xs
xsm
sm
md
lg

มาร์คจี้ปูตอบให้ชัด 4.6ตร.กม.เป็นของไทย ฮุนเซนจัดรถรับแดงแห่เข้าเขมร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - ชายแดนคึกคัก เสื้อแดงกว่า 5 พัน หอบลูกจูงหลาน เชียร์ “มูลเมืองคัพ”ในถึงถิ่นเขมร “ฮุนเซน” ใจดี! จัดรถบัส 50 คันรับ “อ้ายปึ้ง” รับย้ายยกล๊อตทีมเจบีซี-สู้คดีเขาพระวิหาร ส่วน “ปู” ตีมึน อ้างจำไม่ได้ โบ้ย “บัวแก้ว” ตอบ "มาร์ค" ไม่เห็นด้วย กต.ถอด "อัษฎา" จี้นายกฯ ประกาศให้ชัด 4.6 ตร.กม.ของไทย

วานนี้ (23 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้ววัน บรรยากาศบริเวณจุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา เช่น ด่านช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ บริเวณจุดตรวจร่วมยาเสพติด กองร้อยทหารพรานที่ 1206 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12 กองกำลังบูรพา ทางเข้าตลาดโรงเกลือ หน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีมวลชนคนเสื้อแดงนับพันคน ทยอยเดินทางผ่านด่านชายแดนเพื่อยื่นตรวจประทับตราหนังสือเดินทางขอข้ามไปฝั่งกัมพูชา เพื่อไปร่วมเชียร์และชมการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษระหว่างแกนนำคนเสื้อแดงกับคณะรัฐมนตรีของกัมพูชา วันที่24 ก.ย.นี้ที่สนามกีฬาโอลิมปิค ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

ทั้งนี้ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จังหวัดสระแก้ว ได้ตรวจสอบเอกสารและหนังสือเดินทางของกลุ่ม นปช.และกลุ่มคนเสื้อแดง อย่างละเอียดโดยไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีพาสปอร์ต เดินทางออกไปฝั่งกัมพูชาอย่างเด็ดขาด ส่วนผู้ที่มีพาสปอร์ตให้อำนวยความสะดวกเท่าเทียมกับนักท่องเที่ยวทั่วไป โดยไม่ให้มีการแบ่งแยกการบริการว่าเป็น นปช.หรือนักท่องเที่ยวทั่วไป ทำให้บรรยากาศบริเวณหน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ คึกคักไปด้วยกลุ่ม นปช.และกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีการร้องรำทำเพลงกันอย่างคึกครื้น

รายงานข่าวแจ้งว่า กลุ่ม นปช. ได้นำป้ายเป็นรูปหัวใจด้านหน้าเป็นภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเขียนข้อความด้านล่างว่า”อนึ่งคิดถึงมากๆ” ส่วนอีกด้านมีภาพ”สมเด็จฮุน เซน” นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา โดยมีภาษาอังกฤษเขียนกำกับว่า “WE LOVE HUN SEN “ “WE LOVE COMBODIA” นอกจากเดินทางมาโดยรถบัสและรถโดยสารแล้วบางส่วนได้นำรถยนต์ส่วนตัวขออนุญาติเข้าไปในกัมพูชาด้วย

**ฮุนเซน จัดรถบัสร์ 50 คันรับ

ส่วนในฝั่งกรุงปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ตรงข้ามด่านพรมแดนอรัญประเทศ ของไทย สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้จัดส่งรถบัส ปรับอากาศชั้นหนึ่ง จำนวนกว่า 50 คัน มารอรับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยได้นำรถบัสมาจอดรอรับอยู่ที่ลานจอดรถหน้าบ่อนกาสิโนแกรนด์ไดม่อน และบริเวณวงเวียนปอยเปต ฝั่งกัมพูชา โดยมี เจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชามารอรับและอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่

ทั้งนี้มีรายงานว่า สมเด็จฮุนเซน มีคำสั่ง มายังเจ้าหน้าที่กัมพูชา อย่างเข้มงวด โดยคาดโทษ ว่า “ห้ามคนเสื้อแดงชาวไทยเสียเลือดแม้แต่หยดเดียวในกัมพูชา”

**สื่อลงทุนซื้อทัวร์เสื้อแดงไปทำข่าว

แหล่งข่าวแกนนำคนเสื้อแดง เปิดเผยว่า คาดว่าจะมีกลุ่ม นปช.และกลุ่มคนเสื้อแดง เดินทางเพื่อไปเชียร์ฟุตบอล นัดกระชับมิตรมากกว่า 5 พันคน โดยกลุ่มส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนพำรรค นำโดยนาย สมชาย วงดิ์สวัสดิ์ และแกนนำคนอื่น ๆจะเดินทางไปช่วงเย็นวันที่ 23 ก.ย.

