ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-สถานการณ์น้ำท่วมที่กระหน่ำซ้ำประเทศไทยมานานกว่า 3 เดือนแล้ว มาถึงขณะนี้ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะคงทวีคูณความรุนแรง สร้างความทุกข์ระทมให้กับประชาชนคนไทยไปเกือบทั่วทุกแห่งหน
เพราะขนาดพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ที่ยังไม่ได้ประสบกับฤทธิ์ของอุทกภัยก็เริ่มมีมาให้เห็นชนิดหนักหน่วงแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น อ.ป่าซาง จ.ลำพูน เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก เข้าสมทบทำให้ระดับน้ำแม่ทาเกินกว่าจุดวิกฤตในระดับเกินกว่า 4 เมตร ชาวบ้านละแวกนั้นบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าท่วมหนักสุดในรอบ 48 ปี หรือจะเป็นที่จังหวัดลำปาง ฝนได้ตกหนักต่อเนื่องจนส่งผลให้น้ำท่วมรันเวย์สนามบินลำปาง ในรอบ 30ปี จนท่าอากาศยานต้องงดบินชั่วคราว ไม่เว้นแต่ จ.เชียงใหม่ ก็อ่วม อรทัยไม่แพ้กัน น้ำได้ท่วมเข้าตัวเมือง ประเมินความเสียหายยับเยินไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท อีกทั้งระดับน้ำในตัวเมืองยังสูงถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวถึงกับต้องหนีตายโกลาหล ทั้งงูตะขาบหนีน้ำเข้าบ้านหลายราย
แต่ที่เข้าขั้นวิกฤตแบบสุดขีด คงหนีไม่พ้นพื้นที่ภาคกลางที่นับวันสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายไปกว่าเดิมแบบหลายเท่าตัว โดยเฉพาะอยุธยา โดยกระแสน้ำจากแม่น้ำน้อย แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำลพบุรี และกระแสน้ำหลากตามทุ่งจาก จ.ลพบุรี ไหลเข้าท่วมหลายพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ชุมชนสองฝั่งแม่น้ำและเขตทุ่งนาใน 16 อำเภอของจังหวัด พบพื้นที่ทั้งจังหวัดถูกน้ำท่วมไปแล้วกว่า 80%หลายพื้นที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก โบราณสถานหลายแห่งและวัดหลายแห่ง ถูกน้ำท่วมเสียหายหนัก ถึงขนาดพระสงฆ์ ต้องออกมานั่งฉันอาหารริมถนน สร้างความหดหู่ใจให้แก่ผู้ที่พบเห็น ส่วนบริเวณนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร โรงงานกว่า 46 แห่งต้องปิดกิจการ 3 เดือนเพื่อฟื้นฟู หลังถูกน้ำทะลักท่วมกลางดึก พนักงานโรงงานกว่า 1 หมื่นคน ต้องรีบออกจากโรงงานและที่พักออกมาทางเรือด้วยความยากลำบาก เนื่องจากระแสน้ำไหลเชี่ยว บางรายต้องอดอาหารและน้ำดื่ม ตรวจสอบความเสียหายเบื้องต้นประเมินมูลค่าความเสียหาย ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ยังอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำ ร้อยละ 97 เขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำ ร้อยละ 99 เขื่อนแควน้อยมีปริมาณน้ำ ร้อยละ 97 เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ำ ร้อยละ 138 จึงต้องมีการระบายน้ำออกจากเขื่อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้จังหวัดที่ตั้งอยู่บริเวณท้ายเขื่อนภูมิพล โดยเฉพาะ จ.ตาก กำแพงเพชร ชัยนาท และนครสวรรค์ ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำถ้วนหน้า
ขณะเดียวกันก็ต้องบอกว่าการแก้ปัญหาของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ดูจะเป็นไปในลักษณะเกาไม่ถูกที่คัน ยิ่งเมื่อมาได้ฟังคำสัมภาษณ์ต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่นับวันได้ทวีความรุนแรงแสนสาหัสขึ้นเรื่อยๆ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะเธอก็ได้เอื้อนเอ่ย เพียงว่า "ให้รัฐมนตรีท่านอื่นตอบบ้าง"
เมื่อเธอถูกซักไซร้ว่า แต่นายกฯสามารถให้ความชัดเจนได้มากที่สุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ หันมาตอบเพียงสั้นๆว่า "เดี๋ยวตอบไม่ตรงท่านปลอดประสพ สุรัสวดี (รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ให้สัมภาษณ์ไปแล้วไม่ใช่หรือคะ"
ต่อข้อถามความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมในกรุงเทพมหานคร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า "เดี๋ยวเราคุยกันดีไหมคะ" จากนั้นเธอก็เดินเฉิดฉายเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า
อย่างไรก็ดี เมื่อกลับไปดูต้นเหตุของปัญหาน้ำท่วม จากที่หลายฝ่ายวิเคราะห์แล้ว ต้องยอมรับว่า สถานการณ์น้ำท่วมปีนี้ วิกฤติมาก กว่าหลายปีที่ผ่านมา ความรุนแรงและความเสียหายขยายวงกว้างเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือแนวคิดการตั้งกระทรวงน้ำขึ้นมาเพื่อจัดการปัญหานี้โดยเฉพาะ ดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำไปรวมศูนย์อยู่ในที่เดียวกัน อาทิ นำกรมชลประทานจากกระทรวงเกษตรฯ กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรชายฝั่ง จากกระทรวงทรัพยากรฯ กรมป้องกันสาธารณภัยจากกระทรวงมหาดไทย กรมอุตุนิยมวิทยาจากกระทรวงไอซีที ให้หน่วยงานทั้งหมดไปขึ้นอยู่กับกระทรวงน้ำ เพื่อให้การบริหารจัดการปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งครบวงจร
