xs
xsm
sm
md
lg

เอาอีกแล้ว...อัยการสั่งไม่ฟ้อง คดีฉาวCTX-ปล่อยกู้กรุงไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อัยการกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) งัดข้อกันอีกแล้ว! ในการสอบสวน 2 คดีสำคัญที่รับไม้ต่อทำคดีสอบสวนทุจริตมาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) คือ
คดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพวกอีกหลายสิบคนอาทิ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรมว.คมนาคม-ศรีสุข จันทรางศุ อดีตประธานบอร์ดทอท.และบทม. โดยคตส.ชี้มูลความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่ในตำแหน่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ,
เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ม.157 และผู้ใดโดยทุจริตหลอกหลวงผู้อื่นด้วยข้อความ หรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกโดยการหลอกหลวงนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากบุคคลที่สามผู้นั้นมีความผิดฐานฉ้อโกงม.341 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม.83,86 และ 90 , และการผิดต่อพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ( ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 มาตรา 5, 11, 12 และ 13 และพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3 และ 11
กับอีกหนึ่งคดีคือ คดีการอนุมัติเงินกู้ของผู้บริหารธนาคารกรุงไทยให้แก่บริษัทเอกชนเช่นกลุ่มเครือกฤษดามหานคร วงเงินหลายร้อยล้านบาท ที่คตส.และป.ป.ช.ตั้งข้อหาผู้ถูกชี้มูลความผิดรวม 31 ราย
มีทักษิณ ชินวัตร และอดีตผู้บริหารและบอร์ดธนาคารกรุงไทยรวมอยู่ด้วย ในความผิดมีพฤติการณ์ ร่วมกันหรือสนับสนุนการกระทำความผิดกรณีธนาคารกรุงไทย เป็นองค์กรของรัฐอนุมัติสินเชื่อให้ 3 บริษัทเอกชนเป็นการกระทำโดยทุจริตไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ธนาคารแต่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนกับพวก จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจ จำนวน 31 ราย
ปรากฏว่า ทั้งสองคดีคณะทำงานร่วมอัยการที่โต้โผหลักคืออัยการคดีพิเศษยุคที่มี นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นแกนหลัก ในฐานะอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ทางอัยการเห็นควรให้ยุติคดี พูดง่ายๆ ก็คือ
“ไม่เห็นควรสั่งฟ้อง”
แต่ทางป.ป.ช.เห็นด้วยกับคตส.ที่ชี้มูลความผิดสองคดีนี้กับผู้กระทำผิดรวมหลายสิบคน คือเห็นควรให้ต้องฟ้องศาล
สุดท้าย ก็เลยกลายเป็นว่าทั้งคดีซีทีเอ็กซ์และคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย เมื่ออัยการไม่ฟ้อง ป.ป.ช.ก็ต้องเป็นเจ้าภาพหลักในการยื่นฟ้องต่อศาลเองซึ่งตามข่าวจะมีการยื่นฟ้องต่อทั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและศาลอาญา
สัปดาห์ที่ผ่านมา อัยการสูงสุดคือจุลสิงห์ วสันต์สิงห์ ก็เพิ่งมีความเห็น“ไม่ฎีกา”คดีหลบเลี่ยงการเสียภาษีการโอนหุ้นบริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ ฯ ที่มีคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร –บรรณพจน์ ดามาพงษ์ อดีตประธานชินคอร์ปและนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เป็นอดีตจำเลย ทำให้คดียุติไปทันที
 จนฝ่ายค้านเตรียมยื่นเรื่องถอดถอนอัยการสูงสุดออกจากตำแหน่งต่อประธานวุฒิสภา ล่าสุดมาปรากฏเป็นข่าวอีกสองคดีที่อัยการ เห็นควรไม่สั่งฟ้อง คดีของคตส.อีก
เท่ากับหนึ่งสัปดาห์ คดีที่เป็นผลผลิตมาจากคตส.ทั้งสามคดีมาปรากฏเป็นข่าวพร้อมๆ กันคือ  คดีหลบเลี่ยงการเสียภาษีการโอนหุ้นบริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ ฯ-คดีซีทีเอ็กซ์และคดีปล่อยกู้กรุงไทย อัยการขอยุติเรื่อง ไม่ฟ้อง-ไม่ฎีกา
มันผิดปกติ หรือไม่ สาธุชน โปรดไตร่ตรอง
