xs
xsm
sm
md
lg

จับตาหนี้สาธารณะเตรียมพุ่ง 6 ล้านล้านบาท !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ทบทวนกันอีกครั้งสำหรับการโฆษณาหาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่ออกมายั่วยวนให้ประชาชนเฝ้ารอและทวงถาม

จึงขอทบทวนกันอีกครั้งเอาเฉพาะการสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนที่สามารถวัดได้เป็นตัวเงินที่มอบให้ประชาชนโดยตรง ได้แก่

1. พักหนี้เกษตรกร ไม่เกิน 500,000 บาท 5 ปี และหนี้ไม่เกิน 5 ล้านบาทยืดหนี้ 10 ปี, 2. รีไฟแนนซ์ หนี้ส่วนบุคคลไม่เกิน 500,000 บาท นาน 3 ปี และหนี้เกิน 500,000-1 ล้านบาท ปรับโครงสร้างหนี้ 3. จบปริญญาตรีมีเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท, 4. ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน, 5. ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จากปัจจุบัน 30% เหลือ 23%, 6. ออกบัตรเครดิตการ์ดสำหรับเกษตรกร, 7. เบี้ยผู้สูงอายุ อายุ 60 ปี ได้ 600 บาท อายุ 70 ปี ได้ 700 บาท อายุ 80 ปี ได้ 800 บาท อายุ 90 ปี ขึ้นไปได้ 1,000 บาท 8. เลิกกองทุนน้ำมัน เพื่อทำให้ราคาเบนซิน 95 ลดลง 7.50 บาทต่อลิตร 91 ลด 6.70 ดีเซลลด 2.20 บาทต่อลิตร 9. แจก คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ชนิด Tablet 1 เครื่องต่อเด็ก 1 คน

โครงการต่างๆที่นอกจากพรรคเพื่อไทยได้หาเสียงเอาไว้กับการสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์ของประชาชนที่วัดเป็นเม็ดเงินแล้ว ยังมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่อีกจำนวนมากที่ได้โฆษณาเอาไว้ในการหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง รถไฟ รถไฟฟ้า ระบบท่อชลประทาน ถมทะเล แลนด์บริดจ์ ฯลฯ

เบ็ดเสร็จแล้วเม็ดเงินที่เตรียมลงทุนครั้งนี้ประมาณ 2 ล้านล้านบาท หรือหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลครบ 4 ปี ก็ต้องเตรียมหางบประมาณเอาไว้เพิ่มเติมจากเดิมประมาณ 5 แสนล้านบาทต่อปี

ขณะที่รัฐบาลชุดก่อนเห็นชอบงบประมาณแผ่นดินประจำปี พ.ศ. 2555 กระทรวงการคลังประมาณการรายรับไว้ที่ ไว้ที่ 1.9 ล้านล้านบาท และมีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ประมาณ 2.28 ล้านล้านบาท หรือมีรายจ่ายมากกว่ารายรับประมาณ 3.8 แสนล้านบาท
หมายความว่าก่อนจะมีโครงการตามที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงเอาไว้ งบประมาณปี 2555 รัฐบาลต้องเตรียมกู้เงินมาเป็นจำนวนเงิน 3.8 แสนล้านบาท

ทั้งนี้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ที่มีอยู่ประมาณ 2.28 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนสำคัญดังนี้

1.รายจ่ายประจำ เช่น เงินเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าเช่าสถานที่ มีวงเงินประมาณ 8.42 แสนล้านบาท

2.รายจ่ายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ทั้งในส่วนเงินต้นและดอกเบี้ยประมาณ 2 แสนล้านบาท

3.รายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับชดเชยเงินคงคลัง 8.4 หมื่นล้านบาท แต่ในส่วนนี้ ครม.อนุมัติให้ตั้งงบประมาณเพิ่มเติมปีงบ 2554 ชดเชยไว้แล้ว

4.งบผูกพันตามสัญญา เช่น การสร้างตึก สร้างถนน ประมาณ 2 แสนล้านบาท

5.รายจ่ายประจำที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายรัฐบาล เช่น โครงการอาหารกลางวัน โครงการนมโรงเรียน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและคนพิการ และโครงการประกันรายได้ คิดเป็นวงเงินประมาณ 5 แสนล้านบาท

