อ่านแถลงการณ์ของคณาจารย์ ม. ธรรมศาสตร์ ซึ่งนำโดย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ก็รู้ว่าพวกเขารับรองการปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ฉบับ 40 และต่อต้านรัฐประหาร แสดงว่าคณาจารย์กลุ่มนี้เป็นแนวร่วมทางตรงให้พรรคคอมมิวนิสต์นั่นเอง ทั้งนี้เพราะพรรคคอมมิวนิสต์ มันจะพยายามรักษาระบอบเผด็จการไว้ให้ยาวนานที่สุดและเมื่อประชาชนทนไม่ได้ทหารก็จะออกมาทำรัฐประหาร จากนั้นจึงนำมวลชนที่ไม่รู้เท่าทันออกมาต่อต้านคณะรัฐประหาร เพื่อโค่นกองทัพแห่งชาติ หากโค่นสำเร็จทุกอย่างก็อยู่ในกำมือของพรรคคอมฯ
คณาจารย์กลุ่มนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ จะต้องมีปัญญาจริงๆ อย่างง่ายๆ ตื้นๆ ว่า เผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาย่อมเป็นเหตุของรัฐประหารหรือรัฐประหารเป็นผลจากการปกครองเผด็จการรัฐธรรมนูญ
หากคณาจารย์กลุ่มนี้ไม่เป็นแนวร่วมทางตรงให้กับพรรคคอมฯ ท่านทั้งหลายต้องต่อต้านระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ อันเป็นอุปสรรคร้ายแรงของชาติมายาวนาน 79 ปี อันเป็นแนวคิดลัทธิรัฐธรรมนูญของคณะราษฎร ที่มีแนวคิดผิดพลาดอันใหญ่หลวง คือยกร่าง เขียนร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย ความเห็นผิดนี้เด่นชัดในรัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นคณะราษฎรอีกปีกหนึ่ง ที่จู่ๆ ก็บัญญัติขึ้นในรัฐธรรมนูญมาตรา 2 ว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ไม่มีการสถาปนาหลักการปกครอง (ระบอบ) แบบประชาธิปไตยขึ้นเลยแม้แต่น้อย
คณาจารย์กลุ่มนายวรเจตน์ ก็เช่นกัน เป็นทายาทคณะราษฎรที่สืบทอดลัทธิรัฐธรรมนูญ มาจากรุ่นแรก 2475 ท่านทั้งหลายคงจะเห็นชัดว่า การปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภามาคู่กับการรัฐประหารสลับกันเป็นเหตุเป็นผล นี่คือความหลงผิดอย่างร้ายแรงที่เห็นการปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย
หากคณาจารย์กลุ่มนี้ไม่เป็นแนวร่วมให้กับพรรคคอมฯ ไม่อยากเห็นรัฐประหาร ก็ต้องเสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยออกมาซิ ปากร้องว่าต้องการประชาธิปไตย แต่ไม่เสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย มันเป็นแนวทางเดียวกับพวกลัทธิเผด็จการทั้งหลายที่ “ปิดหลักการ เปิดไม่ได้เพราะมีนัยแฝงอยู่ เช่น โค่นสถาบันหลักของชาติ เป็นต้น เปิดแต่วิธีการ เช่นที่ทำอยู่”
ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย รัฐธรรมนูญทุกฉบับ ไม่เคยมีหลักการปกครองประชาธิปไตยซึ่งก็คือไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง มันมีแต่เพียงรูปแบบการปกครอง (ระบบรัฐสภา) และวิธีการปกครอง (รัฐธรรมนูญมาตราต่างๆ และการเลือกตั้งเท่านั้น แล้วโกหกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่มันก็ช่วยกันหลอกประชาชนมายานานตั้ง 79-80 ปี
คณาจารย์กลุ่มนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ขอถามว่า ระหว่างจุดมุ่งหมายกับวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมาย อะไรต้องเกิดก่อนหรือมาก่อน คนมีสติดีก็ต้องตอบว่า จุดมุ่งหมายต้องมาก่อน นายวรเจตน์ กลับเห็นว่าวิธีการต้องเกิดก่อนและเถียงกันว่าวิธีการฝ่ายรัฐประหารเราไม่เอา เราชอบวิธีการรัฐธรรมนูญปี 40 มันก็เห็นผิดเหมือนกันทั้งคู่ คิดง่ายๆ “ดวงอาทิตย์ต้องมาก่อนดาวเคราะห์และเป็นศูนย์กลางของดาวเคราะห์ ฉันใด” “หลักการปกครองหรือระบอบโดยธรรมต้องมาก่อน และเป็นศูนย์กลางของรัฐธรรมนูญฉันนั้น”
พวกลัทธิรัฐธรรมนูญ (รวมทั้งคณาจารย์กลุ่มนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ มีความเห็นผิดอย่างร้ายแรง 6 ประการ ได้แก่
1) เข้าใจผิดในการจัดความสัมพันธ์ระหว่างระบอบกับรัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญของไทยเราทั้ง 18 ฉบับ ไม่เคยมีหลักการปกครองโดยธรรมหรือตัวที่บ่งชี้ให้รู้ว่าเป็นระบอบอะไรมีเพียงรูปการปกครองคือระบบรัฐสภา และวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ
2) ความเข้าใจผิดว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญคือการสร้างระบอบประชาธิปไตย ความถูกต้องคือรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหน้าที่ของกฎหมาย คือ รักษาคุ้มครองและสะท้อนความเป็นระบอบนั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบที่แท้จริงแล้ว จะทำให้ล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติหายนะเรื่อยไป โดยไม่รู้จบสิ้น
3) เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย “รัฐธรรมนูญไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” ก่อนอื่นต้องสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อนโดยพระเจ้าแผ่นดิน จากนั้นจึงร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครองจึงจะถูกต้อง และเป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้
4) เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นระบอบประชาธิปไตย อันที่จริงรูปการปกครองมีไว้เพื่อสัมพันธภาพขององค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ จะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบอะไรก็ได้
5) เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้งเป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมืองซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบอะไรๆ เผด็จการ คอมมิวนิสต์ ก็นำไปใช้ได้ทั้งนั้น
6) เข้าใจผิดว่าประมุขแห่งชาติเป็นประมุขระบอบ พวกเขาชอบพูด-เขียนกันเหลือเกินว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นี่คือความเห็นผิดและเขียนผิด กลายเป็นทำลายพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตาม เป็นประมุขแห่งรัฐจึงจะถูกต้อง
หากคณาจารย์กลุ่มนี้ไม่เสนอหลักการปกครองโดยธรรม ก็แสดงให้เห็นว่านิติราษฎร์ เบื้องลึกอยากให้มีรัฐประหาร พวกเธอเป็นพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญฝ่ายซ้ายตรงข้ามพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายขวา และเป็นแนวร่วมทางตรงให้พรรคคอมมิวนิสต์กลุ่มโค่นเจ้า โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
คณาจารย์กลุ่มนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ จะต้องมีปัญญาจริงๆ อย่างง่ายๆ ตื้นๆ ว่า เผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาย่อมเป็นเหตุของรัฐประหารหรือรัฐประหารเป็นผลจากการปกครองเผด็จการรัฐธรรมนูญ
หากคณาจารย์กลุ่มนี้ไม่เป็นแนวร่วมทางตรงให้กับพรรคคอมฯ ท่านทั้งหลายต้องต่อต้านระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ อันเป็นอุปสรรคร้ายแรงของชาติมายาวนาน 79 ปี อันเป็นแนวคิดลัทธิรัฐธรรมนูญของคณะราษฎร ที่มีแนวคิดผิดพลาดอันใหญ่หลวง คือยกร่าง เขียนร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย ความเห็นผิดนี้เด่นชัดในรัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นคณะราษฎรอีกปีกหนึ่ง ที่จู่ๆ ก็บัญญัติขึ้นในรัฐธรรมนูญมาตรา 2 ว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ไม่มีการสถาปนาหลักการปกครอง (ระบอบ) แบบประชาธิปไตยขึ้นเลยแม้แต่น้อย
คณาจารย์กลุ่มนายวรเจตน์ ก็เช่นกัน เป็นทายาทคณะราษฎรที่สืบทอดลัทธิรัฐธรรมนูญ มาจากรุ่นแรก 2475 ท่านทั้งหลายคงจะเห็นชัดว่า การปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภามาคู่กับการรัฐประหารสลับกันเป็นเหตุเป็นผล นี่คือความหลงผิดอย่างร้ายแรงที่เห็นการปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย
หากคณาจารย์กลุ่มนี้ไม่เป็นแนวร่วมให้กับพรรคคอมฯ ไม่อยากเห็นรัฐประหาร ก็ต้องเสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยออกมาซิ ปากร้องว่าต้องการประชาธิปไตย แต่ไม่เสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย มันเป็นแนวทางเดียวกับพวกลัทธิเผด็จการทั้งหลายที่ “ปิดหลักการ เปิดไม่ได้เพราะมีนัยแฝงอยู่ เช่น โค่นสถาบันหลักของชาติ เป็นต้น เปิดแต่วิธีการ เช่นที่ทำอยู่”
ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย รัฐธรรมนูญทุกฉบับ ไม่เคยมีหลักการปกครองประชาธิปไตยซึ่งก็คือไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง มันมีแต่เพียงรูปแบบการปกครอง (ระบบรัฐสภา) และวิธีการปกครอง (รัฐธรรมนูญมาตราต่างๆ และการเลือกตั้งเท่านั้น แล้วโกหกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่มันก็ช่วยกันหลอกประชาชนมายานานตั้ง 79-80 ปี
คณาจารย์กลุ่มนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ขอถามว่า ระหว่างจุดมุ่งหมายกับวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมาย อะไรต้องเกิดก่อนหรือมาก่อน คนมีสติดีก็ต้องตอบว่า จุดมุ่งหมายต้องมาก่อน นายวรเจตน์ กลับเห็นว่าวิธีการต้องเกิดก่อนและเถียงกันว่าวิธีการฝ่ายรัฐประหารเราไม่เอา เราชอบวิธีการรัฐธรรมนูญปี 40 มันก็เห็นผิดเหมือนกันทั้งคู่ คิดง่ายๆ “ดวงอาทิตย์ต้องมาก่อนดาวเคราะห์และเป็นศูนย์กลางของดาวเคราะห์ ฉันใด” “หลักการปกครองหรือระบอบโดยธรรมต้องมาก่อน และเป็นศูนย์กลางของรัฐธรรมนูญฉันนั้น”
พวกลัทธิรัฐธรรมนูญ (รวมทั้งคณาจารย์กลุ่มนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ มีความเห็นผิดอย่างร้ายแรง 6 ประการ ได้แก่
1) เข้าใจผิดในการจัดความสัมพันธ์ระหว่างระบอบกับรัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญของไทยเราทั้ง 18 ฉบับ ไม่เคยมีหลักการปกครองโดยธรรมหรือตัวที่บ่งชี้ให้รู้ว่าเป็นระบอบอะไรมีเพียงรูปการปกครองคือระบบรัฐสภา และวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ
2) ความเข้าใจผิดว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญคือการสร้างระบอบประชาธิปไตย ความถูกต้องคือรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหน้าที่ของกฎหมาย คือ รักษาคุ้มครองและสะท้อนความเป็นระบอบนั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบที่แท้จริงแล้ว จะทำให้ล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติหายนะเรื่อยไป โดยไม่รู้จบสิ้น
3) เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย “รัฐธรรมนูญไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” ก่อนอื่นต้องสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อนโดยพระเจ้าแผ่นดิน จากนั้นจึงร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครองจึงจะถูกต้อง และเป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้
4) เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นระบอบประชาธิปไตย อันที่จริงรูปการปกครองมีไว้เพื่อสัมพันธภาพขององค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ จะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบอะไรก็ได้
5) เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้งเป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมืองซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบอะไรๆ เผด็จการ คอมมิวนิสต์ ก็นำไปใช้ได้ทั้งนั้น
6) เข้าใจผิดว่าประมุขแห่งชาติเป็นประมุขระบอบ พวกเขาชอบพูด-เขียนกันเหลือเกินว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นี่คือความเห็นผิดและเขียนผิด กลายเป็นทำลายพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตาม เป็นประมุขแห่งรัฐจึงจะถูกต้อง
หากคณาจารย์กลุ่มนี้ไม่เสนอหลักการปกครองโดยธรรม ก็แสดงให้เห็นว่านิติราษฎร์ เบื้องลึกอยากให้มีรัฐประหาร พวกเธอเป็นพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญฝ่ายซ้ายตรงข้ามพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายขวา และเป็นแนวร่วมทางตรงให้พรรคคอมมิวนิสต์กลุ่มโค่นเจ้า โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม