** ผลจากคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ที่ยกฟ้องคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัว แต่ลงโทษ บรรณพจน์ ดามาพงษ์ จำคุก 2 ปี รอลงอาญา 1 ปี ในคดีหลีกเลี่ยงภาษีโอนหุ้นบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ เป็นเงิน 546 ล้านบาท
คงทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยในบ้านเมืองนี้ เกิดอาการปวดหัวใจกันเป็นแถว หลังจากที่ยังไม่หายปวดตับกับสภาพการเมืองในยุคนี้ แม้จะพอคาดการณ์ได้ว่า มีโอกาสที่อดีตภริยาของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีอาญา ที่ยังมีบทบาทและอิทธิพลในการกำหนดตัวบุคคลเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดปัจจุบัน มีโอกาสที่จะหลุดคดีได้
เนื่องจากหลายคดีที่ผ่านมา คุณหญิงพจมานและลูกได้รับความกรุณาจากศาล ที่ทักษิณให้ร้ายว่าเป็นกระบวนการยุติความเป็นธรรมให้ชนะคดี ทำให้ไม่มีเสียงสาปส่งศาลให้ได้ยินว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยสองมาตรฐาน
ทั้งกรณีที่ศาลแพ่ง มีคำพิพากษาให้กองทุนฟื้นฟูจ่ายเงินค่าที่ดินรัชดา คืนคุณหญิงพจมานพร้อมดอกเบี้ย รวมไปถึงกรณีที่ศาลภาษีชี้ขาดว่า ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีกว่าหมื่นล้านจากบุตรชายและบุตรสาวนักโทษชายทักษิณได้
เนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายึดทรัพย์นักโทษชายทักษิณ และชี้ว่าบุตรชายและบุตรสาว ไม่ใช้เจ้าของหุ้นตัวจริง เป็นเหตุผลที่มีการหยิบยกไปสู้คดีว่า เมื่อศาลฎีกาฯ ตัดสินว่าทั้งสองคนไม่ใช่เจ้าของหุ้น จึงถือว่าไม่มีภาระด้านภาษี ซึ่งก็ยังเป็นประเด็นค้างอยู่ว่า กรมสรรพากรจะเดืนหน้ารักษาผลประโยชน์ชาติ เรียกเก็บภาษีจากทักษิณ ที่มีน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย ได้หรือไม่
**ที่น่าสนใจก็คือ คนตระกูลชินวัตร ไม่ยอมรับผลจากคำตัดสินของศาลฎีกาฯทั้งคดีที่ดินรัชดา ที่ลงโทษจำคุกทักษิณ 2 ปี และยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท โดยพร่ำพูดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่กลับมีการนำคำพิพากษาที่ตัวเองไม่ยอมรับไปใช้ประโยชน์ในคดีอื่นเสียฉิบ !เพราะเมื่อนำประเด็นที่ปรากฏจากคำพิพากษาไปใช้ ย่อมหมายถึง การยอมรับคำพิพากษาดังกล่าวด้วย ไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับ แต่กลับใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ตัวเองไม่ยอมรับ โดยไม่เคยมีการอธิบายให้คนเสื้อแดงที่ถูกยุยง จนเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมีปัญหาได้รับทราบข้อเท็จจริงว่า
**คนตระกูลชินวัตร ได้รับความเมตตาจากศาลอย่างไร ?
และนี่ก็เป็นความเมตตาจากศาลอุทธรณ์ ที่มีต่อ คุณหญิงพจมาน อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยคงเห็นแย้งคำพิพากษา แต่ไม่มีใครออกมาเคลื่อนไหวให้บ้านเมืองวุ่นวาย หรือทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตุลาการ
เอาเถอะ... เมื่อเราอยู่ภายใต้กติกาของบ้านเมืองที่คำตัดสินถูกผิดเป็นหน้าที่ของฝ่ายตุลาการ คนไทยก็ต้องให้ความเคารพ ไม่ใช่ว่าเห็นค้าน ก็ต้องลุกขึ้นมาทำลายศาลเหมือนอย่างที่แก๊งก่อการร้ายแดงทำ
แต่คนที่มีปัญญา มีความรักชาติบ้านเมือง ต้องกระตุ้นให้มีการต่อสู้อย่างถึงที่สุดตามระบบที่เรามีอยู่ ซึ่งภาระในเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของอัยการ ที่ต้องไม่ยอมจำนน เพราะคดียังไม่จบแต่ยังมีหนทางในการสู้คดีต่อ
ด้วยการสู้ในชั้นศาลฎีกา เพราะคดีนี้มีเหตุผลเพียงพอที่จะยื่นฎีกา เนื่องจากศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แสดงว่า มีความเห็นที่แตกต่างกัน จึงควรให้ศาลสูงสุดได้เป็นผู้ชี้ขาด เพื่อให้เป็นที่ยุติในทางคดี
** อัยการไม่ควรตัดตอนด้วยการยุติคดีนี้ ด้วยการไม่ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา เพียงพราะเกรงกลัวต่ออำนาจรัฐที่อยู่ในมือของคนตระกูลชินวัตร
ในยามที่เราจิตตก ความรู้สึกที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมถดถอย แต่เราต้องไม่ทำลายเสาหลักของบ้านเมือง เพราะถ้าเราไม่มีความเชื่อมั่น และไม่เคารพอำนาจตุลาการ บ้านเมืองนี้ก็คงอยู่ไม่ได้
