“กลุ่มนิติราษฎร์” เสนอแนวคิดให้ลบล้างผลของรัฐประหารในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พวกเขาเห็นว่า คณะรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 เป็นต้นธารแห่งความชั่วร้ายที่ทำลายรัฐบาลระบอบประชาธิปไตยของทักษิณ พวกเขาเห็นผิดอย่างร้ายแรงที่เห็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย (แท้จริงคือคณะรัฐประหารโค่นเผด็จการรัฐธรรมนูญ)
ส่วนคณาจารย์อีกฝ่ายหนึ่ง 23 คนลงชื่อแสดงความเห็นคัดค้านไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของ “กลุ่มนิติราษฎร์” และเห็นว่าหากจะล้มล้างผลของรัฐประหารต้องล้มล้างทั้งหมดนับแต่ คณะรัฐประหารล้มล้างรัฐบาล สมเด็จพระปกเกล้าฯ เป็นต้นมา เพราะเป็นต้นธารแห่งความหายนะของชาติ โดยเข้าใจผิดเห็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย จนเกิดเป็นวงจรอุบาทว์ คือ รัฐประหาร-ร่างรัฐธรรมนูญ-รัฐบาลจากการเลือกตั้ง-รัฐประหาร...หากคิดล้มล้างผลของรัฐประหาร 49 ก็เสมือนไม่มีผลรัฐประหารปี 49 ก็แสดงว่าคนที่จะได้ประโยชน์มีเพียง พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น แสดงให้เห็นว่า กลุ่มนักวิชาเกิน “นิติราษฎร์” กำลังรับใช้ใครอยู่อย่างอดสูที่สุด
เราขอย้ำว่าสภาพการณ์ที่แท้จริงทางการเมืองไทยเป็นระบอบเผด็จการ ซึ่งเป็นเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ อันเป็นผลผลิตของขบวนการลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญโดยกลุ่มคนในคณะราษฎรได้สถาปนาขึ้นเมื่อ 24 มิถุนายน 2475
ผ่านมายาวนาน 79 ปี ซึ่งลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ เกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิดของคณะผู้ปกครองเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย โดยเข้าใจและยึดเอารูปการปกครอง (ระบบรัฐสภา) และวิธีการปกครอง (รัฐธรรมนูญ) ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย นี่คือความเข้าใจผิด เห็นผิด คิดผิด สอนผิดทำผิด ปกครองผิดของคณะผู้ปกครองไทยที่สืบทอดอย่างผิดๆ ทำผิดๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราจะแสดงให้เห็นว่าสัมพันธภาพลักษณะการปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ดังนี้
ลักษณะของการเมืองการปกครองชนิดนี้คิดเกินกรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ได้ ก็คือพวกเขาเอาการปกครองมาเป็นการเมืองนั่นเอง คนมีอำนาจเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ประชาชนไม่รู้เท่าทันตกเป็นการเมือง เผด็จการทุกชนิดไม่สามารถเปิดหลักการปกครองได้ กลุ่มการเมืองแนวทางการเมืองใหญ่ๆ ที่ยึดติดแนวทางนี้ได้แก่ 1) คณะราษฎรปีกซ้าย ได้แก่พรรคเพื่อไทย นิติราษฎร์ ฯลฯ 2) คณะราษฎรปีกขวา ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ 3) พรรคคอมมิวนิสต์ เช่น ใจ อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ ซึ่งทำแนวร่วม อิงอาศัย สนับสนุนทั้งสองฝ่าย เพื่อรักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญให้ยาวนานที่สุดและรุนแรงขึ้นเพื่อให้เกิดรัฐประหาร จากนั้นพรรคคอมฯ เป็นแก่นนำโค่นกองทัพโดยมีพรรคการเมืองดังกล่าวเป็นกำลังช่วย เพราะตนเสียประโยชน์จากรัฐประหาร 4) คณะรัฐประหารโง่เขลาเบาปัญญา ฉีกรัฐธรรมนูญ มีอำนาจ แล้วก็ไปสร้างรัฐธรรมนูญเป็นวงจรอุบาท์ซ้ำซาก ผิดแล้วผิดอีกเช่นเดิมโดยไม่รู้สึกรู้สา
ขอเชิญท่านมาเป็นเจ้าของแนวคิดแก่นไทยเราแท้ๆ สัมพันธภาพการปกครองแบบธรรมาธิปไตยหรือประชาธิปไตยแบบไทยที่แท้จริง ยิ่งใหญ่ ดังนี้
ถามว่าจะเลือกสัมพันธภาพแบบไหนระหว่างเผด็จการรัฐธรรมนูญกับสัมพันธภาพแบบธรรมาธิปไตยอันเป็นปัญญาแก่นแท้ของปวงชนไทย
การปกครองแบบเผด็จการทุกชนิดเป็นคุณต่อพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคนายทุนผูกขาดต่างชาติ และพรรคคอมมิวนิสต์ แต่เป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชนในลักษณะ “สาละวันเตี้ยลง” โดยเฉพาะระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญด้วยแล้ว สามารถหลอกได้แนบเนียนมาก ยากที่ใครๆ จะจับได้ หรือแม้แต่สถาบันหลักของชาติ กองทัพก็ยังคงเข้าใจผิดและยังคงสนับสนุนการปกครองแบบเผด็จการนี้อยู่ต่อไปหรือไม่
ผลของการปกครองแบบเผด็จการ ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูได้จาก รัฐบาลทักษิณ ดูได้จาก รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยิ่งปกครองยิ่งคอร์รัปชัน ยิ่งปกครองยิ่งเสื่อม ยิ่งปกครองยิ่งเสียศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของชาติ ยิ่งปกครองยิ่งแตกแยกและทำนายว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะโกลาหลเลวร้ายยิ่งกว่า
