xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

แพ้ “เผาไทย” แต่ไร้ผล “มาร์ค-เทือก” กุมบังเหียน ปชป.ต่อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การพ่ายแพ้อย่างย่อยยับของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา ต้องถือเป็นวิกฤติอย่างหนักที่สุดของพรรคการเมืองเก่าแก่ของประเทศไทยพรรคนี้

นั่นเพราะเป็นการพ่ายแพ้ในขณะที่เป็นรัฐบาล มีอำนาจทุกอย่างอยู่ในมือ และมีโอกาสสร้างผลงานให้ประชาชนนิยมชมชอบเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง ส่วนพรรคคู่แข่งสำคัญคือพรรคเพื่อไทย อยู่ในสถานะเป็นฝ่ายค้าน ที่ไม่ได้กุมอำนาจรัฐในมือ ซ้ำยังเป็นที่ชัดเจนว่า ภารกิจหลักของพรรคการเมืองพรรคนี้คือการทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ ได้พ้นจากความผิดและได้ทรัพย์สินที่ถูกศาลสั่งยึดเข้ารัฐคืน แม้กระทั่งการร่วมมือกับคนเสื้อแดงก่อเหตุเผาบ้านเผาเมือง 2 ปีซ้อนในปี 2552 และ 2553 หรือการแสดงพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง การตั้งหมู่บ้านคนเสื้อแดงที่เปรียบเหมือนเป็นการกบฏต่ออำนาจรัฐ พรรคการเมืองพรรคนี้ก็ทำมาแล้ว

แต่ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยเพียงแค่เสนอนโยบายประชานิยมที่เปรียบเสมือนขนมหวานหลอกเด็ก ผู้มีปัญญามองปราดเดียวก็รู้ว่า นโยบายเหล่านั้นเป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อที่ยากจะทำได้จริง เช่น ให้ผู้ที่จบปริญญาตรีมีเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท, ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน, ถมทะเล 200,000 ไร่, ยกเลิกกองทุนน้ำมันเพื่อให้ราคาน้ำมันถูกลง, แจกคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตแก่เด็กนักเรียนทุกคน เป็นต้น ซึ่งเมื่อการเลือกตั้งผ่านไป ก็เป็นที่พิสูจน์แล้วว่า เงินเดือนปริญญาตรีเริ่มต้นที่ 15,000 บาทนั้นจะให้เฉพาะข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ,ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทก็จะให้เฉพาะกรุงเทพฯ และภูเก็ตโดยจะเริ่มในปี 2555,โครงการถมทะเลก็ส่อแววว่าต้องยกเลิกเพราะจะก่อปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่งอย่างรุนแรง,ส่วนกองทุนน้ำมันก็จะหยุดเก็บเงินเข้ากองทุนเฉพาะน้ำมันบางประเภทเท่านั้น,ขณะที่การแจกแท็บเล็ตก็จะแจกให้เฉพาะเด็ก ป.1 เท่านั้น และเป็นแท็บเล็ตราคาถูกจากจีน ไม่ใช่ไอแพดอย่างที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เอาไปโชว์บนเวทีปราศรัยหาเสียง

กระนั้นก็ตาม พรรคเพื่อไทยก็ยังสามารถจูงใจให้ประชาชนลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคของตัวเองได้ด้วยนโยบายขนมหวานอาบยาพิษเหล่านี้ นั่นแสดงว่าพรรคเพื่อไทยแม้จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติมาอย่างมหาศาลแต่ก็ยังชนะพรรคการเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะการเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์คู่แข่งสำคัญ ด้วยจำนวน ส.ส. 265 ต่อ 159 ที่นั่ง

นั่นแสดงว่า ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยนั้น มาจากความไม่เอาไหนของพรรคประชาธิปัตย์เอง ซึ่งแสดงออกอย่างชัดเจนในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล 2 ปี 7 เดือนที่ผ่านมา ทั้งความไร้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาข้าวยากหมากแพง การปล่อยให้พรรคร่วมรัฐบาลทุจริตในโครงการต่างๆ การโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม ไม่จัดการกับขบวนการจาบจ้วงเบื้องสูงและคนเสื้อแดงอย่างเด็ดขาด ไม่ฟังเสียงของมวลชนที่เคยให้การสนับสนุนอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งความย่อหย่อนเหล่านี้เท่ากับเป็นการปล่อยให้ระบอบทักษิณยังดำรงอยู่และเจริญเติบโตจนกลับเข้ามามีอำนาจรัฐได้อีกครั้งในที่สุด

นี่เป็นคำถามที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเร่งสำรวจตัวเองอย่างเร่งด่วน และมีการปรับเปลี่ยนภายในชนิดถอนรากถอนโคน หากยังเป็นพรรคการเมืองที่จะทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่พรรคการเมืองที่จะทำเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มบางพวกเหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ และไม่เป็นเพียงพรรคการเมืองที่เก่งแต่การใช้โวหารในสภา เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น คอยรับส้มหล่นเข้าไปมีอำนาจรัฐ อย่างเช่นที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม หากประเมินจากกระแสภายในพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นที่แน่นอนแล้วว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะได้รับเลือกจากสมาชิกให้กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อีกครั้ง หลังจากประกาศลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา

ส่วนคนที่จะเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์แทนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นั้น มีชื่อของนายกรณ์ จาติกวณิชย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปรากฏขึ้นมาเป็นแคนดิเดต ขณะที่ตัวนายสุเทพเอง ออกมาปฏิเสธว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งนี้อีก แต่ก็จะยังช่วยงานพรรคต่อไป

หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่กี่วัน ดูเหมือนจะมีคลื่นใต้น้ำเล็กๆ ที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อมีรายงานข่าวว่ากลุ่ม ส.ส.ภาคใต้จะรวมตัวกันคัดค้านไม่ให้นายอภิสิทธิ์กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีก และให้มีการรื้อคณะกรรมการบริหารพรรคยกชุด

อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้ถูกปฏิเสธอย่างทันควัน ทั้งจากนายวิทยา แก้วภราดัย และนายเทพไท เสนพงศ์ ว่าที่ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โดยนายวิทยายืนยันว่า นายอภิสิทธิ์ยังเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าพรรค ส่วนนายสุเทพ ก็ยังเหมาะที่จะเป็นเลขาธิการพรรค เนื่องจากที่ผ่านมาก็ได้ทำงานหนักมาตลอด จึงยังไม่มีการมองหาเลขาธิการพรรคคนใหม่

ส่วนนายเทพไท บอกว่าในสถานการณ์ขณะนี้นายอภิสิทธิ์ยังเหมาะที่จะเป็นหัวหน้าพรรคมากที่สุด ส่วนนายสุเทพก็ถือว่าเป็นเลขาธิการพรรคที่ทำงานได้ดีที่สุดกว่าเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คนอื่นๆ ที่เคยมีมา และยืนยันว่าทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเหมาะที่จะทำงานคู่กันเหมือน “หยิน-หยาง”

ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ก็ปฏิเสธข่าวที่ว่ากลุ่มของเขาและนายบัญญัติ บรรทัดฐาน จะขัดขวางไม่ให้นายอภิสิทธิ์กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค โดยยืนยันว่าในพรรคไม่มีการแบ่งกลุ่มทั้งสิ้น

จึงเป็นที่แน่นอนแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์จะได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเหมือนเดิม ส่วนเลขาธิการพรรคนั้น แม้นายสุเทพจะยืนยันว่าไม่กลับมารับตำแหน่งนี้อีก แต่ก็เป็นสิทธิ์ของหัวหน้าพรรคที่จะเลือกใครมาเป็น และนายสุเทพก็รับปากว่าจะช่วยหาคนที่เหมาะสมมาเป็นเลขาธิการพรรคให้

สรุปถึงที่สุดแล้ว นายสุเทพจะยังเป็นคนที่มีอิทธิพลเหนือพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป แม้ว่าอาจจะไม่กลับมารับตำแหน่งเลขาธิการพรรคอีก แต่อย่าลืมว่านายสุเทพคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังนายอภิสิทธิ์มาโดยตลอด ตั้งแต่มีการแข่งขันกันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคกับนายบัญญัต บรรทัดฐาน เมื่อปี 2547 มาจนกระทั่งในช่วงที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ 2 ปี 7 เดือน

แม้ว่าล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ก.ค.จะมีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จากภาคอีสาน นำโดยนายชุบ ชัยฤทธิชัย ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 126 ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทีมยุทธศาสตร์ของพรรค โดยให้นายอภิสิทธิ์รักษาคำพูดที่ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคไปแล้ว โดยให้หาคนใหม่มาเป็นหัวหน้าพรรค ให้นายชวน นายบัญญัติ ในฐานะผู้ใหญ่ของพรรคกลับมามีบทบาทนำในพรรคอีกครั้ง และให้พรรคทบทวนยุทธศาสตร์ของพรรคอย่างจริงจังในภาคอีสาน รวมทั้งกำหนดผู้มาดูแลภาคอีสานอย่างจริงจัง

อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องของสมาชิกจากภาคอีสานดังกล่าว คงได้รับการตอบสนองได้ยาก เนื่องจากไม่ใช่ข้อเรียกร้องของผู้ที่มีบทบาทในพรรค และยังเป็นข้อเรียกร้องที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ถึงขั้นเปลี่ยนหัวหน้าพรรค ดังนั้น จึงเป็นที่คาดหมายได้ไม่ยากว่า พรรคประชาธิปัตย์จะยังมีหัวหน้าพรรคคนเดิม และนายสุเทพจะยังคงมีอิทธิพลต่อพรรคเช่นเดิม

..แนวทางเดิมๆ ของพรรคที่เก่งแต่การใช้โวหาร เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น รอส้มหล่นเข้าไปมีอำนาจ ก็จะยังคงดำเนินอยู่ต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น