ASTVผู้จัดการรายวัน - คลังชะลอขายหุ้นดอนเมืองโทลเวย์ ต้องรอเคลียร์คดีวอลเตอร์ บาวฟ้องร้องรัฐบาลไทยจบก่อน หวั่นมีผลต่อรูปคดี พร้อมชง รมว.คลังคนใหม่ตัดสินใจ จะขายทิ้งหมดหรือถือบางส่วน
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวทางการขายหุ้นที่กระทรวงการคลังถือในบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ว่า ขณะนี้ได้ชะลอการขายหุ้นออกไปก่อนเพื่อให้ทางดอนเมืองโทลเวย์เคลียร์คดีกรณีที่บริษัท วอลเตอร์ บาว เอจีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทยเรียบร้อยก่อนจึงค่อยมาพิจารณาการขายหุ้นหรือจำเป็นต้องคงสัดส่วนการถือหุ้นของทางการไว้ต่อไปหรือไม่
“กระทรวงการคลังมีนโยบายชัดเจนจะขายหุ้นในบริษัทเอกชนที่เห็นว่ามีความมั่นคงแข็งแรง หรือที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักที่รัฐบาลต้องดูแลออกไป ซึ่งดอนเมืองโทลเวย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่บังเอิญว่าช่วงที่ผ่านมามีปัญหากรณีบริษัทที่เคยถือหุ้นในดอนเมืองโทล์เวย์ของเยอรมันฟ้องร้องรัฐบาลไทย จึงอยากให้เคลียร์คดีตรงนี้เรียบร้อยก่อน” นายอารีพงศ์ กล่าว
ปัจจุบันกระทรวงการคลังถือหุ้นในดอนเมืองโทลเวย์มากกว่า 25% และทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้พิจารณาเห็นว่ากระทรวงการคลังควรขายหุ้นในบริษัทดังกล่าวออกไปเพราะไม่ใช่ธุรกิจหลักหรือธุรกิจที่รัฐจำเป็นต้องเข้าไปอุ้มเหมือนในอดีต โดยได้หารือร่วมกับทางอัยการแล้วและสอบถามว่าการลดหุ้นหรือขายหุ้นทั้งหมดของคลังในดอนเมืองโทลเวย์จะมีผลกระทบต่อรูปคดีหรือไม่ ทางอัยการยังเห็นไม่ตรงกันส่วนที่หารือระบุว่าไม่มีผลกระทบ ขณะที่มีหนังสือขี้แจงมาว่าอาจมีผลกระทบต่อรูปคดีและเห็นว่ากระทรวงการคลังยังเป็นต้องถือหุ้นในดอนเมืองโทลเวย์เพื่อจะได้มีสิทธิมีเสียงในการเรียกตรวจสอบข้อมูลเอกสารต่างๆ
ความไม่ชัดเจนดังกล่าวทำให้กระทรวงการคลังยังไม่กล้าตัดสินใจใดๆ รวมทั้งการขายหุ้นด้วย เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นช่วงรอย่อของการเปลี่ยนรัฐบาลและยังมีปัญหาคาราคาซังของคดีความ จึงรอเสนอเรื่องดังกล่าวให้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง พิจารณาตัดสินใจต่อไป ซึ่งอาจมีผลให้การขายหุ้นเพิ่มทุนของดอนเมืองโทลเวย์ได้รับผลกระทบให้ล่าช้าออกไปด้วย
ทั้งนี้ บริษัทเอกชนและรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังมีนโยบายจะลดสัดส่วนการถือหุ้น ได้แก่ การบินไทย ปตท. อสมท. เป็นการขายส่วนที่เกินจากมติ ครม.เท่านั้น ซึ่งจะเป็นการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาหุ้น ยกเว้นกระทบในแง่จิตวิทยา อาจทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในองค์กรได้ จึงต้องระมัดระวังและรอให้ รมว.คลัง ตัดสินใจ.
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวทางการขายหุ้นที่กระทรวงการคลังถือในบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ว่า ขณะนี้ได้ชะลอการขายหุ้นออกไปก่อนเพื่อให้ทางดอนเมืองโทลเวย์เคลียร์คดีกรณีที่บริษัท วอลเตอร์ บาว เอจีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทยเรียบร้อยก่อนจึงค่อยมาพิจารณาการขายหุ้นหรือจำเป็นต้องคงสัดส่วนการถือหุ้นของทางการไว้ต่อไปหรือไม่
“กระทรวงการคลังมีนโยบายชัดเจนจะขายหุ้นในบริษัทเอกชนที่เห็นว่ามีความมั่นคงแข็งแรง หรือที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักที่รัฐบาลต้องดูแลออกไป ซึ่งดอนเมืองโทลเวย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่บังเอิญว่าช่วงที่ผ่านมามีปัญหากรณีบริษัทที่เคยถือหุ้นในดอนเมืองโทล์เวย์ของเยอรมันฟ้องร้องรัฐบาลไทย จึงอยากให้เคลียร์คดีตรงนี้เรียบร้อยก่อน” นายอารีพงศ์ กล่าว
ปัจจุบันกระทรวงการคลังถือหุ้นในดอนเมืองโทลเวย์มากกว่า 25% และทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้พิจารณาเห็นว่ากระทรวงการคลังควรขายหุ้นในบริษัทดังกล่าวออกไปเพราะไม่ใช่ธุรกิจหลักหรือธุรกิจที่รัฐจำเป็นต้องเข้าไปอุ้มเหมือนในอดีต โดยได้หารือร่วมกับทางอัยการแล้วและสอบถามว่าการลดหุ้นหรือขายหุ้นทั้งหมดของคลังในดอนเมืองโทลเวย์จะมีผลกระทบต่อรูปคดีหรือไม่ ทางอัยการยังเห็นไม่ตรงกันส่วนที่หารือระบุว่าไม่มีผลกระทบ ขณะที่มีหนังสือขี้แจงมาว่าอาจมีผลกระทบต่อรูปคดีและเห็นว่ากระทรวงการคลังยังเป็นต้องถือหุ้นในดอนเมืองโทลเวย์เพื่อจะได้มีสิทธิมีเสียงในการเรียกตรวจสอบข้อมูลเอกสารต่างๆ
ความไม่ชัดเจนดังกล่าวทำให้กระทรวงการคลังยังไม่กล้าตัดสินใจใดๆ รวมทั้งการขายหุ้นด้วย เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นช่วงรอย่อของการเปลี่ยนรัฐบาลและยังมีปัญหาคาราคาซังของคดีความ จึงรอเสนอเรื่องดังกล่าวให้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง พิจารณาตัดสินใจต่อไป ซึ่งอาจมีผลให้การขายหุ้นเพิ่มทุนของดอนเมืองโทลเวย์ได้รับผลกระทบให้ล่าช้าออกไปด้วย
ทั้งนี้ บริษัทเอกชนและรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังมีนโยบายจะลดสัดส่วนการถือหุ้น ได้แก่ การบินไทย ปตท. อสมท. เป็นการขายส่วนที่เกินจากมติ ครม.เท่านั้น ซึ่งจะเป็นการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาหุ้น ยกเว้นกระทบในแง่จิตวิทยา อาจทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในองค์กรได้ จึงต้องระมัดระวังและรอให้ รมว.คลัง ตัดสินใจ.
