xs
xsm
sm
md
lg

แผนอุบาทว์ครองเมือง ครองจิตวิญญาณบ้านเมืองแบบเบ็ดเสร็จของรัฐบาลปูแดง

เผยแพร่:   โดย: ว.ร. ฤทธาคนี

เมื่ออัลวิน ทอฟเฟลอร์ นักวิเคราะห์อนาคตสังคมชาวอเมริกัน อธิบายและเขียนหนังสือเรื่อง คลื่นลูกที่สาม โดยอธิบายเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ 3 ยุค ยุคเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรมตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมศตวรรษที่ 17 และยุคข้อมูลข่าวสารที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นตัวเร่งความเจริญของมนุษยชาติทุกมิติ ทั้งความรู้และปัญญา ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางได้ 360 องศา ที่เกิดจากการปฏิวัติเทคโนโลยีดิจิตอล การสื่อสารโทรคมนาคม องค์การธุรกิจ และความเป็นเอกภาพทางสติปัญญาของมนุษย์ที่บูรณาการกับเทคโนโลยีทั้งมวลเป็นหนึ่งเดียว

แนวคิดนี้ได้รับการพิสูจน์เมื่อบิล เกตส์พัฒนาระบบวินโดว์ และสร้างอาณาจักรไมโครซอฟท์จนถึงสตีฟ จอบส์แห่งแอปเปิล ผู้สถาปนาแมคโน้ตบุ๊คคอมมพิวเตอร์ ไอพอด ไอโฟน และไอแพด สร้างเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศที่พัฒนารวดเร็วหลายเท่าทวีคูณ จากยุคปี ค.ศ.1950 กำเนิดคอมพิวเตอร์ หรือเมื่อกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พัฒนา Arpanet ที่เป็นต้นกำเนิด Internet สู่ Facebook เครือข่ายสังคม

คนไทยเองก็มีแนวคิดเช่นนี้ แต่ความใจแคบและการรักษาลู่ผลประโยชน์ต่างคนต่างกอบโกย ทำให้กิจการโทรคมนาคมซึ่งได้รับการพระราชทานมาตั้งแต่ครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช แต่ไม่สามารถบูรณาการสร้างความเจริญให้ประเทศชาติ จนกระทั่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 กำหนดให้มีคณะกรรมการการโทรคมนาคมแห่งชาติขึ้น และเริ่มทำงานตั้งแต่ พ.ศ. 2548 และต่อมารัฐธรรมนูญปี 2550 ให้บูรณาการกิจการกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เข้าไปด้วย เพื่อความสมบูรณ์ในการบริหารกิจการการกระจายเสียงทางวิทยุ และโทรทัศน์โทรคมนาคมทั้งมวล

โดยมี พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 จึงเกิดขบวนการสรรหาคณะกรรมการจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช.ขึ้น ตามมาตรา 6 (1)-(5) ตามพ.ร.บ.ฉบับนี้ จำนวน 11 คน ซึ่งแบ่งออกเป็นด้านกิจการวิทยุกระจายเสียง 1 คน กิจการด้านวิทยุโทรทัศน์ 1 คน ด้านกิจการโทรคมนาคม 2 คน ด้านกฎหมาย 2 คน

ด้านเศรษฐศาสตร์ 2 คน ด้านการศึกษา 1 คน ด้านวัฒนธรรม 1 คน และด้านคุ้มครองผู้บริโภค 1 คน คณะกรรมการสรรหา กสทช.ได้ ดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมาย ขณะนั้นอยู่ในระหว่างที่กำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไปพอดี อำนาจการเมืองจึงให้ความสนใจน้อยกว่าการหาเสียง จนผ่านพ้นวาระของคณะกรรมการสรรหาฯ ซึ่งได้ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติและคุณภาพ ตลอดจนมีวิสัยทัศน์ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายกำหนด จำนวน 44 คน และได้ส่งให้วุฒิสภาคัดสรรตามขบวนการที่กำหนดไว้เป็นระเบียบแบบแผนชัดเจน เพื่อคัดเลือกให้เหลือเพียง 11 คน

ในขั้นตอนการคัดสรรของคณะกรรมการคัดสรร ที่ได้จำนวน 44 คนนั้น ปรากฏว่านายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร ผู้อกหัก ฟ้องศาลปกครองว่าการคัดสรรไม่โปร่งใส และในวันที่ 22 สิงหาคม 2554 ศาลปกครองมีคำพิพากษาให้ยกคำร้องของนายสุรนันท์ ซึ่งใช้ DSI โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ใช้เป็นกลไกในการตั้งประเด็นทางกฎหมายมาตั้งแต่ต้น