มีรายงานว่า สื่อมวลชนหลายแขนงเดินทางไปทำข่าวฟุตอลจำนวนมาก ขณะที่สื่อบางสำนักลงทุนซื้อทัวร์ของคนเสื้อแดงไปทำข่าวเช่นกัน

**“แดงหลายกลุ่ม” เมินอ้างไม่มี”แม้ว”

รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะที่คนเสื่อแดงอีกหลายกลุ่ม เช่น นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ปฏิเสธที่ะจเดินทางไปร่วมชมการแข่งขันฟุตบอล โดยอ้างว่ากำลังลงพื้นที่เพื่อนำสิ่งของไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม รวมถึงกลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดลำปาง ก็ปฏิเสธที่จะเดินทางไปเช่นกัน โดยส่วนใหญ่ มีความหวังและตกลงกันว่าจะได้พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กัมพูชา โดยมีการลงชื่อกว่า 300 คน แต่หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิน ไม่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอล และเดินทางออกจากประเทศกัมพูชาไปแล้ว ทางกลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดลำปาง จึงมีมติยกเลิกการเดินทางทันที

วันเดียวกัน กลุ่มคนเสื้อแดงอุดรธานี ได้ร่วมยกระดับหมู่บ้านเสื้อแดงฯ ขึ้นเป็น “สมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย แห่งประเทศไทย”ก่อนที่บางกลุ่มจะเดินทางเข้ากัมพูชา

**“อ้ายปึ้ง” รับย้ายยกล๊อต “ทีมเจบีซี”

อีกด้าน กระแสข่าว “โยกย้ายครั้งใหญ่ในกระทรวงการต่างประเทศ” ที่จะนำเข้า ครม.ในวันที่ 27 ก.ย.นี้ รวมทั้งการย้ายบุคคลที่ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นั้น

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ กล่าวชี้แจงว่า เมื่อสองสัปดาห์ก่อนได้นำเรื่องเข้าที่ประชุมครม.เปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม(เจบีซี)ไทย-กัมพูชา จากนายอัษฎา ชัยนาม เป็นนายบัณฑิต โสตถิพลาฤทธิ์ อดีตเอกอัครราชทูตในหลายประเทศ และเปลี่ยนทีมที่ปรึกษาของเจบีซีจากนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ และนายชาตรี อรรถจานันท์ ผอ.กองกฎหมายกรมสนธิสัญญา มาเป็นนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และนายณัฐฏวุฒิ โพธิสาโร เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล

นอกจากนี้ยังเปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชาจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณมาเป็นตน ส่วนที่ปรึกษาได้เปลี่ยนจากนายเกรียงศักดิ์ กิตติชัยเสรี เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอรา ประเทศออสเตรเลีย เป็นนายพรชัย ด่านวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมอาเซียน

“ผมมองว่าการปรับเปลี่ยนเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยและเกิดขึ้นในทุกกระทรวง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทุกรัฐบาลก็ทำเหมือนกันหมด ส่วนหนึ่งที่มีการปรับเปลี่ยนทีมใหม่ก็เพราะเห็นว่าสองปีที่ผ่านมาของรัฐบาลเก่าการทำงานไม่มีความคืบหน้า จึงหวังว่าการปรับเปลี่ยนทีมงานจะทำให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ผลของงานที่ทำจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง"นายสุรพงษ์กล่าว

สำหรับคณะทำงานที่สู้คดีพระวิหารในศาลโลกนั้น นายสุรพงษ์กล่าวว่า ยืนยันว่าเราจะใช้คณะทำงานชุดเดิมทั้งหมดตั้งแต่ นายวีรชัย ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทย และทีมที่ปรึกษากฎหมายชาวต่างชาติ เพราะติดตามเรื่องมาและมีข้อมูลทั้งหมดแล้ว การดำเนินการจะได้มีความต่อเนื่องและไม่ให้เกิดอุปสรรคในการต่อสู้คดี

