ประเทศไทยนำไปใช้ใน “ความตกลงไทย-ลาว” และได้ทำการปักปันเขตแดนไทยลาวจนเสร็จสิ้นไปแล้ว การยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ให้มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ เมื่อ พ.ศ. 2539 ฝ่ายไทยเองได้ยืนยันกับประเทศลาวว่า ประเทศลาวอยู่ในฐานะเป็นผู้สืบสิทธิ์ เป็นรัฐอาณานิคมของฝรั่งเศสมาก่อน ดังนั้นแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทุกระวาง (11 ระวาง)  จึงยังมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน จะเห็นว่าฝ่ายไทยไม่สนใจต่อคำตัดสินของศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหารที่ไม่ได้ตัดสินเรื่องแผนที่ และคำพิพากษาแย้งของผู้พิพากษาส่วนหนึ่งก็ระบุชัดว่า แผนที่ 1:200,000 ไม่ได้เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-อินโดจีนแต่อย่างใด    

การที่ฝ่ายไทยนำแผนที่เก๊ไปเป็นหลักฐานในการพิจารณาเพื่อปักปันเขตแดนกับลาว จึงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และหากประเทศลาวได้ทราบเรื่องนี้ก็สมควรที่จะเรียกร้องให้มีการปักปันเขตแดนใหม่ ฝ่ายไทยได้แสดงให้เห็นชัดว่าไม่เคารพต่อคำพิพากษาของศาลโลก (แม้ในเวลานั้นเราไม่ยอมรับคำตัดสิน ไม่ยอมรับแผนที่ ประเทศไทยได้ตั้งข้อสงวนสิทธิ์เอาไว้เพื่อเรียกคืนตัวปราสาท) ประเทศไทยหลัง พ.ศ.2505 กลับไปปัดฝุ่นแผนที่ มาตราส่วน 1:200,000 เก๊มาใช้กับประเทศเพื่อนบ้าน

          สมัยรัฐบาลภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัย โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางไปกรุงพนมเปญ เพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU 2543) ซึ่งก่อนที่จะลงนาม เราได้ค้นพบเอกสารด่วนที่สุด ประกอบด้วยหนังสือที่ กต 0603/1574 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2543 ถึงนายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) ลงนามหนังสือโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร มีข้อความเกี่ยวกับการประชุมและการลงนามโดยย่อบันทึกความเข้าใจฯ ระบุชัดเรื่องแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ว่าเป็นพื้นฐานทางกฎหมาย ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก 

“พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและจัดทำ (ปัก) หลักเขตแดนทางบกจะดำเนินการโดยใช้บรรดาเอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม  ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนและเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ (application) อนุสัญญาและสนธิสัญญาดังกล่าว” 

นอกจากนี้ในวันที่ 12 มิถุนายน 2543 ได้มีหนังสือบันทึกข้อความจากสำนักนายกรัฐมนตรีถึงนายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) ลงนามหนังสือโดยนายวรากรณ์ สามโกเศศ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง โดยระบุสาระสำคัญเกี่ยวกับการเตรียมตัวที่จะไปเยือนกัมพูชาและจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ (MOU 43) ข้อความที่น่าสนใจคือ

“พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและปักหลักเขตแดนทางบกจะดำเนินการโดยใช้เอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศคือ อนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้ายและแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน”

ทางซ้ายมือด้านล่างของหนังสือบันทึกข้อความฉบับนี้ มีลายเซ็นต์นายชวน หลีกภัย ได้ลงนาม ”อนุมัติ” การใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ต่อมาในปี พ.ศ.2546 สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มีการจัดทำแผนแม่บท (TOR 2546) และได้นำเอาแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน มาใช้ในการสำรวจ และค้นหาหลักเขตแดน รวมถึง “เส้นเขตแดนใหม่” มีการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ว่าเป็นแผนที่ที่จะใช้เป็นพื้นฐานในการหาเส้นเขตแดน

ด้วยเหตุนี้ผมจึงอยากเรียกร้องใครก็ได้ ที่เห็นว่าการนำเอาแผนที่เก๊มาใช้เป็นหลักฐานเอกสารที่เป็นพื้นฐานทางกฎหมายกับทั้งประเทศลาวและกัมพูชานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งคุณชวน หลีกภัย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป    

ดังนั้นแผนที่ที่นำมาใช้เป็นผลผูกพันทางกฎหมายทั้งประเทศลาวและกัมพูชานั้น ไม่ได้เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-อินโดจีน แต่อย่างใด หากแต่เป็นแผนที่เก๊ไม่สามารถใช้เป็นข้อมูลหรือเอกสารหลักฐานในการปักปันเขตแดน แผนที่เก๊นี้มีประโยชน์อยู่อย่างเดียวที่จะประกาศให้ประชาชนคนไทยได้ทราบว่า ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิยมหาราชของพวกเราทุกคนนั้น ใครมากระทำย่ำยีต่อประเทศสยามของเรา และยังเป็นเครื่องเตือนสติถึงความเจ้าเล่ห์เพทุบายของหมาป่าฝรั่งเศสที่มายึดมาแบ่งแผ่นดินของเราไป
กำลังโหลดความคิดเห็น