ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เชื่อแน่ว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนคงสับสนกับ “ตัวตน” ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย ระหว่าง “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในทำเนียบรัฐบาล กับ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในเฟซบุ๊ก ที่มีความคิดความเห็นไม่ตรงกัน ว่าบุคคลทั้งสองจะเป็น “คนละคนเดียวกัน” หรือไม่
แม้ว่าที่ผ่านมา ประชาชนจะมีความสับสนมากพออยู่แล้วว่า ใครกันแน่ที่เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับคนที่เร่ร่อนจรจัดอยู่นอกประเทศ หรือแม้กระทั่งรองนายกฯ บางคนที่ดูมีอำนาจคับประเทศอยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ เรื่องของเรื่องสืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา หลังกลับจากเยือนกัมพูชา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงการหารือในประเด็นเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า ในส่วนของเขาพระวิหารไทยจะยึดแนวทางของจีบีซีตามแนวของศาลโลก ส่วนแนวของทหารนั้นจะมีการเสริมตำรวจเข้าไปแทนทหาร เพื่อที่จะมีกรรมการกลางในเรื่องของจีบีซีเข้ามาทำงานร่วมกัน ส่วนจะทำการถอนทหารเมื่อไหร่นั้น นายกฯ บอกว่า คงต้องให้หน่วยงานและคณะกรรมการทำการเจรจาจีบีซีทำงาน แต่โดยหลักการทางกัมพูชาก็เห็นชอบในเรื่องของการที่เขาจะปรับปรุงกำลังตามแนวชายแดนโดยปฏิบัติตามศาลโลก
ทั้งนี้ เมื่อถามว่าในส่วนของพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร มีการเจรจากันอย่างไร นายกฯ ตอบว่า ยังไปถึงแค่หลักการตรงนี้ที่เหลือเรื่องก็อยู่ที่ศาลโลก ในส่วนของไทยเองก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง
และเมื่อถามว่า ตกลงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของไทยหรือไม่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้ตอบคำถามแบบ “กำกวม” คลุมเครือ ว่า...
“ตรงนี้เรายังพูดไม่ได้ เพราะจะมีเรื่องของคณะกรรมการที่จะมีผลต่อศาลโลกในการให้ข้อมูล แต่เราเองก็จะทำหน้าที่ในการที่จะหารือกัน เพราะมีคณะกรรมการที่ตั้งไว้ในรัฐบาลที่แล้ว เราคงจะเดินหน้าต่อในการทำหน้าที่ และต้องมีผู้รู้ทางกฎหมายทำในเรื่องของการทำงานนี้ โดยยึดแนวการปกป้องรักษาอธิปไตยของประเทศไทย”
ไม่รู้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ “โง่จริง” หรือแกล้งโง่ ที่ตอบคำถามไปในแนวทางที่ทำให้ประเทศไทยตกเป็นเบี้ยล่าง เป็นรอง และเสียเปรียบในเวทีระหว่างประเทศอย่างนี้ และแม้จะเป็นการตอบคำถามไปเรื่อยเปื่อย เป็นนกแก้วนกขุนทอง ตามแต่สติปัญญาและมันสมองของคนที่เป็นนายกฯ จะพึงมี แต่หากแปลไทยเป็นไทยก็คือ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่ยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย พร้อมทั้งให้ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกที่กำลังพิจารณาคำร้องของฝ่ายกัมพูชาที่เสนอให้ตีความคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 ว่าครอบคลุมถึงพื้นที่ดังกล่าวด้วยหรือไม่
แน่นอนว่างานนี้ ฝ่ายกัมพูชามีแต่กำไร ขณะที่ฝ่ายไทยมีแต่เสียเปรียบกับเสียเปรียบ และยิ่ง “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” ไม่ยืนยันอธิปไตยและให้ยอมรับอำนาจศาลโลกมันก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของฝ่ายไทยที่จะสูญเสียอธิปไตยมีสูงยิ่งขึ้นไปอีก แม้ว่าในวันรุ่งขึ้นจะมีการแก้ตัวผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยเขียนข้อความเสียงแข็งขึ้นมาว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของไทย แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า “เป็นพื้นที่ทับซ้อน” ทั้งที่เป็นของไทยมาก่อน และไม่ยอมพูดถึงเรื่องศาลโลกตามที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ โปรดอ่านอีกครั้ง...
