ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ในขณะที่ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” กำลังซวนเซและหาทางออกไม่ได้กับปฏิบัติการกดดันพระราชอำนาจในการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษหลังจากถูกกระแสสังคมต่อต้านอย่างหนัก “ผีอีเม้ย” ในละครเรื่อง “รอยไหม” ที่กำลังออกอากาศอยู่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ก็ปรากฏตัวออกมาช่วย “เจ้ามูลเมือง” อย่างพอเหมาะพอเจาะและพอเหมาะพอดี
เพียงแต่คราวนี้ผีอีเม้ยไม่ได้นำแสดงโดย “ชุดาภา จันทเขตต์” หากแต่นำแสดงโดย “กลุ่มนิติราษฎร์” ที่ปฏิเสธ “นิติรัฐ” อันมีสมาชิกประกอบไปด้วย วรเจตน์ ภาคีรัตน์ จันทจิรา เอี่ยมมยุรา ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล ธีระ สุธีวรางกูรสาวตรี สุขศรี ปิยบุตร แสงกนกกุล ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ ด้วยการเสนอแนวความคิดอันสุดแสนวิเศษด้วยการเสนอให้มีการล้มรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 พร้อมนิรโทษกรรม นช.ทักษิณ และล้มกระดานคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลรัฐธรรมนูญ และปิดท้ายด้วยการคืนเงินยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท
หรือเรียกว่าล้มกระดานนับหนึ่งใหม่โดยมิได้สนใจระบบนิติรัฐ เพราะมีความเชื่อมั่นในตัวบทกฎหมายของรัฐไทยใหม่ด้วยการบัญญัติศัพท์ขึ้นมาว่า “ระบบนิติราษฎร์”
และเมื่อมีคณาจารย์ผีอีเม้ยจากรั้วนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์เป็นตัวช่วย มีหรือที่ “นิติเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรี รวมทั้งบรรดา “นิติเรด” จะไม่เด้งรับลูกอย่างทันควันว่าเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว
นี่คือขบวนการผีอีเม้ยที่กำลังสุมหัวกันปฏิบัติการครั้งใหญ่เพื่อช่วยนช.ทักษิณให้กลับเมืองไทย
**กะเทาะแก่นคิด “นิติราษฎร์”
ถ้าหากย้อนหลังกลับไปตรวจสอบเส้นทางของกลุ่มนิติราษฎร์แล้ว ก็คงจะไม่แปลกใจอะไรนักกับ “ปฏิบัติการผีอีเม้ย” ในครั้งนี้ เนื่องเพราะเป็นกลุ่มเนติบริกรที่มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกับ นช.ทักษิณ รวมทั้งคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
และที่สำคัญคือ ต้องไม่ลืมว่า กลุ่มนิติราษฎร์ที่นำโดยนายวรเจตน์นั้น คือกลุ่มที่มีแนวคิดให้ล้มหรือแก้ไขมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่ระบุเอาไว้ว่า“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
และแถลงการณ์ของคณะนิติราษฎร์เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีนิติราษฎร์ก็ยังคงยืนยันในประเด็นนี้อยู่เหมือนเดิม
ทั้งนี้ นอกจากการแก้ไขมาตรา 112 ที่กลุ่มนิติราษฎร์ยังคงยืนหยัดเช่นเดิมว่า เป็นปัญหาทั้งในแง่ตัวบทกฎหมาย การบังคับใช้และอุดมการณ์แล้ว แล้วประเด็นสำคัญอันเป็นแก่นแกนความคิดของกลุ่มนิติราษฎร์มีทั้งหมด 3 ประเด็นด้วยกัน
สำหรับประเด็นแรก ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องบอกว่าสำคัญที่สุดก็คือ กลุ่มนิติราษฎร์เสนอให้ลบล้างผลพวงของการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยให้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย ด้วยการประกาศให้คำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่อาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) และคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เป็นผลต่อเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยายนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคำวินิจฉัยและคำพิพากษาที่เกิดจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เสียเปล่าและถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย
และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ประกาศให้เรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณาในชั้นเจ้าหน้าที่ และเรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณาในชั้นศาล ที่เกิดจากการเริ่มเรื่องโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นอันยุติลง