**หวังว่าคนในตระกูลชินวัตร รวมถึงลิ่วล้อแดงทั้งหลาย จะมีสำนึก เลิกทำลายศาล ยอมรับคำตัดสินของศาล สู้ตามระบบในทุกคดี ไม่ใช่เอาแต่ได้ จะยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทยเฉพาะเมื่อชนะคดีเท่านั้น
คงทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยในบ้านเมืองนี้ เกิดอาการปวดหัวใจกันเป็นแถว หลังจากที่ยังไม่หายปวดตับกับสภาพการเมืองในยุคนี้ แม้จะพอคาดการณ์ได้ว่า มีโอกาสที่อดีตภริยาของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีอาญา ที่ยังมีบทบาทและอิทธิพลในการกำหนดตัวบุคคลเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดปัจจุบัน มีโอกาสที่จะหลุดคดีได้
เนื่องจากหลายคดีที่ผ่านมา คุณหญิงพจมานและลูกได้รับความกรุณาจากศาล ที่ทักษิณให้ร้ายว่าเป็นกระบวนการยุติความเป็นธรรมให้ชนะคดี ทำให้ไม่มีเสียงสาปส่งศาลให้ได้ยินว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยสองมาตรฐาน
ทั้งกรณีที่ศาลแพ่ง มีคำพิพากษาให้กองทุนฟื้นฟูจ่ายเงินค่าที่ดินรัชดา คืนคุณหญิงพจมานพร้อมดอกเบี้ย รวมไปถึงกรณีที่ศาลภาษีชี้ขาดว่า ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีกว่าหมื่นล้านจากบุตรชายและบุตรสาวนักโทษชายทักษิณได้
เนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายึดทรัพย์นักโทษชายทักษิณ และชี้ว่าบุตรชายและบุตรสาว ไม่ใช้เจ้าของหุ้นตัวจริง เป็นเหตุผลที่มีการหยิบยกไปสู้คดีว่า เมื่อศาลฎีกาฯ ตัดสินว่าทั้งสองคนไม่ใช่เจ้าของหุ้น จึงถือว่าไม่มีภาระด้านภาษี ซึ่งก็ยังเป็นประเด็นค้างอยู่ว่า กรมสรรพากรจะเดืนหน้ารักษาผลประโยชน์ชาติ เรียกเก็บภาษีจากทักษิณ ที่มีน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย ได้หรือไม่
**ที่น่าสนใจก็คือ คนตระกูลชินวัตร ไม่ยอมรับผลจากคำตัดสินของศาลฎีกาฯทั้งคดีที่ดินรัชดา ที่ลงโทษจำคุกทักษิณ 2 ปี และยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท โดยพร่ำพูดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่กลับมีการนำคำพิพากษาที่ตัวเองไม่ยอมรับไปใช้ประโยชน์ในคดีอื่นเสียฉิบ !เพราะเมื่อนำประเด็นที่ปรากฏจากคำพิพากษาไปใช้ ย่อมหมายถึง การยอมรับคำพิพากษาดังกล่าวด้วย ไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับ แต่กลับใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ตัวเองไม่ยอมรับ โดยไม่เคยมีการอธิบายให้คนเสื้อแดงที่ถูกยุยง จนเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมีปัญหาได้รับทราบข้อเท็จจริงว่า
**คนตระกูลชินวัตร ได้รับความเมตตาจากศาลอย่างไร ?
และนี่ก็เป็นความเมตตาจากศาลอุทธรณ์ ที่มีต่อ คุณหญิงพจมาน อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยคงเห็นแย้งคำพิพากษา แต่ไม่มีใครออกมาเคลื่อนไหวให้บ้านเมืองวุ่นวาย หรือทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตุลาการ
เอาเถอะ... เมื่อเราอยู่ภายใต้กติกาของบ้านเมืองที่คำตัดสินถูกผิดเป็นหน้าที่ของฝ่ายตุลาการ คนไทยก็ต้องให้ความเคารพ ไม่ใช่ว่าเห็นค้าน ก็ต้องลุกขึ้นมาทำลายศาลเหมือนอย่างที่แก๊งก่อการร้ายแดงทำ
แต่คนที่มีปัญญา มีความรักชาติบ้านเมือง ต้องกระตุ้นให้มีการต่อสู้อย่างถึงที่สุดตามระบบที่เรามีอยู่ ซึ่งภาระในเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของอัยการ ที่ต้องไม่ยอมจำนน เพราะคดียังไม่จบแต่ยังมีหนทางในการสู้คดีต่อ
ด้วยการสู้ในชั้นศาลฎีกา เพราะคดีนี้มีเหตุผลเพียงพอที่จะยื่นฎีกา เนื่องจากศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แสดงว่า มีความเห็นที่แตกต่างกัน จึงควรให้ศาลสูงสุดได้เป็นผู้ชี้ขาด เพื่อให้เป็นที่ยุติในทางคดี
** อัยการไม่ควรตัดตอนด้วยการยุติคดีนี้ ด้วยการไม่ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา เพียงพราะเกรงกลัวต่ออำนาจรัฐที่อยู่ในมือของคนตระกูลชินวัตร
ในยามที่เราจิตตก ความรู้สึกที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมถดถอย แต่เราต้องไม่ทำลายเสาหลักของบ้านเมือง เพราะถ้าเราไม่มีความเชื่อมั่น และไม่เคารพอำนาจตุลาการ บ้านเมืองนี้ก็คงอยู่ไม่ได้
**หวังว่าคนในตระกูลชินวัตร รวมถึงลิ่วล้อแดงทั้งหลาย จะมีสำนึก เลิกทำลายศาล ยอมรับคำตัดสินของศาล สู้ตามระบบในทุกคดี ไม่ใช่เอาแต่ได้ จะยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทยเฉพาะเมื่อชนะคดีเท่านั้น