“ในนามของหัวหน้ารัฐบาล ดิฉันขอยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นดินแดนของไทย เนื่องจากไทยอ้างเป็นของไทย กัมพูชาอ้างเป็นของกัมพูชา ต่างคนต่างอ้างสิทธิ์ จึงเรียกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน รัฐบาลนี้จะแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนโดยวิถีทางการทูตตามหลักฐานและกฎหมายระหว่างประเทศ”
แม้ว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ในเฟซบุ๊กจะออกมาแก้ตัวแทน “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ในทำเนียบ ที่ปากเปราะพูดจาทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบเขมร แม้จะแก้ตัวเสียงแข็งอย่างไร มันก็กลายเป็นว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรของไทยโดยสมบูรณ์นั้น กลับต้องขึ้นอยู่กับการชี้ขาดของศาลโลกเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีประเทศไหนให้เข้ามาตัดสินข้อพิพาทดินแดนระหว่างประเทศ ยกเว้นจะได้รับความยินยอมจากประเทศคู่กรณี ดังตัวอย่างกรณีปราสาทพระวิหาร ที่ไทยเสียรู้ให้กับประเทศมหาอำนาจเมื่อปี 2505 และอำนาจของศาลโลกในเรื่องดังกล่าวก็ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว
คำแก้ตัวผ่านเฟสบุ๊ก โดยอ้อมแอ้มว่าพื้นที่ 4.6 เป็นของไทยจริง แต่มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะพลาดไปแล้ว หนำซ้ำยังยอมรับอำนาจของศาลโลกให้มาชี้ขาดอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าว พูดจากใจจริง ไม่มีผู้นำที่ไหนเขาโง่แบบนี้
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากคำพูดของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ในทำเนียบ ที่ไม่ยืนยันอธิปไตยของไทยในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร ความเคลื่อนไหวของทักษิณที่เดินทางไปเยือนกัมพูชา รวมถึงการที่ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ต่างชาติเข้าพบหารือกับผู้นำไทยที่ทำเนียบรัฐบาลในเวลาไล่เลี่ยกัน มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกตั้งข้อสงสัยว่านี่คือ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่ผี “อีเม้ย” เจาะปากให้ใครบางคนพูดแต่คำว่า “เป็นพื้นที่ทับซ้อน” ในแผนการ “ยกดินแดนให้” เพื่อแลกเปลี่ยน เป็นลักษณะ “ต่างตอบแทน” ไม่มีผิด!
หากเป็นแบบนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก เพราะนอกจากตัวผู้นำจะถูกปรามาสในเรื่องความ “ไร้กึ๋น” ไร้ฝีมือในการบริหาร อยู่ในชั้น “อนุบาล” ทางการเมืองแล้ว ยัง “ไร้จิตสำนึก” ยอมเป็นเครื่องมือให้กับกลุ่มผลประโยชน์ โดยไม่สนใจกับอธิปไตยของชาติ
อย่างไรก็ตาม เรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร ได้กลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ และเกิดความสงสัย เพราะมีรายงานข่าวว่า ในระหว่างการเดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 15 ก.ย.54 นายฮุนเซนได้ย้ำกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประเด็นพื้นที่ปราสาทพระวิหารในสองเรื่องหลัก คือ 1.พื้นที่ 4.6 ตร.กม. เป็นของกัมพูชา 2.ต้องถอนทหารออกจากเขตปลอดทหารตามกำหนดในมาตรการชั่วคราวของศาลโลก และรับผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้าประจำพื้นที่ พร้อมเสนอให้สองฝ่ายใช้คำว่า “ปรับกำลัง” แทนการถอนทหาร
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประกาศิตของ “จิ้งจอกพนมเปญ” หรือไม่ ที่ทำให้หลังจากเสร็จกิจ สิ้นการเยือนกัมพูชา และเดินทางกลับถึงประเทศไทย “คนสวย” จึงได้ให้สัมภาษณ์แบบ “เง่าๆ” แต่ดันไปเข้าทางนายฮุนเซนพอดิบพอดี โดยตัวเธอไม่ยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย พร้อมทั้งให้ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกอีกต่างหาก แม้ในวันต่อมา อีกภาคของนายกฯ ในโลกออนไลน์จะรีบออกมาแก้ตัวผ่านเฟซบุ๊กก็ตามที
แม้ว่า “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม จะออกโรงมา “สำทับ” อีกว่า...