ดังนั้น คำพิพากษาของศาลปกครองที่ DSI ใช้เป็นกลไกให้นายสุรนันท์ยื่นฟ้องความไม่โปร่งใสของการคัดสรร แต่คำกล่าวหาถูกยกคำร้อง เป็นเครื่องยืนยันชั้นต้นว่าการสรรหา กสทช. มีความโปร่งใส มิฉะนั้นแล้วศาลปกครองน่าที่จะพิพากษาเป็นอย่างอื่น หรือทำให้ขบวนการสรรหาของสมาชิกวุฒิสภาต้องกระทบกระเทือนแต่ศาลวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องพิพาทบุคคลมิใช่เรื่องกฎหมาย

ท่ามกลางแรงกดดันหลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง และปูแดงได้เป็นนายกรัฐมนตรี รับคำสั่งทักษิณในเรื่องต่างๆ และขบวนการยื้อมิให้ ส.ว.เลือก หรือทำการซื้อตัว ส.ว.เหมือนกับครั้งที่มีการเลือก ป.ป.ช.ชุดที่ 1 พ.ศ. 2548 ส.ว.เกือบหมดถูกซื้อตัว แต่ ป.ป.ช.ชุดที่ 1 แพ้ชะตากรรมตัวเองต้องโทษอาญา เพราะทำเกินหน้าที่สั่งเพิ่มเงินตอบแทนให้กับตัวเอง แต่วุฒิสภาคณะนี้ซื้อยาก เพราะมีบุคคลที่มีอุดมการณ์เข้าไปนั่งในรัฐสภาจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ส.ว.ประกาศเดินหน้าอย่างเต็มที่ เพราะว่าหากไม่ได้ กสทช. 11 คน ตามที่กฎหมายกำหนดอำนาจและเงื่อนไขเวลาไว้แล้ว การคัดเลือกจะตกอยู่ในอำนาจนายกรัฐมนตรีปูแดงทันที แน่นอนที่สุด กสทช.คงต้องเป็นคนใส่เสื้อแดงทั้งหมดเหมือนเช่นหลายตำแหน่งทางการเมือง

ทำให้ ส.ว.ดำเนินการตามขั้นตอนภายใต้ภาวะผู้นำของ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร คนตรงคนหนึ่งของกองทัพไทย และในที่สุดวันที่ 5 กันยายน ที่ผ่านมา ส.ว.เลือก กสทช. 11 คน ภายใต้ภาวะแรงกดดันรอบทิศ

นายสมชาย แสวงการ ส.ว. และประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค แถลงการณ์มีสาระสรุปว่า “การคัดเลือก กสทช.เป็นองค์กรอิสระ มีความสำคัญมาก มีหน้าที่กำกับดูแลกิจการวิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคม เป็นเรื่องที่กระทบรากหญ้าหรือกิจการวิทยุชุมชนไปจนถึงกิจการดาวเทียมและโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ที่กำลังมีปัญหาและมีมูลค่าหลักล้านๆ บาท”

จากการนี้มีข้อสังเกตที่ทหารได้รับเลือกหลายคนแต่เพราะหลายคนพ้นการเป็นทหารแล้วละต้องพิจารณาว่าทำไม พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี อดีตเสนาธิการทหารอากาศ และรองปลัดกระทรวงกลาโหม จึงชนะนางลักษมี ศรีสมเพชร นักธุรกิจการเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ผู้มีความสัมพันธ์ขนาดเป็นแกนหาเสียงของพรรคเพื่อไทยสายนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวคนหนึ่งของทักษิณ ด้วยคะแนนฉิวเฉียด 73:69

เพราะว่า พล.อ.อ.ธเรศ เป็นที่ยอมรับของกลุ่มองค์กรอิสระ ว่ามีใจเป็นกลาง ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีประวัติด่างพร้อย ความรู้ความสามารถสำเร็จจากโรงเรียนเสนาธิการกองทัพอากาศอังกฤษที่มีชื่อเสียง หรือจะตรวจสอบอุดมการณ์ชาตินั้นก็เคยเป็นนักบินขับไล่โจมตีรักษาอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนอดีตศัตรูปัจจุบันเป็นมิตรประเทศอาเซียนมาแล้วอย่างโชกโชน และเป็นคนที่แสดงวิสัยทัศน์ชัดเจนมากในการแก้ปัญหาวิทยุชุมชนให้เกิดความยุติธรรม เป็นประโยชน์ต่อประชาธิปไตยและปวงชนชาวไทยทุกคนอย่างแท้จริง รวมทั้งครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างสมบูรณ์แบบ