ส่วนคณาจารย์อีกฝ่ายหนึ่ง 23 คนลงชื่อแสดงความเห็นคัดค้านไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของ “กลุ่มนิติราษฎร์” และเห็นว่าหากจะล้มล้างผลของรัฐประหารต้องล้มล้างทั้งหมดนับแต่ คณะรัฐประหารล้มล้างรัฐบาล สมเด็จพระปกเกล้าฯ เป็นต้นมา เพราะเป็นต้นธารแห่งความหายนะของชาติ โดยเข้าใจผิดเห็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย จนเกิดเป็นวงจรอุบาทว์ คือ รัฐประหาร-ร่างรัฐธรรมนูญ-รัฐบาลจากการเลือกตั้ง-รัฐประหาร...หากคิดล้มล้างผลของรัฐประหาร 49 ก็เสมือนไม่มีผลรัฐประหารปี 49 ก็แสดงว่าคนที่จะได้ประโยชน์มีเพียง พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น แสดงให้เห็นว่า กลุ่มนักวิชาเกิน “นิติราษฎร์” กำลังรับใช้ใครอยู่อย่างอดสูที่สุด
เราขอย้ำว่าสภาพการณ์ที่แท้จริงทางการเมืองไทยเป็นระบอบเผด็จการ ซึ่งเป็นเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ อันเป็นผลผลิตของขบวนการลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญโดยกลุ่มคนในคณะราษฎรได้สถาปนาขึ้นเมื่อ 24 มิถุนายน 2475
ผ่านมายาวนาน 79 ปี ซึ่งลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ เกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิดของคณะผู้ปกครองเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย โดยเข้าใจและยึดเอารูปการปกครอง (ระบบรัฐสภา) และวิธีการปกครอง (รัฐธรรมนูญ) ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย นี่คือความเข้าใจผิด เห็นผิด คิดผิด สอนผิดทำผิด ปกครองผิดของคณะผู้ปกครองไทยที่สืบทอดอย่างผิดๆ ทำผิดๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราจะแสดงให้เห็นว่าสัมพันธภาพลักษณะการปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ดังนี้
ลักษณะของการเมืองการปกครองชนิดนี้คิดเกินกรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ได้ ก็คือพวกเขาเอาการปกครองมาเป็นการเมืองนั่นเอง คนมีอำนาจเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ประชาชนไม่รู้เท่าทันตกเป็นการเมือง เผด็จการทุกชนิดไม่สามารถเปิดหลักการปกครองได้ กลุ่มการเมืองแนวทางการเมืองใหญ่ๆ ที่ยึดติดแนวทางนี้ได้แก่ 1) คณะราษฎรปีกซ้าย ได้แก่พรรคเพื่อไทย นิติราษฎร์ ฯลฯ 2) คณะราษฎรปีกขวา ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ 3) พรรคคอมมิวนิสต์ เช่น ใจ อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ ซึ่งทำแนวร่วม อิงอาศัย สนับสนุนทั้งสองฝ่าย เพื่อรักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญให้ยาวนานที่สุดและรุนแรงขึ้นเพื่อให้เกิดรัฐประหาร จากนั้นพรรคคอมฯ เป็นแก่นนำโค่นกองทัพโดยมีพรรคการเมืองดังกล่าวเป็นกำลังช่วย เพราะตนเสียประโยชน์จากรัฐประหาร 4) คณะรัฐประหารโง่เขลาเบาปัญญา ฉีกรัฐธรรมนูญ มีอำนาจ แล้วก็ไปสร้างรัฐธรรมนูญเป็นวงจรอุบาท์ซ้ำซาก ผิดแล้วผิดอีกเช่นเดิมโดยไม่รู้สึกรู้สา
ขอเชิญท่านมาเป็นเจ้าของแนวคิดแก่นไทยเราแท้ๆ สัมพันธภาพการปกครองแบบธรรมาธิปไตยหรือประชาธิปไตยแบบไทยที่แท้จริง ยิ่งใหญ่ ดังนี้
ถามว่าจะเลือกสัมพันธภาพแบบไหนระหว่างเผด็จการรัฐธรรมนูญกับสัมพันธภาพแบบธรรมาธิปไตยอันเป็นปัญญาแก่นแท้ของปวงชนไทย
การปกครองแบบเผด็จการทุกชนิดเป็นคุณต่อพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคนายทุนผูกขาดต่างชาติ และพรรคคอมมิวนิสต์ แต่เป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชนในลักษณะ “สาละวันเตี้ยลง” โดยเฉพาะระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญด้วยแล้ว สามารถหลอกได้แนบเนียนมาก ยากที่ใครๆ จะจับได้ หรือแม้แต่สถาบันหลักของชาติ กองทัพก็ยังคงเข้าใจผิดและยังคงสนับสนุนการปกครองแบบเผด็จการนี้อยู่ต่อไปหรือไม่
ผลของการปกครองแบบเผด็จการ ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูได้จาก รัฐบาลทักษิณ ดูได้จาก รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยิ่งปกครองยิ่งคอร์รัปชัน ยิ่งปกครองยิ่งเสื่อม ยิ่งปกครองยิ่งเสียศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของชาติ ยิ่งปกครองยิ่งแตกแยกและทำนายว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะโกลาหลเลวร้ายยิ่งกว่า