“ในวันนี้นายกรัฐมนตรีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย ผมก็ยืนยันตามนายกรัฐมนตรีพูด และขอยืนยันซ้ำว่าพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นพื้นที่ของประเทศไทย เรายังมีอธิปไตยเหนือดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร เพราะตอนนี้พื้นที่ดังกล่าวยังมีการวางกำลังทหารอยู่ ยังมีการปฏิบัติการของทหารไทยอย่างต่อเนื่อง เรายังไม่มีการถอนทหารออกจากพื้นที่”
เหตุที่ นายกฯ เฟซบุ๊กและรมว.กลาโหม ต้องย้ำเรื่องพื้นที่ดังกล่าว ก็เนื่องจาก นายกฯ ในทำเนียบตอบคำถามเรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ไม่เคลียร์ หรือเรียกอีกอย่างว่า “ไม่เหมาะสม” นั่นแหละ
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเกี่ยวเนื่องที่ต้องจับตามองก็คือ ขณะที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ออกมายืนยันว่า กำลังทหารไทยยังคงอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเพราะถือเป็นดินแดนไทย แต่ล่าสุดกลับมีรายงานข่าวว่า เมื่อกลางดึกวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา ทหารไทยได้ถอนกำลังรถถัง 17 คัน ที่รักษาอธิปไตยตามแนวชายแดนไทย- กัมพูชา บริเวณใกล้ปราสาทพระวิหาร ออกจากพื้นที่แล้ว โดยสื่อมวลชนถูกห้ามถ่ายภาพการถอนกำลังครั้งนี้อย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ สำนักข่าวฟิฟทีนมูฟ เปิดเผยว่า แม้ “แม่ทัพภาค 2” และ “ รมว.กลาโหม” ยืนยันไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่เขาพระวิหารหลังการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตรงกันข้ามได้มีการถอนกำลังสนับสนุนออกจากพื้นที่รอบนอกทั้งหมด พร้อมจัดพิธีส่งที่กองร้อย ตชด. 224 ตกค่ำลอบส่งรถขนรถถัง-ปืนใหญ่ลำเลียงออกจากพื้นที่ร่วม 40 คัน เป็นการถอนกำลังหลักทั้งหมด คงหน่วยย่อยใน 4.6 แค่หย่อมเดียว
โดยเมื่อค่ำวัน17 ก.ย.ที่ผ่านมา แหล่งข่าวฟิฟทีนมูฟในพื้นที่ใกล้ปราสาทพระวิหาร รายงานว่า ตลอดวัน ทหารไทยได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่รอบนอกของเขาพระวิหาร โดยเมื่อเวลา 15.00น. ที่กองร้อย ตชด. 224 ซึ่งอยู่ติดกับกรมทหารพรานที่ 23 บ้านน้ำเย็น ได้มีการตั้งแถวและทำพิธีส่งทหาร พร้อมมีรถขนส่งทหารจำนวนมากรอลำเลียงทหารกลับหน่วยเดิม ซึ่งคาดว่า ณ ขณะที่รายงานมีการถอนกำลังออกทั้งหมดแล้ว และเมื่อเวลา 19.30 น. มีการนำรถขนรถถังขนาดใหญ่มากกว่า 10คัน เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเขาพระวิหาร เพื่อลำเลียงรถถังกลับลงมา โดยเมื่อเวลา 20.30น. รถขนรถถังดังกล่าวได้ลำเลียงรถถังใหญ่ รถถังเล็ก และปืนใหญ่ชนิดต่าง ๆ ออกจากพื้นที่
