xs
xsm
sm
md
lg

ทะเลบางโฉมศรี

เผยแพร่:   โดย: ชัยพันธุ์ ประภาสะวัต

ผมได้ยินคุณยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์หรือแถลงข่าวครั้งใดก็อดหัวใจระทึกไม่ได้ นับตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี 3 เดือน เธอยังเป็นใครที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยในทางการเมือง อย่าไปเทียบกับนายกฯ หญิงที่เคยมีมาก่อนทั่วโลก ซึ่งแต่ละคนกว่าจะก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งล้วนต้องผ่านประสบการณ์ทำงานด้านการเมืองมาแล้วอย่างโชกโชน ต้องพิสูจน์ตัวเองและสร้างผลงานมากมายกว่าจะเป็นที่ยอมรับของประชาชนได้ แต่สำหรับตำแหน่งผู้นำประเทศไทยของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นไม่ใช่เลย

เมื่อช่วงที่หาเสียงเลือกตั้งก่อนจะมาเป็นรัฐบาลนั้น ผมจำได้ว่าเธอเคยพูดนโยบายเกี่ยวกับพุทธศาสนา โดยอ่านตามสคริปต์ว่า “เราจะสังคายนาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า” ผมได้ยินแล้วแทบจะลื่นไถลตกเก้าอี้ อุแม่เจ้า ช่างกล้าหาญชาญชัยเสียจริงๆ เธอพูดผิดๆ ถูกๆ หลายครั้งหลายคราจนกลายเป็นประเด็นให้คนเอาไปล้อเลียน ทั้งคำพูดวิพากษ์วิจารณ์ ถากถาง เขียนเป็นการ์ตูนล้อ ไม่ว่าจะเป็น “เรือดำน้ำ - เรือดันน้ำ” หรือ “หญ้าแพรก - หญ้าแฝก” ที่เธอไม่รู้จักจริงๆ หรือแกล้งพูด

ผมมาสะอึกกับคำที่เธอพูดถึงภารกิจการซ่อมแซมประตูระบายน้ำบางโฉมศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ซึ่งเธอกล่าวว่า “กำลังจะทำกล่องหินไปทิ้งทะเล” เธอคงเข้าใจผิดไปว่าบางโฉมศรีนั้นคล้ายๆ กับบางขุนเทียน หรือบางปูซึ่งอยู่ติดทะเล เพราะเธออาจไม่เคยดูแผนที่ประเทศไทยเสียด้วยซ้ำ สมุนทั้งหลายก็ต้องคอยออกหน้ามารับแทนเช่นเคย ชีวิตคุณยิ่งลักษณ์กำลังออกทะเลลึกลงไปทุกที เราจะอดทนกับความป้ำๆ เป๋อๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถูกจัดตั้งมาให้เป็นเจว็ดในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้อีกนานเท่าไหร่ เวลาจะกินยา เรายังต้องดูว่าผ่านการรับรองจาก อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) แล้วหรือยัง อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ แม้แต่สายไฟ เราก็ยังต้องดูว่าได้มาตรฐาน มอก. (มาตรฐานอุตสาหกรรม) หรือไม่ แต่ทำไมนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำประเทศ ตัวแทนของคนทั้งชาติเช่นนี้ จึงไม่มีมาตรฐานใดๆ มารองรับบ้างเลยหรือ

กว่าจะได้เป็นปลัดกระทรวง นายพล ผู้พิพากษา อัยการ แต่ละอาชีพล้วนต้องบ่มเพาะประสบการณ์ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน หรือผ่านการสอบคัดเลือกอย่างยากเย็นกว่าจะได้บรรจุเข้าในตำแหน่งนั้นๆ แต่สำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เราเอาใครก็ได้ขึ้นมารับตำแหน่งเพียงแค่ขอให้ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนเท่านั้นเองหรือ ระบอบประชาธิปไตยที่เราใช้กันอยู่ตลอด 79 ปีที่ผ่านมานี้น่าจะมีอะไรชำรุดอยู่เป็นแน่ ไม่ใช่แค่แก้รัฐธรรมนูญแล้วจะแก้ทุกอย่างได้

ประเทศไทยร่างรัฐธรรมนูญ ฉีกรัฐธรรมนูญ แก้รัฐธรรมนูญ จนมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องรัฐธรรมนูญมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ญี่ปุ่นมีรัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียวที่ร่างขึ้นโดยสหรัฐอเมริกาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกวันนี้ก็ยังคงใช้อยู่ ประเทศก็ยังคงเจริญก้าวหน้าในทุกด้านหากเทียบกับประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้ชนะสงคราม แต่กลับล้าหลังลงทุกที