นี่เป็นประเด็นตัวอย่างว่าทำไมนางลักษมี จึงพ่ายแพ้ และเมื่อแพ้ก็เสมือนหนึ่งว่ากลุ่มคนเสื้อแดงโดยเฉพาะนางเยาวภาไม่สามารถควบคุมวิทยุชุมชนได้อย่างสมบูรณ์แบบและเบ็ดเสร็จ

วิทยุชุมชนเป็นเครื่องมือครอบงำจิตวิญญาณและล้างสมองคนไทยได้ง่ายที่สุด และกระจายได้ทั่วทุกพื้นที่ในประเทศ แต่ที่สำคัญเป็นธุรกิจการกระจายเสียงวิทยุ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ง่ายและเป็นกอบเป็นกำ เมื่อคนเสื้อแดงไม่ได้เป็น กสทช.ด้านวิทยุกระจายเสียงแล้ว ก็เหมือนขาดอาวุธทางการเมืองที่สำคัญไป

เพราะวิสัยทัศน์ของ พล.อ.อ.ธเรศ พร้อมจะสร้างความถูกต้องชอบธรรม เปิดเผย โปร่งใส เสมอภาคยุติธรรมและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุดทั้งความรู้ ข่าวสารและบทบาทประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ทำให้คณะกรรมการสรรหาและ ส.ว.ทุกคณะยอมรับว่าต้องมีบุคคลที่กล้าเผชิญกับความจริง ความไม่ถูกต้อง และแต่มีอิทธิพลเพียงพอ และพล.อ.อ.ธเรศ เป็นบุคคลที่ไม่เห็นแก่อำนาจ ทั้งๆ ที่มีบารมีพร้อม แต่ไม่ขอเอาตำแหน่งใดๆ เมื่อครั้งเพื่อนรุ่น ตท. 6 ทำปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนเพื่อนๆ ใน คมช.เกรงใจ และฟังความคิดเห็นของท่านเสมอ

ด้วยเหตุนี้เองที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่รับลูกจากนายกรัฐมนตรีปูแดงที่นิตยสารไทมฉบับ 12 กันยายน นี้เองที่ระบุว่า นายกรัฐมนตรีปูแดงก็คือร่างทรงของทักษิณผู้พี่ ที่ให้สโลแกนพรรคเพื่อไทยว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ออกมาฟาดหาง โดยกล่าวว่า “มีการกล่าวหาว่าการสรรหา กสทช.ไม่โปร่งใส ควรมีการพิจารณาสอบสวนเพื่อมิให้มีจุดด่างพร้อย ก่อนให้นายกรัฐมนตรีนำกราบบังคมทูลถวายรายชื่อเพื่อโปรดเกล้าฯ ต่อไป”

แต่เรื่องอื่น ๆ ล่ะ เช่นการบังคับย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี สลับกับนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งการย้ายท่านไม่ง่ายนัก แต่ก็เป็นเรื่องอื้อฉาวมาเป็นอาทิตย์ๆ แล้วและตำแหน่ง ผบ.ตร.ไม่ต้องโปรดเกล้าฯ หรืออย่างไร ไม่ด่างพร้อยหรืออย่างไรและ DSI กำลังเป็นเครื่องมือให้ ร.ต.อ.เฉลิม เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง เป็นเวรกรรมของคนไทยจริงๆ

อย่างไรก็ดี ส.ว.ประกาศชัดเจนว่าจะดำเนินการต่อไป โดยให้ กสทช. 11 คน เลือกประธานกรรมการฯ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 12 กันยายน ศกนี้

หากว่านายกรัฐมนตรีปูแดงถ่วงเวลาไม่นำรายชื่อ กสทช.ถวายเพื่อโปรดเกล้าฯ ก็ต้องถูก 11 กสทช.และส.ว.ฟ้องศาลปกครองได้ว่าละเว้นหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด

หากเป็นไปตามจินตนาการของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้ครอบครอง ครอบงำ และบงการ กสทช.อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นในประเทศชาตินี้ คิดว่าคงเป็นหายนะแห่งชาติอย่างแน่นอน นับว่าเป็นกุศลของคนไทยที่ ส.ว.ยังคงมีอุดมการณ์ และเป็นกลางอยู่
กำลังโหลดความคิดเห็น