ทั้งนี้ แหล่งข่าวระบุว่า มีการลำเลียงรถถังลงมาประมาณ 30-40คัน ซึ่งเป็นทั้งหมดที่กองทัพส่งเข้าประจำการในพื้นที่ โดยระหว่างการลำเลียงชาวบ้านที่พักอาศัยห่างถนนสายกันทรลักษ์-เขาพระวิหาร ในรัศมี 1-2ก.ม. ต่างตื่นตกใจเนื่องจากแรงสั่นสะเทือนของพื้นถนนระหว่างการลำเลียง
แหล่งข่าวยังรายงานด้วยว่า แม้การถอนทหารดังกล่าวเป็นการถอนกองสนับสนุนที่อยู่รอบนอก แต่กองกำลังสนับสนุนดังกล่าวเป็นกองกำลังหลักที่มีกำลังทหารมากสุด มีอาวุธยุทโธปกรณ์หนัก ทั้งรถถังและปืนใหญ่ประจำการ ขณะที่หน่วยทหารซึ่งประจำการอยู่ในบางส่วนของพื้นที่ 4.6 ตร.กม. และใกล้เคียงเป็นเพียงกองกำลังย่อยเท่านั้น
สรุปว่าบ้านนี้เมืองนี้จะเชื่อใจใครได้หรือไม่ แม้แต่เรื่องการ “ถอนทหาร” ออกมาจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร ตอนแรก “ทหารกุนเชียง” พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาค 2 ที่คุมพื้นที่บอกว่า สถานการณ์ทุกอย่างยังเป็นปกติ ยังไม่มีการปรับหรือถอนกำลังทหารของทั้ง 2 ฝ่าย ออกจากแนวชายแดนเขาพระวิหารแต่อย่างใด ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ามีการถอนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ออกจากพื้นที่นั้น เป็นเพียงแค่การสับเปลี่ยนกำลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่เท่านั้น ไม่ได้มีการถอนกำลังหรืออาวุธยออกจากพื้นที่แนวชายแดนแต่อย่างใด
ต่อมา ทาง ผบ.ทบ.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็สำทับยืนยันอีกแรงทำนองเดียวกันว่า เป็นแค่การเปลี่ยนกำลังให้ทหารได้พักฟื้นร่างกาย แต่ล่าสุดกลายเป็นมีข่าวจากกัมพูชายืนยันว่า ทั้งสองฝ่ายได้ถอนกำลังออกไปแล้ว และแม้แต่ รมว.กลาโหม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ก็กล่าวว่าทางฝ่ายกัมพูชาได้เคลื่อนย้ายทหารที่เป็น “กองหนุน” พร้อมยุทโธปกรณ์ออกไปแล้ว ซึ่งนั่นก็ต้องหมายความว่าฝ่ายไทยก็ต้องถอยออกมาเช่นเดียวกัน
ในสถานการณ์อย่างนี้ ผู้ที่เป็นความหวังและเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวที่จะพูดความจริงกับประชาชนก็คือนายกรัฐมนตรี แต่พอหันไปทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เธอกลับนิ่งเฉย และเมื่อผู้สื่อข่าวซักถามถึงความชัดเจนต่อข่าวไทยถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร เธอก็กล่าวเพียงสั้นๆว่า “ไม่ทราบค่ะ”
และยิ่งเมื่อถามถึงการเดินทางไปกัมพูชาของ “นช.ทักษิณ” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ตอบเพียงสั้นๆ แต่มีความหมายเหมือนเดิมว่า “ไม่ทราบค่ะ ดิฉันก็ไม่ได้ทราบค่ะ”
ต่อไปนี้ ถ้าประชาชนอยากรู้เรื่องอะไรก็ให้ไปถาม “ผีอีเม้ย” ก็แล้วกัน !