แม้กลุ่มนิติราษฎร์จะออกตัวว่าไม่ใช่เป็นการนิรโทษกรรมหรือการอภัยโทษหรือการล้างมลทินแก่บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด และไม่ใช่เป็นการลบล้างการกระทำทั้งหลายทั้งปวงของผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด และเปิดช่องด้วยการให้สามารถกระทำตามกระบวนการทางกฎหมายปกติได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ผู้ได้รับผลประโยชน์จากการนี้โดยตรงก็คือ นช.ทักษิณ
ประเด็นที่สอง กลุ่มนิติราษฎร์พุ่งเป้าไปที่กระบวนการยุติธรรมกับผู้ต้องหาหรือจำเลยและการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน
แต่สิ่งที่กลุ่มนิติราษฎร์หลงลืมไปก็คือ ผู้ที่กลุ่มนิติราษฎร์ใช้คำว่าเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการรัฐประหาร 19 กันยานั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่ก่อการจลาจลเผาบ้านเผาเมือง รวมทั้งผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
และประเด็นสุดท้ายคือ กลุ่มนิติราษฎร์เสนอให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยข้ออ้างเรื่องเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากเผด็จการ
แต่สิ่งที่กลุ่มนิติราษฎร์หลงลืมไปเช่นกันก็คือ ทันทีที่ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการนี้โดยตรงก็คือ นช.ทักษิณ ชินวัตรอีกเช่นกัน
ดังนั้น ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์จึงเป็นประโยชน์สำหรับราษฎรที่ชื่อ “ทักษิณมหาราษฎร” เพียงคนเดียวเท่านั้น
**”นิติเหลิม” -นิติเรดเด้งรับ
และเมื่อกลุ่มนิติราษฎร์เสนอหน้าและเสนอแนวความคิดดังกล่าวออกมา มีหรือที่บรรดาคนรักทักษิณจะไม่ตีอกชกตัวเด้งรับกันอย่างเกรียวกราวทั้งแผ่นดิน ทั้งนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำคนสำคัญของคนเสื้อแดง และโดยเฉพาะตัวแม่อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม เนื่องจากผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการนี้เต็มๆ ตรงๆ ก็คือ นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นเจ้าชีวิตของคนเสื้อแดงทั้งปวง
เริ่มจากผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรีที่ชัดเจนว่า เห็นด้วยกับแนวคิดของกลุ่มนิติราษฎร์ พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการแก้รัฐธรรมนูญด้วยการแก้มาตรา 291 ให้มีที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.ให้มาจากการเลือกตั้ง จากนั้นเมื่อผ่านกระบวนการจัดทำเสร็จก็นำไปสอบถามความคิดเห็นจากประชาชนอีกครั้ง
ขณะที่นายก่อแก้ว ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยกล่าวอย่างชัดแจ้งว่า “รัฐบาลเพื่อไทยจะทำใน 2 ส่วนคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเริ่มต้นแน่นอนในเดือนธันวาคม อีกทางหนึ่งคือใช้กลไกของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติหรือ คอ.นธ.เพื่อทำให้เกิดนิติรัฐขึ้นในการแก้ปัญหาเรื่องสองมาตรฐาน” ซึ่งคำตอบของนายก่อแก้วก็ให้ความกระจ่างถึงเหตุผลที่คณะรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์แต่งตั้ง “นายอุกฤษ มงคลนาวิน” เป็นประธาน คอ.นธ.ได้ชนิดที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ อีกต่อไป
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจถ้าในอีกไปช้านายอุกฤษจะตั้งกลุ่มนิติราษฎร์ที่มีนายวรเจตน์เป็นแกนนำเป็นส่วนหนึ่งของ คอ.นธ. เพราะถ้าจะว่าไปแล้วแนวคิดของนายอุกฤษและนายวรเจตน์ก็ล้วนมาจากรากเหง้าเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กลุ่มความคิดทางการเมืองกลุ่มนี้เลือกที่จะไม่กล่าวถึงก็คือ ความผิดของ นช.ทักษิณที่กระทำต่อบ้านนี้เมืองนี้ด้วยการละเมิดหลักนิติธรรม ทำลายหลักนิติรัฐของบ้านเมืองอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ไม่ยอมรับความผิด
ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม
และไม่ยอมรับการจับกุมคุมขังด้วยการหนีอาญาแผ่นดินไปต่างประเทศ พร้อมทั้งเดินสายทำลายระบบนิติรัฐของประเทศอย่างต่อตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา
หลักคิดประชาธิปไตยของคนกลุ่มนี้มีเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ใครพวกมากคือผู้ชนะ และผู้ชนะก็สามารถทำอะไรก็ได้เนื่องเพราะได้รับสิทธิที่จะทำได้ตามเสียงของประชาชนที่เลือกเข้ามา
พวกเขาตัดตอนประวัติศาสตร์การเมือง โดยจงใจและเจตนาที่จะปลุกผีความเลวร้ายของการรัฐประหาร 19 กันยายนมาข่มขู่ประชาชนให้เกิดความหวาดกลัวเพื่อปกปิดความผิดที่ นช.ทักษิณทำเอาไว้ก่อนการรัฐประหาร
แทรกแซงองค์กรอิสระ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)
ฆ่าตัดตอน 2,500 ศพจากนโยบายปราบปรามยาเสพติด
ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ กรือเซะ ตากใบ ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นความรุนแรงที่เกิดจากนโยบายของ นช.ทักษิณโดยตรง
นอกจากนี้ กลุ่มนิติราษฎร์หลงลืมไปแล้วหรือว่า นช.ทักษิณ ชินวัตร ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี ได้กระทำการความผิดด้วยการออกมาตรการในกิจการโทรคมนาคม 5 มาตรการ คือ 1.การแปลงสัญญาสัมปทานกิจการโทรคมนาคม ด้วยการออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิต ทำให้รัฐเสียหายกว่า 60,000 ล้านบาท 2.แก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการใช้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD) เอื้อประโยชน์ให้ แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส (เอไอเอส ) ทำให้รัฐเสียหาย ประมาณ 14,000 ล้านบาท 3.แก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING) 4.มีการแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมโดยมิชอบ ทำให้รัฐเสียหาย ประมาณ 20,000 ล้านบาท 5.กรณีการอนุมัติเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าวงเงิน 4 พันล้านบาทให้รัฐบาลพม่า เพื่อนำเงินไปซื้อสินค้าจากบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ทำให้รัฐเสียหายประมาณ 670 ล้านบาท
กลุ่มนิติราษฎร์หลงลืมไปแล้วหรือกับบทความเรื่อง Bad Exes mที่เผยแพร่ทาง เว็บไซต์ foreignpolicy.com ในเครือวอชิงตันโพสต์ที่ระบุว่า 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เป็น 1 ใน 5 ผู้นำยอดแย่ พร้อมทั้งแฉถึงพฤติกรรมที่เลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่น ละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการใช้ชื่อปลอมและใช้พาสปอร์ตที่ไม่ถูกต้องเพื่อหลบหนีคดีคอรัปชั่นด้วย
และกลุ่มนิติราษฎร์จะให้คนไทยผู้จงรักภักดียินยอมให้อภัยกับอ้ายอีที่กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นนั้นหรือ
“มีการกล่าวหาว่าศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองสูงสุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผมถือเป็นความเข้าใจผิด....เมื่อศาลตัดสินโดยใช้กฎหมายปกติ กลายเป็นว่าผู้ใช้อำนาจรัฐไม่เคยเห็นด้วยกับคำตัดสินและกล่าวหาว่าศาลไปละเมิดฝ่ายบริหาร ตรงนี้เป็นปัญหามากในประเทศไทย และมีคำกล่าวที่ว่า เมื่อมีปัญหาตีความตามหลักนิติศาสตร์ไม่ได้ ก็ให้ใช้หลักรัฐศาสตร์ ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ต้องตีความกฎหมายตามหลักเศรษฐศาสตร์อีก ซึ่งมันไม่ใช่”
คำกล่าวของ “นายอักขราทร จุฬารัตน์ อดีตประธานศาลปกครองสูงสุดน่าจะอธิบายปรากฏการณ์ผีอีเม้ยที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
เพราะฉะนั้นจงอย่าแปลกใจที่นายขวัญชัย ไพรพนา หัวหมู่ทะลวงฟันคนสำคัญของ นช.ทักษิณจะออกมาเปิดเผยจุดยืนของมหาราษฎรผู้เป็นเจ้านายของตนเองด้วยการสนับสนุนการขยาย “หมู่บ้านเสื้อแดง” เพื่อที่จะสร้างลัทธิใหม่เพื่อปกครองประเทศ โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การสถาปนารัฐไทยใหม่ขึ้นในราชอาณาจักรไทยเท่านั้นเอง