ดังนั้นรายจ่ายที่ส่วนราชการขอจัดสรรเพื่อการลงทุนและดำเนินการโครงการใหม่ในปี 2555 ซึ่งอยู่ระจะอยู่ในกรอบประมาณ 4-6 แสนล้านบาท โดยเป็นการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณประมาณ 3.8 แสนล้านบาท

ดังนั้นถ้าว่าที่รัฐบาลพรรคเพื่อคิดจะเพิ่มงบประมาณของตัวเองด้วยเงินอีกปีละ 5 แสนล้านบาท ก็ต้องมีการปรับโครงการที่จะอนุมัติในเดือนสิงหาคม 2554 แล้ว กู้เงินเพิ่มมาอีกให้ได้เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท และจะเป็นผลทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่ในปัจจุบันประมาณ 4.2 ล้านล้านบาท ก็จะเพิ่มขึ้นมาเป็นประมาณ 6 ล้านล้านบาทในอีก 4 ปีข้างหน้า

แต่ปัญหาที่ท้าทายซึ่งรออยู่ข้างหน้าคงไม่ใช่เพียงแค่ว่าเราหาเงินมาได้อย่างไร เพราะปัจจุบัน กระทรวงการคลังต้องสำรองเงินเฉพาะเงินต้นและดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มจะทะยานสูงขึ้นกินเนื้อเข้ามาในงบประมาณแผ่นดินมากขึ้น หลังจากที่นักการเมืองเอาชนะการเมืองกันด้วยการประมูลว่าใครจะแจกเงินให้กับประชาชนได้มากกว่ากัน ซึ่งปัจจุบันก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะเข้ามาโครงการประชาชานิยมก็มีสูงอยู่แล้วถึงประมาณ 5 แสนล้านบาทต่อปี

โครงการต่างๆ ของพรรคเพื่อไทยจะส่งผลโดยตรงในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเน้นการเพิ่มเม็ดเงินให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยและบริโภคให้มาก เพื่อที่จะทำให้ภาคการผลิตเดินหน้าได้ เพียงแต่ว่าการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจมีต้นทุนที่ต้องแลกมาเสมอ เพราะแก้ปัญหาด้านหนึ่งก็จะมีผลกระทบอีกด้านหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

ตัวอย่างที่ร้อนแรงที่สุด ก็คือค่าแรงขั้นต่ำที่พรรคเพื่อไทยประกาศใช้ในการหาเสียงว่าจะทำให้ได้เป็นวันละ 300 บาท นั่นย่อมหมายความว่ารัฐ ซึ่งเป็นตัวแทนในการเจรจา 1 ใน 3 ของ“ไตรภาคี” ตามกฎหมายของคณะกรรมการไตรภาคีนั้น ฝ่ายรัฐเลือกที่จะยืนอยู่ข้างลูกจ้างซึ่งมีจำนวนประชากรและคะแนนเสียงมากกว่าที่จะยืนอยู่ข้างนายจ้าง

ถ้าเรายืนอยู่บนโลกความเป็นจริงก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่าหลังจากขึ้นค่าแรงแล้ว แรงงานต่างด้าวจะไหลบ่าทะลักเข้ามาในประเทศมากขึ้น ท่ามกลางการเก็บส่วยและการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างมโหฬาร แรงงานไทยจะเริ่มหางานยากขึ้นหากขาดทักษะและพัฒนาเป็นแรงงานมีฝีมือ

เช่นเดียวกันกับนโยบายให้ผู้ที่จบปริญญาตรี ได้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท (โดยไม่สนใจสาขาอาชีพที่จบมา) โครงการนี้ทำให้บริษัทห้างร้านเอกชนได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะไม่ได้แปลว่าจะขึ้นเฉพาะคนที่จบปริญญาตรีมาใหม่เท่านั้น แต่นายจ้างก็ต้องพิจารณาขึ้นเงินเดือนคนทั้งองค์กรด้วยถือเป็นการปรับโครงสร้างเงินเดือนของเอกชนทั้งประเทศ ดังนั้นต่อไปคนที่จบปริญญาตรีจำนวนมากที่จบออกมาโดยที่ไม่มีคุณภาพจะหางานยากขึ้น ตกงานมากขึ้น ในขณะที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมที่เด็กบางกลุ่มอาจสนใจไปเรียนสาวอาชีวะมากขึ้นเช่นกัน

ผู้ประกอบการดูเหมือนจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะนอกจากจะแบกรับต้นทุนค่าแรง และฐานเงินเดือนที่กำลังปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว หลายกิจการอาจได้รับผลกระทบถึงขั้นปิดกิจการ เมื่อรัฐบาลประกาศแก้ไขอัตราเงินเฟ้อด้วยการใช้นโยบายค่าเงินบาทแข็ง
ซึ่งผู้ส่งออกที่ใช้ต้นทุนสินค้าภายในประเทศและแรงงานในประเทศจะต้องเผชิญศึกสองด้านพร้อมๆกันคือ ต้นทุนในประเทศแพงขึ้น และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ได้รับผลกระทบต่อยอดการส่งออกอย่างแน่นอน

พรรคเพื่อไทยพยายามหาทางชดเชยให้กับเอกชน ด้วยการลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งแม้ว่าจะช่วยเอกชนได้ไม่มากเพราะเอกชนส่วนใหญ่ก็หาเทคนิคลดกำไรเพื่อจ่ายภาษีให้น้อยลงอยู่แล้ว แต่เมื่อรายได้รัฐสูญเสียไปจากภาษีนิติบุคคลเพิ่มมากขึ้น ก็ต้องทำใจให้ได้ด้วยว่าหนี้สาธารณะก็จะต้องสูงขึ้นกว่าที่ประมาณการเอาไว้อีก

เมื่อรัฐบาลตัดสินใจยกเลิกการจัดเก็บกองทุนน้ำมัน ก็ย่อมทำให้ราคาน้ำมันเบนซินมาอยู่ใกล้หรือถูกกว่าแก๊สโซฮอลล์ ต้นทุนที่เราแลกมาก็คือคนน่าจะตัดสินใจใช้แก๊สโซฮอลล์ลดลง อุตสาหกรรมที่ผลิตแก๊สโซฮอลล์ก็คงได้รับผลกระทบไปด้วย และราคามันสำปะหลังก็คงจะมีราดิ่งลงแน่นอน
ยังไม่นับก๊าซหุงต้ม (LPG) ก็จะไม่สามารถได้รับการอุดหนุนจากการจัดเก็บกองทุนน้ำมันอีกต่อไป คราวนี้ก็จะกระทบต่อค่าใช้จ่ายครัวเรือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สรุปก็คือเราคงหนีไม่พ้นปัญหา “อัตราเงินเฟ้อสูง” และ “หนี้สาธารณะพุ่ง” ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยข้าวของราคาจะแพงขึ้น กิจการหลายประเภทจะต้องปิดตัวลงเพราะแบกรับต้นทุนเอาไว้ไม่ไหว เงินจากนอกประเทศจะทะลักไหลเข้ามาในประเทศเพื่อเก็งกำไรค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยที่จะทะยานสูงขึ้น

แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ยังคงมีสติอยู่พอควร เพราะล่าสุดก็ใช้วิธีเล่นลิ้น ตีกรรเชียง ด้วยการผ่อนปรนสิ่งที่สัญญาว่าจะให้ไปแล้วหลายกรณี เช่น ค่าแรง 300 บาทจะใช้ต้นปีหน้าเฉพาะกรุงเทพและบางจังหวัด, คอมพิวเตอร์ Tablet มอบให้เฉพาะเด็ก ป. 1, ไม่ยกเลิกกองทุนน้ำมันแต่งดเก็บเงินนำเข้ากองทุนน้ำมัน ฯลฯ

แต่ทั้งหมดนี้เมื่อประชาชนจำนวนมากเลือกเขามาแล้วต่อให้เขาทำตาม “สัญญาว่าจะให้”หรือไม่ก็ตาม หากเป็นรัฐบาลได้ก็คงต้องเป็นรัฐบาลไปอีก 4 ปี

ยกเว้นเสียแต่ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโมฆะ หรือมีการยุบพรรคเพื่อไทย หรือ กกต.ให้ใบแดง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถ้าเป็นอย่างนั้น “นารีคงต้องตกม้าขาว” เป็นแน่ !


กำลังโหลดความคิดเห็น