คนที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลภายใต้การนำของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเป็นต้องตระหนักถึงปัญหาสำคัญคือ
1. พื้นที่รอบๆ ปราสาทพระวิหารยังเป็นของประเทศไทยของคนไทยทุกคนภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน
2. ประเทศไทยไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของศาลโลกนับตั้งแต่คดีปราสาทพระวิหาร
3. ในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกตัดสินไปโดยใช้หลักกฎหมายปิดปาก ประเทศไทยโดยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ไม่ได้ยอมรับคำตัดสินและได้ตั้งข้อสงวนสิทธิ์ไว้อย่างชัดแจ้งว่า รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอสงวนสิทธิ์ที่จะทวงคืนตัวปราสาทและได้มีหนังสือไปถึงรักษาการเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 แล้ว ทั้งนี้การสงวนสิทธิ์ไม่มีอายุความ
4. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนกรกฎาคม 2505 มิได้ยกดินแดนในส่วน 150 ไร่ตรงหน้าผาเปยตาดีอันเป็นที่ตั้งของตัวปราสาทพระวิหารให้กับประเทศกัมพูชา หากแต่มติคณะรัฐมนตรีได้ทำการล้อมรั้วลวดหนามเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูเพื่อให้กัมพูชาได้เข้ามาใช้อำนาจอธิปไตยในพื้นที่ 150ไร่ มีการจัดทำป้ายภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสที่ระบุข้อความสำคัญว่า “อาณาบริเวณ” นอกจากนี้ยังจัดทำประตูเหล็กและแทบจะปิดตายมาเป็นเวลาหลายสิบปี
5. ประเทศไทยยังคงทวงสิทธิที่จะเรียกคืนตัวปราสาทได้
6. รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ทำ MOU 2543 กับรัฐบาลกัมพูชาโดยไม่ผ่านขบวนการรัฐสภา
7. รัฐบาลทักษิณทำ MOU 2544 กับรัฐบาลกัมพูชาและคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาโดยไม่ผ่านรัฐสภาเหมือนกัน
8. รัฐบาลทักษิณได้จัดทำโครงการพัฒนาร่วมบริเวณปราสาทพระวิหาร โดยไม่มีความเข้าใจทางประวัติศาสตร์และไม่ผ่านรัฐสภาเช่นกัน
9. รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้ดำเนินการจัดทำคำแถลงการณ์ร่วมโดยไม่ผ่านรัฐสภา
ที่ผมร่ายมาเสียยาวนี้ก็เป็นการย่นย่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับปราสาทพระวิหาร รัฐมนตรีกลาโหมคนปัจจุบัน ถ้าผมจำท่านไม่ผิดท่านก็มีศักดิ์เป็นลูกเขยท่านจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งจอมพลถนอมผู้นี้คือผู้ที่เจ็บแค้นต่อการที่ศาลโลกตัดสินเข้าข้างกัมพูชา ในสายตระกูลและเครือญาติทุกคนต่างเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ผิดแต่ที่ท่านรัฐมนตรีกลาโหมผู้นี้ให้สัมภาษณ์ดูจะเป็นคุณกับทางฝ่ายกัมพูชาอย่างชอบกล
อนึ่งเมื่อท่านเป็นนายทหารรับราชการอยู่ ท่านก็ต้องทราบเรื่องนี้ในทางสายงานของท่านอยู่แล้วและก่อนหน้าปี พ.ศ. 2546 อันเป็นปีที่กัมพูชาเข้ามาตั้งวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ บริเวณ 4.6 ตารางกิโลเมตรของไทย แต่หน่วยงานราชการทำการปล่อยปละละเลยจนเป็นเหตุให้ประชาชนกัมพูชาและทหารเข้ายึดครองจนมาถึงปัจจุบัน ดังนั้นท่านรัฐมนตรีกลาโหมผู้นี้จึงควรเร่งที่จะให้กัมพูชาถอนทหารและนำครอบครัวชาวกัมพูชาไปให้พ้นแผ่นดินไทย โดยที่ฝ่ายเราไม่จำเป็นต้องถอนทหาร ท่านต้องทราบด้วยว่าตรงนั้นคือพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก ไม่ใช่ดินแดนกองทัพภาคที่ 2 มีกรรมสิทธิ์เพียงฝ่ายเดียว กรรมสิทธิ์ที่ปล่อยให้อริราชศัตรูเข้ามายึดครอง กรรมสิทธิ์ที่มั่วแต่ปล่อยให้ศัตรูเข้ามายึดดินแดน อันที่จริงตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ทหารต้องมีหน้าที่ป้องกันประเทศไม่จำเป็นต้องรอให้ฝ่ายการเมืองสั่งการ