“ผมก็หวงแหนผืนแผ่นดินไทยเช่นกัน คงไม่คิดไปทำอะไรที่จะทำให้ประเทศชาติเสียหาย ดังนั้นสิ่งใดที่ทำมาแต่ต้นที่จะต่อสู้ได้อยู่แล้วเราจะไปเปลี่ยนให้เสียรูปการณ์คงไม่ใช่ เราจะสู้เต็มที่ และผมก็ไม่มีความคิดจะโยกย้ายทูตวีรชัยเช่นกัน” นายสุรพงษ์

**“ทูตอัษฎา”รับถูกถอดตั้งแต่13ก.ย.
 

นายอัษฎา กล่าวยอมรับว่า ได้มีการพิจารณาบุคคลที่ทำหน้าที่ประธานเจบีซีคนใหม่ของฝ่ายไทย โดยยอมรับว่า ตนได้ถูกถอดออกจากตำแหน่งดังกล่าวมาตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศ ก็ยังไม่มีการชี้แจงถึงเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งครั้งนี้

** “ปูหนี”เมินตอบทีมสู้คดีพระวิหาร
 

ส่วนกระแสข่าวเตรียมการโยกย้าย นายวีระชัย พลาศรัย และ นาย เกรียงศักดิ์ กิตติชัยเสรี สองเอกอัครราชทูตซึ่งมีหน้าที่ในการทำเรื่องคดีปราสาทพระวิหาร ออกจาก เจบีซี
เมื่อผู้สื่อข่าวนำเรื่องดังกล่าวไปสอบถามกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงเหตุผลในการย้ายซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธที่ตอบแม้ว่าผู้สื่อข่าวจะพยายามถามถึง 3 รอบ สุดท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไปในทันที

* ตีมึนเด้ง “อัษฎา” อ้างจำไม่ได้ โบ้ยปึ้งตอบ
 

อย่างไรก็ตามเวลา 16.00 น.ที่สยามสมาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์อีกว่า “จำไม่ได้ ขอให้ไปถามนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศได้ไหม”

**บิ๊กอ๊อดบินเขมร พบ “เตีย บัน”
 

พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางเยือนประเทศกัมพูชาเพื่อหารือกับ พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมกัมพูชา ว่า เป็นไปตามคำเชิญของ พล.อ.เตีย เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ความร่วมมือด้านความมั่นคง โดยจะหารือเกี่ยวกับการเตรียมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ซึ่งจะแจ้งให้กัมพูชาทราบว่า การที่ประเทศไทยประชุมจีบีซีช้า เพราะมีข้อกฎหมายที่จะต้องนำวาระและเนื้อหาที่จะประชุมจีบีซีเข้าสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก่อน และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และหากมีเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาหรือต้องเข้ากระบวนการรัฐสภาก็ต้องผ่านรัฐสภาก่อน

ทั้งนี้ยืนยันว่า ทันทีที่ทุกเรื่องพร้อมและผ่านขั้นตอนทุกอย่างแล้ว เราพร้อมร่วมประชุมกับกัมพูชาทันที คาดว่าก่อนปลายเดือน พ.ย.เราจะสามารถจัดการประชุมได้เพื่อใหเเสร็จสิ้นทันตามกำหนดในเดือน พ.ย. ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงกลาโหมได้มอบให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้เสนอให้ สมช.ทราบ และเมื่อเข้า สมช.แล้วทางกลาโหมจะขอให้เร่งรัดในการเรียกประชุมในกรอบของการหารือกับกัมพูชาต่อไป

ส่วนพื้นที่ตามแนวชายแดน ขณะนี้บรรยากาศกำลังดีมาก เพราะทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีความต้องการให้เกิดสันติภาพและความร่มเย็นเป็นสุขกับประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน ซึ่งเราจะสนับสนุนทุกเรื่องเพื่อให้ประชาชนสามารถไปมาหาสู่กันและจะสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ

**ปัดวิจารณ์เด้ง “ทีมสู้คดีพระวิหาร”
 

ส่วนมีการโยกย้าย 2 ทูตที่เป็นมือกฎหมายไทยกรณีปราสาทเขาพระวิหาร พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ยังเป็นเพียงกระแสข่าวอยู่ ตนยังไม่ขอพูดว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ต้องแล้วแต่ความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ขอให้เป็นความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ขณะนี้เรื่องยังไม่เกิดขึ้นอย่าเพิ่งพูดก่อน เพราะจะกลายเป็นการวิจารณ์ ขอให้เรื่องเกิดขึ้นก่อนแล้วตนจะเรียนให้ทราบว่า ผลกระทบ หรือผลดีของการปรับย้ายนั้นจะเป็นอย่างไรต่อกระทรวงกลาโหมบ้างในอนาคต แต่ตอนนี้ขอเว้นไว้ก่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ความสัมพันธ์ที่ดีเป็นพิเศษอาจถูกมองว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวยืนยันว่า ไม่มีเรื่องผลประโยชน์แอบแฝง แต่ทหารจะสนับสนุนและดำเนินการให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

**ผบ.ทบ.”ให้ “ปึ้ง”รับผิดชอบ หากเกิดผลเสีย
 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า คงไม่มีกระทบ การทำงานอย่าไปยึดถือตัวบุคคลเป็นหลัก การทำงานต้องใช้หลักการ และมีแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งตัวบุคคลถือว่าสำคัญ และบุคคลนั้นต้องทำด้วยหลักการที่มีอยู่ ตามด้วยกฎหมาย ข้อบังคับ จะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ เพราะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แล้ว

ดังนั้น ใครจะเป็น ใครจะไปหรือมา ก็ต้องรักษากฎกติกา ขอให้รอดูเพราะเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ แต่คิดว่า จะไม่ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการทำงาน เชื่อว่า การทำงานจะต้องส่งต่อกันได้ ความจริงเหตุการณ์นี้เกิดตั้งแต่ปี 05 ขณะนี้ปี 54 คนที่เกิดสมัย 05 ก็เหลืออยู่ไม่กี่คน ก็ยังมีการดำเนินการต่อกันมาถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคนไหนก็ต้องทำต่อให้ได้

**“กษิต”ข้องใจย้ายทีมเจบีซี-สู้พระวิหาร
 
นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัรมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า เป็นสิทธิของรัฐบาลใหม่ แต่คนที่เคยอยู่ในตำแหน่งเดิม อาทิ นายอัษฎา นั้นเป็นคนที่มีความรู้ เป็นนักวิชาการ ที่ได้รับการแต่งตั้งเพราะขีดความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเจรจาระหว่างประเทศเพราะเคยเป็นเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์กจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายองค์ความรู้และความสามารถ

ส่วนข้าราชการประจำที่รายชื่อโยกย้ายนั้น ตนเห็นว่าไม่ถูกต้องนักเพราะนายเกรียงศักดิ์ กิตติชัยเสรี เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงแคมเบอร์ร่า ประเทศออสเตรเลียก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทะเล มีชื่อเสียงกฎหมายระหว่างประเทศ อยู่ในกรรมาธิการด้านกฎหมายระหว่างประเทศของสหประชาชาติอยู่ และขณะนี้ยังไม่ทราบคำชี้แจงของรัฐมนตรีต่างประเทศว่าทำไมต้องโยกย้าย

**จับตาครม.ถกกรอบทับซ้อนทางทะเล


เมื่อถามถึงการปรับบุคลากรว่าจะส่งผลถึงทิศทางนโยบายด้านการต่างประเทศ หรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า คงเป็นเช่นนั้นแต่รายละเอียดยังไม่ชัด ต้องไปดูประเด็นปัญหากับกัมพูชาก่อน โดยอาทิตย์ที่3ของเดือนพฤศจิกายนนี้เราต้องส่งเอกสารความเห็นต่อข้อเรียกร้องของฝ่ายกัมพูชาที่มีต่อศาลโลก ในเรื่องที่เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณรอบๆปราสาทพระวิหารก็หวังว่าทีมที่เคยทำงานอยู่จะมีความต่อเนื่อง เพราะทีมชุดนี้ทำงานเป็นปีแล้ว เคยไปศาลโลก2ครั้ง อยากให้ทีมนี้ทำถึงที่สุด ไม่มีการเปลี่ยนกลางลำ

ส่วนประเด็นเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลนั้น นายกษิต กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีสมัยนายอภิสิทธิ์ ได้มีการจัดตั้งคณะทำงาน ระดับเจ้าหน้าที่เพื่อศึกษาท่าทีของไทยเพื่อศึกษาเป็นกรอบก่อนรายงานต่อรัฐสภาว่าจะเจรจากับกัมพูชาอย่างไร ตอนนี้ยังไม่แล้วเสร็จ มีการว่าจ้างที่ปรึกษาที่กฎหมายระหว่างประเทศมา ดังนั้นท่าทีต่อพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระดับข้าราชการประจำมีการเตรียมการอยู่แล้ว ดังนั้นต้องเสนอมาที่ฝ่ายการเมือง ดังนั้นต่อไปนี้อยู่ที่ว่าครม.ชุดใหม่จะทำอย่างไร