เห็นภาพผู้คนที่ต้องอพยพขนข้าวของหนีน้ำกันอย่างทุลักทุเล ชาวบ้านพากันแตกตื่น บางคนตระหนกตกใจถึงกับร่ำไห้เพราะความหวาดกลัว แม้แต่รองนายกฯ ยังหลั่งน้ำตาให้กับอุทกภัยครั้งร้ายแรงครั้งนี้ให้สื่อได้เห็น แล้วชาวบ้านตาดำๆ จะเจ็บช้ำน้ำใจขนาดไหน คนอยุธยาพูดให้ฟังว่าครั้งนี้คือกรุงแตกครั้งที่ 3 ข้าศึกที่เข้ายึดกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2554 คือ “น้ำ” ที่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เราเคยใช้เป็นอาวุธเพื่อขับไล่พม่าที่มาล้อมเมืองให้เลิกทัพกลับไปได้ มาวันนี้แต่ละเมืองกลับแตกพ่ายยับเยิน ไม่ว่าจะเป็นนครสวรรค์ อยุธยา ลพบุรี รวมทั้งปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร

วันนี้เราต้องจัดตั้งศูนย์อพยพผู้ประสบภัยน้ำท่วมหลายแห่ง สูญเสียชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 280 คน ยังไม่นับผู้ที่สูญหาย บ้านเรือน ไร่นา เสียหายยับเยินสุดประมาณ ที่หนักหนาสาหัสอีกอย่างก็คือการล่มสลายของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งไม่เคยมีการควบคุมพื้นที่แบ่งแยกระหว่างเขตอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมให้ชัดเจน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง และอีกหลายจังหวัดที่ไม่ได้กล่าวถึง ล้วนมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจโดยกำหนดให้มีพื้นที่เพื่อจัดทำนิคมอุตสาหกรรมแทบทุกจังหวัด ในขณะที่พื้นที่การเกษตรก็ปล่อยกันเลอะเทอะ พื้นที่ปลูกพืชอาหารลดน้อยลง แต่กลับส่งเสริมให้ปลูกยางพาราซึ่งเป็นพืชเชิงเดี่ยวจากภาคใต้ลามมาสู่เหนือและอีสาน เพียงเพราะมันทำรายได้ที่ดีให้แก่เกษตรกร

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 9 แผน ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ประเทศไทยมาถึงจุดตกต่ำและวิกฤตที่สุดแล้ว เราไม่มีแผนการ บุคลากร และอุปกรณ์มารองรับและต่อสู้กับภัยพิบัติครั้งร้ายแรงเหล่านี้ สรรพกำลังทั้งหมดทั้งทางทหารและหน่วยงานอื่นๆ ต้องนำออกมาใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่พ่ายแพ้ต่อสงครามน้ำในครั้งนี้ หลายคนเกิดข้อกังขาว่า ทำไมคนหลายแสนหลายล้านคนในจังหวัดอื่นๆ จึงต้องยอมเสียสละแทนคนกรุงเทพฯ เมืองหลวงเท่านั้นหรือที่เราต้องรักษาไว้ไม่ให้จมน้ำ หรือที่เป็นเช่นนี้เพราะเราขาดผู้นำที่มีความสามารถพอที่จะพาประเทศชาติให้พ้นจากหายนะในครั้งนี้

ลองอ่านกวีนิพนธ์บทหนึ่งของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติด้านวรรณศิลป์ ซึ่งได้เขียนไว้นานมากแล้ว ในบทที่ชื่อว่า “วักทะเล” นึกถึงบทกวีนี้ขึ้นมาได้เมื่อได้ยินชื่อ “ทะเลบางโฉมศรี”

     วักทะเลเทใส่จาน        รับประทานกับข้าวขาว
เอื้อมเก็บบางดวงดาว        ไว้คลุกข้าวซาวเกลือกิน
     ดูปูหอยเริงระบำ        เต้นรำทำเพลงวังเวงสิ้น
กิ้งก่ากิ้งกือบิน               ไปกินตะวันและจันทร์
     คางคกขึ้นวอทอง        ลอยล่องท่องเที่ยวสวรรค์
อึ่งอ่างไปด้วยกัน             เทวดานั้นหนีเข้ากะลา
     ไส้เดือนเที่ยวเกี้ยวสาว อัปสรหนาวสั่นชั้นฟ้า
ทุกจุลินทรีย์อมีบ้า            เชิดหน้าได้ดิบได้ดี
     เทพไท้เบื่อหน่ายวิมาน ทะยานลงดินมากินขี้
ชมอาจมว่ามี                 รสวิเศษสุดที่กล่าวคำ
     ป่าสุมทุมพุ่มไม้          พูดได้ปรัชญาลึกล้ำ
ขี้เลื่อยละเมอทำ               คำนวณน้ำหนักแห่งเงา
     วิเศษใหญ่ใคร่เสวยฟ้า อยู่หล้าเหลวเลวโง่เขลา
โลภโกรธหลงมอมเมา        งั่งเอาเถิดประเสริฐเอย.
กำลังโหลดความคิดเห็น