“มทภ.2” อ้างแค่สับเปลี่ยนกำลัง-อาวุธ ยันยังไม่ถอนทหารพ้น “เขาวิหาร”

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “มทภ.2” มอบเงิน 1.1 ล้านบาท จากการจัดงานพระเครื่องให้ทายาทและครอบครัวทหารพลีชีพ เหตุสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา 11 ครอบครัว ยืนยันยังไม่ถอนทหารพ้น “เขาพระวิหาร” อ้างแค่สับเปลี่ยนกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ระบุ รอคำสั่งรัฐบาลหลังถก “จีบีซี” ร่วมเขมร เชื่อคนไทยเห็นพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของไทย

วันนี้ (18 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องเอ็มซีซี ฮอลล์ ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์นครราชสีมา พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) เป็นประธานเปิดงานมหกรรมการประกวดการอนุรักษ์พระบูชา-พระเครื่อง และเหรียญคณาจารย์ จัดขึ้นโดยความร่วมมือกันระหว่างกองทัพภาคที่ 2 กับ สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย เพื่อนำเงินรายได้ช่วยเหลือครอบครัวกำลังพลของกองทัพภาคที่ 2 ที่เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

พร้อมกันนี้ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร มทภ.2 ได้เป็นประธานมอบเงินรายได้จากการจัดงานและเงินที่ได้รับจากการบริจาค จากสมาคมผู้นิยมพระเครื่อง พระบูชาไทย จำนวน 1,100,000 บาท ให้กับทายาทและครอบครัวของกำลังพลที่เสียชีวิตในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่จากเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ, ปราสาทตาเมือนธม และ ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ รวม 11 ครอบครัว ครอบครัวละ 1 แสนบาท เพื่อบำรุงขวัญสร้างกำลังใจให้กับทายาทและครอบครัวทหารที่เสียชีวิต

นอกจากนี้ รายได้จากการจัดงานจะนำไปช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบอีกว่า 100 นาย โดยมี นายพยัพ คำพันธ์ นายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย และประธานชมรมพระเครื่องมรดกไทย ให้การต้อนรับ และมีบรรดาเซียนพระเครื่องชื่อดังจากทั่วประเทศ นำพระเครื่องดังมาประกวดกันอย่างคึกคัก และ ตั้งแผงเช่าพระ กว่า 500 แผง มีประชาชนให้ความสนใจเข้าชมกว่า 1,000 คน

พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า การจัดงานดังกล่าวเป็นการร่วมมือกันระหว่างกองทัพภาคที่ 2 และ สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย เพื่อต้องการนำเงินที่ได้จากการจัดงานครั้งนี้ไปช่วยเหลือครอบครัวกำลังพลทหารที่ได้รับบาดเจ็บกว่า 100 นาย และเสียชีวิตจากการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน 11 นาย ตลอดห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา โดยทางกองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ทางกองทัพภาคที่ 2 พอจะช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวกำลังพลเหล่านี้ได้ ก็พร้อมที่จะร่วมดำเนินการทันที ซึ่งถือเป็นนโยบายโดยตรงจากผู้บัญชาการทหารบก ที่มีความเป็นห่วงเป็นใยครอบครัวกำลังพลที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งที่ผ่านมานอกจากทางกองทัพบกให้ความช่วยเหลือตามระเบียบของกองทัพแล้ว ในส่วนของครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งมีทายาทก็ได้รับสิทธิในการเข้ารับราชการทหารต่อจากบิดา เพื่อให้เติบโตขึ้นเป็นกำลังหลักของครอบครัวต่อไป

พล.ท.ธวัชชัย กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ ว่า สถานการณ์ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ ยังไม่มีการปรับหรือถอนกำลังทหารของทั้ง 2 ฝ่าย ออกจากแนวชายแดนเขาพระวิหาร แต่อย่างใด ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ามีการถอนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ออกจากพื้นที่นั้น เป็นเพียงแค่การสับเปลี่ยนกำลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่เท่านั้น ไม่ได้มีการถอนกำลังหรืออาวุธยออกจากพื้นที่แนวชายแดนแต่อย่างใด

ทั้งนี้ คำสั่งถอนกำลังทหารนั้น ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาในระดับรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งหากมีผลเจรจาออกมา ทางรัฐบาลก็จะสั่งการมายังผู้บังคับบัญชาคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งจะสั่งการต่อมายังผู้บัญชาการทหารบก และมีคำสั่งมายังกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งประจำอยู่ในพื้นที่เพื่อให้ดำเนินการตามคำสั่งนั้นๆ ต่อไป

“อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้การวางกำลังทหารทุกอย่างยังอยู่ในจุดเดิมไม่มีการปรับหรือถอนทหารออกจากพื้นที่แต่อย่างใด” พล.ท.ธวัชชัย กล่าว

สำหรับกรณีที่ทางนายกรัฐมนตรีไทย ออกมาประกาศว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) รอบปราสาทพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นของประเทศไทย นั้น พล.ท.ธวัชชัย กล่าวว่า เชื่อว่า คนไทยทุกคนมีความเชื่อมั่นว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของประเทศไทยอย่างแน่นอน แต่ในขั้นตอนหรือการตัดสินนั้นคงต้องรอการตีความของศาลโลก ซึ่งขณะนี้ทางฝ่ายของกัมพูชาได้มีการยื่นฟ้องต่อศาลโลกไปแล้วว่าให้พิจารณาตัดสินในเรื่องนี้ (คดีกัมพูชายื่นฟ้องศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505)

ส่วนการดำเนินการในพื้นที่การวางกำลังทุกอย่างยังเป็นอยู่เช่นเดิม ทั้งนี้ คงต้องรอผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ จีบีซี ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของทั้ง 2 ประเทศ ว่า จะมีผลการเจรจาในเรื่องของการปรับถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่เขตปลอดทหารบริเวณเขาพระวิหาร ตามคำสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายของทางรัฐบาลว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ส่วนกองทัพภาคที่ 2 เป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น