ส่วนที่มีข่าวว่าจะย้ายนายสมปอง สงวนบรรพ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชาด้วยนั้น นายกษิต กล่าวว่า นายสมปองทำงานด้วยดี อีก1ปีจะเกษียณอายุราชการ หากจะเปลี่ยนก็ต้องถามว่าเป็นเพราะนโยบายเปลี่ยนหรืออย่างไร ดังนั้นรัฐบาลต้องชี้แจงต้องสาธารณชนให้ได้

***มาร์คจี้ปูประกาศให้ชัด 4.6 เป็นของไทย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
 กล่าวว่า การต่อสู้คดีในศาลโลก และโดยเฉพาะประเด็นข้อพิพาททั้งทางบกและทางทะเล รัฐบาลต้องมีคำตอบที่ชัดเจนในการรักษาผลประโยชน์ของชาติว่ามีแนวทางอย่างไร ที่สำคัญคือ อยากให้คนที่เคยทำงานอยู่แล้วและรู้เรื่องเดิมได้ทำงานต่อเพื่อความต่อเนื่อง และที่ผ่านมานายอัษฎาก็ได้ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ โดยไม่ยอมให้เป็นไปตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการได้ นายอัษฎาจึงน่าจะได้ทำงานต่อ

ผู้สื่อข่าวถามถึงท่าที น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ในการให้สัมภาษณ์และในเฟซบุ๊กที่ต่างกัน นายอภิสิทธิ์ตอบว่า นายกฯจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องยืนยันจุดยืนที่ระบุในเฟซบุ๊กว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทยให้หนักแน่นชัดเจน และต้องมีฐานที่มาของคำพูดว่า มาจากสนธิสัญญาหรือเหตุผลใดรองรับ และจะมีอะไรเป็นฐานในการต่อสู้ ซึ่งบางเรื่องต้องใช้มติครม.และรัฐสภาเห็นชอบ แต่ที่สำคัญคือ คนที่ทำงานตรงนี้ต้องรักษาประโยชน์ประเทศ เพราะจำได้ว่าสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ไปสนับสนุนแถลงการณ์ร่วม ข้าราชการก็ถูกดำเนินการด้วย ดังนั้นอย่าไปกังวลต่อความต้องการทางการเมือง แนะรัฐเร่งหาข้อยุติให้ชัดเจน กรณีมรดกโลก

"รัฐบาลและ ครม.ต้องเร่งหาข้อยุติกรณีมรดกโลกว่าจะยืนยันการถอนตัวหรือไม่อย่างไร ตลอดจนการตรวจสอบมติของกรรมการมรดกโลกว่ากระทบอธิปไตยหรือไม่ แต่จากการดำเนินการของรัฐบาล ผมก็เป็นห่วง เพราะคำพูดคนในรัฐบาล ตั้งแต่นายกฯลงมา ยังไม่ชัดเจนในเรื่องการปกป้องอธิปไตย" นายอภิสิทธิ์กล่าว

**“ขุนค้อน” บอก 2 ปท.เหมือนฟ้าประทาน

นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่ายอมรับว่าในการเดินทางไปประชุมสมัชชารัฐสภาแห่งชาติ (AIPA) ที่ประเทศกัมพูชา ได้มีโอกาสพบปะ พ.ต.ท.ทักษิณ ระหว่างร่วมงานเลี้ยงวันแรกที่ทางกัมพูชาจัดขึ้น ซึ่งก็ได้พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่สักครู่หนึ่ง ซึ่งตนก็ต้องไปตามมารยาท และตนก็มีนัดไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยการพูดคุยบนโต๊ะอาหารก็เป็นเรื่องทั่วไปของการสังสรรค์ และก็เรื่องการเมืองอยู่บ้างพอสมควร ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาตนก็คิดว่าเป็นเหมือนฟ้าประทานสิ่งต่างๆมาให้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน แล้วใยมาทำให้เสียของ เอามาทำประโยชน์ต่อประเทศชาติทั้งสองฝ่ายไม่ดีกว่าหรือ.
กำลังโหลดความคิดเห็น