ถ้าทั้งสามเรื่องเป็นคดีสอบสวนการทุจริตแบบปกติ ไม่ใช่คดีที่เกี่ยวเนื่องมาจากการทำรัฐประหารของคมช. และเป็นการสอบสวนเอาผิดกับทักษิณ ชินวัตรและคนในครอบครัว
อัยการจะมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันแบบนี้หรือไม่ จุดนี้คือข้อสงสัยจากสังคม  
ว่ากันตามจริง คดีซีทีเอ็กซ์และคดีปล่อยกู้กรุงไทย ที่อัยการเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ทางป.ป.ช.หรือแม้แต่พวกอดีตคตส.รวมถึงคนในสังคมที่ติดตามการทำงานของป.ป.ช.กับอัยการมาตลอด จะไม่ค่อยแปลกใจอะไรมากนัก เพราะดูแล้ว อัยการสั่งไม่ฟ้องแน่นอน ไม่อย่างงั้นคงไม่ยื้อเรื่องมาหลายปี
อย่างคดีซีทีเอ็กซ์ จริงๆแล้วจบในชั้น คตส.ด้วยซ้ำ โดยทางอดีตคตส.มีการนำเอกสารสำนวนพยานหลักฐานนับหมื่นหน้าไปยื่นให้อัยการคดีพิเศษตั้งแต่ปี 2551 ก่อนที่คตส.จะหมดวาระเสียด้วยซ้ำ แต่ทางอัยการก็ไม่ยอมฟ้องเสียที
จนเมื่อคตส.หมดวาระ ป.ป.ช.มารับไม้ต่อ ก็มีการยื้อกันเป็นปีๆ จนอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ทำให้ต้องมีการตั้งคณะกรรมการร่วมสองฝ่ายคือป.ป.ช.กับอัยการมาพิจารณาสำนวนร่วมกันเพื่อหาข้อยุติ ก็ประชุมใช้เวลานานเป็นปีๆ ตกลงกันไม่ได้เสียที
 จนมีข่าวว่าเมื่อปลายเดือนสิงหาคมและกันยายน ทางป.ป.ช.ก็รู้คำตอบแล้วว่าอัยการยังไงก็สั่งไม่ฟ้อง  ซึ่งเหตุผลที่อัยการบอกกับป.ป.ช.ว่าฟ้องให้ไม่ได้ ก็เป็นข้ออ้างเดิมๆ
“พบข้อไม่สมบูรณ์”ในสำนวนคดี จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง
 เหมือนกับอีกหลายคดีที่อัยการไม่ฟ้องคดีของคตส.-ป.ป.ช.เกือบทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็คดีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง กรุงเทพมหานคร และล่าสุดที่ทำให้อัยการถูกวิจารณ์อย่างมากว่าไปตัดตอนคดีเสียเอง คิดว่าตัวเองเป็นศาลฎีกา เลยไม่ยอมฎีกาคดีเลี่ยงภาษีโอนหุ้นบริษัทชินวัตรฯ
 อันทำให้ จุลสิงห์ โดนวิจารณ์อย่างหนักเพราะเหตุผลคำโต้แย้งที่ยกเหตุมาอ้างในการไม่ฎีกา นักกฎหมายหลายคนฟังแล้วต่างบอกว่าไม่ค่อยมีน้ำหนักมาสนับสนุนได้เลย
เพราะคดีเลี่ยงภาษีโอนหุ้นฯ อัยการก็เป็นฝ่ายยื่นฟ้องเอง ว่าความเองจนศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 3 จำเลย พจมาน-บรรณพจน์-กาญจนาภา แบบไม่รอลงอาญา แม้ศาลอุทธรณ์จะให้ยกฟ้องพจมานและกาญจนาภา และลดการลงโทษบรรณพจน์โดยหลักเมื่อสองศาลตัดสินแตกต่างกันก็ควรให้ศาลฎีกาชี้ขาดก็เป็นเรื่องที่สมควรต้องทำแต่อัยการสูงสุดกลับไม่ยอมยื่นฎีกา
มาคราวนี้ ที่อัยการเห็นควรไม่ฟ้องคดีซีทีเอ็กซ์-คดีปล่อยกู้กรุงไทย ก็พบว่าอัยการก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเหตุผลต่างๆ
หรืออาจเป็นเพราะเห็นว่า ช่วงนี้ งานเข้า อัยการเยอะ สู้เก็บตัวเงียบ ไม่แจงสื่อ แต่ไปแจง องค์กรที่จะมีผลผูกพันโดยตรงดีกว่า
จึงมีข่าว จุลสิงห์ อัยการสูงสุด กำลังเตรียมตัวอย่างดีที่จะไปชี้แจงกับกรรมาธิการของวุฒิสภาในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ในเรื่องการไม่ฏีกาคดีเลี่ยงภาษีโอนหุ้นบริษัทชินวัตร  เพราะกระบวนการถอดถอนนั้น สุดท้ายหากประชาธิปัตย์ทำจริง แล้วยื่นเรื่องไปที่ป.ป.ช. ฝ่ายที่จะลงมติถอดถอนอัยการสูงสุดก็คือ สว.นั่นเอง
แม้ตามกฎหมายอัยการฉบับปัจจุบันจะมีการเขียนไว้คุ้มครองการสั่งคดีของอัยการเอาไว้อันทำให้ยากต่อการเอาผิดอัยการได้ แต่รัฐธรรมนูญก็มีบทบัญญัติเรื่องกระบวนการถอดถอนอัยการสูงสุดหากปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเอาไว้ จุลสิงห์เองก็อยากเคลียร์ตัวเองกับวุฒิสภาอยู่แล้ว จึงไม่พลาดที่จะไปชี้แจงกับสว.เรื่องไม่ฎีกาคดีภาษีในวันพุธนี้
แล้วก็ปล่อยให้เรื่องซีทีเอ็กซ์-ปล่อยกู้กรุงไทยเงียบหายไปเอง หลังจากที่ปิดเงียบมานาน ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)และฝ่ายสำนักงานอัยการสูงสุด ไม่มีใครยอมเปิดเผยให้สังคมรู้อย่างเป็นทางการ กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ออกมาบอกว่าเมื่อสัปดาห์ก่อน
กำลังโหลดความคิดเห็น