ผมเริ่มจะสงสัยว่าท่านรัฐมนตรีกลาโหมผู้นี้ทำไมจึงเชื่อฟังคำสั่งของศาลโลก และกรณีจะให้ผู้สังเกตการณ์จากประเทศอินโดนีเซียเข้ามายังพื้นที่ในดินแดนไทยได้นั้นนะ ท่านได้ผ่านรัฐสภาไทยหรือยัง หากยังท่านอาจมีความผิดได้ และผมคิดว่าการญาติดีกับกัมพูชานั้นควรตั้งอยู่บนหลักความจริง หลักยุติธรรม และผลประโยชน์ของชาติ หากท่านรัฐมนตรีกลาโหมผู้นี้กลับไปค้นคว้าหลักฐานที่จอมพลถนอม กิตติขจรพ่อตาของท่านได้ให้สัมภาษณ์ไว้ก็จะทราบข้อความที่ว่า “เราไม่ได้ยกดินแดนให้เขมร เขมรจะหาทางขึ้นมายังปราสาทพระวิหารเป็นเรื่องของเขมรเอง ไทยไม่เกี่ยว” (หมายถึงขึ้นมาทางบันไดหัก ซึ่งที่ขอบหน้าผาบันไดหักนั้นก็เป็นดินแดนไทยเราอนุญาตให้เขมรขึ้นมาชั่วคราวเพื่อใช้อำนาจอธิปไตย (ชั่วคราว) ตามที่ไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลก หาได้ให้เขมรขึ้นมาทางบันไดหลักทางด้านทิศเหนือไม่)
ในฐานะที่ผมศึกษาเรื่องนี้มาหลายปี ผมอยากขอร้องให้ท่านรัฐมนตรีกลาโหมผู้นี้ศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนการตัดสินใจ และต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีเกียรติประวัติของตระกูลตัวเอง คิดถึงแผ่นดินไทยของบรรพบุรุษ อย่ามั่วคิดถึงตระกูลอื่นเลย ถ้าท่านไม่มีข้อมูลติดต่อมาที่ผมก็ได้ครับ
1. พื้นที่รอบๆ ปราสาทพระวิหารยังเป็นของประเทศไทยของคนไทยทุกคนภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน
2. ประเทศไทยไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของศาลโลกนับตั้งแต่คดีปราสาทพระวิหาร
3. ในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกตัดสินไปโดยใช้หลักกฎหมายปิดปาก ประเทศไทยโดยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ไม่ได้ยอมรับคำตัดสินและได้ตั้งข้อสงวนสิทธิ์ไว้อย่างชัดแจ้งว่า รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอสงวนสิทธิ์ที่จะทวงคืนตัวปราสาทและได้มีหนังสือไปถึงรักษาการเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 แล้ว ทั้งนี้การสงวนสิทธิ์ไม่มีอายุความ
4. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนกรกฎาคม 2505 มิได้ยกดินแดนในส่วน 150 ไร่ตรงหน้าผาเปยตาดีอันเป็นที่ตั้งของตัวปราสาทพระวิหารให้กับประเทศกัมพูชา หากแต่มติคณะรัฐมนตรีได้ทำการล้อมรั้วลวดหนามเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูเพื่อให้กัมพูชาได้เข้ามาใช้อำนาจอธิปไตยในพื้นที่ 150ไร่ มีการจัดทำป้ายภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสที่ระบุข้อความสำคัญว่า “อาณาบริเวณ” นอกจากนี้ยังจัดทำประตูเหล็กและแทบจะปิดตายมาเป็นเวลาหลายสิบปี
5. ประเทศไทยยังคงทวงสิทธิที่จะเรียกคืนตัวปราสาทได้
6. รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ทำ MOU 2543 กับรัฐบาลกัมพูชาโดยไม่ผ่านขบวนการรัฐสภา
7. รัฐบาลทักษิณทำ MOU 2544 กับรัฐบาลกัมพูชาและคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาโดยไม่ผ่านรัฐสภาเหมือนกัน
8. รัฐบาลทักษิณได้จัดทำโครงการพัฒนาร่วมบริเวณปราสาทพระวิหาร โดยไม่มีความเข้าใจทางประวัติศาสตร์และไม่ผ่านรัฐสภาเช่นกัน
9. รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้ดำเนินการจัดทำคำแถลงการณ์ร่วมโดยไม่ผ่านรัฐสภา
ที่ผมร่ายมาเสียยาวนี้ก็เป็นการย่นย่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับปราสาทพระวิหาร รัฐมนตรีกลาโหมคนปัจจุบัน ถ้าผมจำท่านไม่ผิดท่านก็มีศักดิ์เป็นลูกเขยท่านจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งจอมพลถนอมผู้นี้คือผู้ที่เจ็บแค้นต่อการที่ศาลโลกตัดสินเข้าข้างกัมพูชา ในสายตระกูลและเครือญาติทุกคนต่างเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ผิดแต่ที่ท่านรัฐมนตรีกลาโหมผู้นี้ให้สัมภาษณ์ดูจะเป็นคุณกับทางฝ่ายกัมพูชาอย่างชอบกล
อนึ่งเมื่อท่านเป็นนายทหารรับราชการอยู่ ท่านก็ต้องทราบเรื่องนี้ในทางสายงานของท่านอยู่แล้วและก่อนหน้าปี พ.ศ. 2546 อันเป็นปีที่กัมพูชาเข้ามาตั้งวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ บริเวณ 4.6 ตารางกิโลเมตรของไทย แต่หน่วยงานราชการทำการปล่อยปละละเลยจนเป็นเหตุให้ประชาชนกัมพูชาและทหารเข้ายึดครองจนมาถึงปัจจุบัน ดังนั้นท่านรัฐมนตรีกลาโหมผู้นี้จึงควรเร่งที่จะให้กัมพูชาถอนทหารและนำครอบครัวชาวกัมพูชาไปให้พ้นแผ่นดินไทย โดยที่ฝ่ายเราไม่จำเป็นต้องถอนทหาร ท่านต้องทราบด้วยว่าตรงนั้นคือพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก ไม่ใช่ดินแดนกองทัพภาคที่ 2 มีกรรมสิทธิ์เพียงฝ่ายเดียว กรรมสิทธิ์ที่ปล่อยให้อริราชศัตรูเข้ามายึดครอง กรรมสิทธิ์ที่มั่วแต่ปล่อยให้ศัตรูเข้ามายึดดินแดน อันที่จริงตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ทหารต้องมีหน้าที่ป้องกันประเทศไม่จำเป็นต้องรอให้ฝ่ายการเมืองสั่งการ
ผมเริ่มจะสงสัยว่าท่านรัฐมนตรีกลาโหมผู้นี้ทำไมจึงเชื่อฟังคำสั่งของศาลโลก และกรณีจะให้ผู้สังเกตการณ์จากประเทศอินโดนีเซียเข้ามายังพื้นที่ในดินแดนไทยได้นั้นนะ ท่านได้ผ่านรัฐสภาไทยหรือยัง หากยังท่านอาจมีความผิดได้ และผมคิดว่าการญาติดีกับกัมพูชานั้นควรตั้งอยู่บนหลักความจริง หลักยุติธรรม และผลประโยชน์ของชาติ หากท่านรัฐมนตรีกลาโหมผู้นี้กลับไปค้นคว้าหลักฐานที่จอมพลถนอม กิตติขจรพ่อตาของท่านได้ให้สัมภาษณ์ไว้ก็จะทราบข้อความที่ว่า “เราไม่ได้ยกดินแดนให้เขมร เขมรจะหาทางขึ้นมายังปราสาทพระวิหารเป็นเรื่องของเขมรเอง ไทยไม่เกี่ยว” (หมายถึงขึ้นมาทางบันไดหัก ซึ่งที่ขอบหน้าผาบันไดหักนั้นก็เป็นดินแดนไทยเราอนุญาตให้เขมรขึ้นมาชั่วคราวเพื่อใช้อำนาจอธิปไตย (ชั่วคราว) ตามที่ไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลก หาได้ให้เขมรขึ้นมาทางบันไดหลักทางด้านทิศเหนือไม่)
ในฐานะที่ผมศึกษาเรื่องนี้มาหลายปี ผมอยากขอร้องให้ท่านรัฐมนตรีกลาโหมผู้นี้ศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนการตัดสินใจ และต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีเกียรติประวัติของตระกูลตัวเอง คิดถึงแผ่นดินไทยของบรรพบุรุษ อย่ามั่วคิดถึงตระกูลอื่นเลย ถ้าท่านไม่มีข้อมูลติดต่อมาที่ผมก็ได้ครับ