ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถึงแม้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม2554 จะผ่านไปอย่างเรียบร้อย จนได้รับคำชื่นชมทั้งในประเทศ และจากนานาชาติ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหลังการเลือกตั้งทุกอย่างจะ “เรียบร้อย” โรงเรียนเพื่อไทยตามไปด้วย เพราะนับตั้งแต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการออกมา จนถึงวันนี้ ได้มีปมปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย รวมถึงมีการยื่นเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้งเข้ามาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตซื้อสิทธิขายเสียง การทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของผู้สมัคร ส.ส. ไปจนถึงการยื่นคำร้องขอให้ กกต. ระงับการประกาศผลการเลือกตั้ง
รวมทั้งการที่ล่าสุด กกต. ได้มีมติเสียงข้างมากประกาศรับรอง ส.ส. 358 คน แบ่งเป็นระบบบัญชีรายชื่อ 109 คน และส.ส.ระบบเขตเลือกตั้ง 249 คน ที่กำลังก่อให้เกิดปัญหาอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากการที่กกต.ยังประกาศรับรองผลไม่ถึง 95% ได้ก่อให้เกิดผลกระทบสำคัญ เนื่องเพราะทำให้ไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรและเลือกนายกรัฐมนตรีผ่านกระบวนการทางรัฐบาลได้
ยิ่งเมื่อว่าที่นายกรัฐมนตรีอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรโดนแขวนด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้แรงกดดันถาโถมเข้าใส่พรรคเพื่อไทยอย่างหนัก เพราะรับรู้ได้ถึง “สัญญาณ” อะไรบางอย่างจนบรรดาแกนนำแดงต้องออกโรงขู่ กกต.ที่จะระดมพลออกมากดดัน ดังคำประกาศของนางธิดา ถาวรเศรษฐและนายก่อแก้ว พิกุลทอง ที่มีคำสั่งให้พร้อมปฏิบัติการ
เฉกเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่โดนแขวน ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า อาจต้องการให้นายอภิสิทธิ์พลีชีพไปพร้อมๆ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็เป็นได้
**กกต.จัดหนักเพื่อไทย แขวน “ปู-แกนนำแดง”
สำหรับพรรคการเมืองที่กกต.จัดหนักเป็นพิเศษมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นพรรคเพื่อไทย เนื่องเพราะมีทั้งว่าที่ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อและว่าที่ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้งถูกแขวนถึง 24 คน โดยมี 16 คนเป็นว่าที่ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อที่กกต.ยังไม่ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง โดยว่าที่ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยที่ถูกแขวนมีทั้งหมด 11 คน ได้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย นพ.เหวง โตจิราการ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายพายัพ ปั้นเกตุ นายพิชิฏ ชื่นบาน นายก่อแก้ว พิกุลทอง น.ส.จารุพรรณ กุลดิลกและนายวิเชียร ขาวขำ
ขณะที่ว่าที่ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกแขวนได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ และนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ส่วนพรรคภูมิใจไทย มีนายชัย ชิดชอบ และพรรคประชาธิปไตยใหม่ คือ นางพัชรินทร์ มั่นปาน
ทั้งนี้ กล่าวเฉพาะตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น เหตุผลที่ถูกแขวนเนื่องจากถูกร้องคัดค้านกรณีให้ผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองคือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีและนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี ไปช่วยหาเสียงทั่วไปที่เชียงใหม่ในวันสมัครรับเลือกตั้งวันแรก รวมทั้งสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และบ้านเลขที่ 109 ช่วยหาเสียงและเดินตามแจกเอกสารหรือให้สัมภาษณ์สนับสนุน
ส่วนแกนนำ นปช. ถูกร้องเรียนเรื่องขาดคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. เพราะขาดจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย ตามข้อบังคับพรรคเพื่อไทยเมื่อถูกคุมขังโดยหมายศาลเนื่องจากเป็นแกนนำ นปช. ขณะที่ น.ส.จารุพรรณถูกร้องคัดค้านกรณีเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทดีโมเครซี่นิวส์เน็ตเวิร์ก(ดีเอ็นเอ็น) ที่ผลิตรายการผ่านทางสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดต จัดรายการที่มีเนื้อหาใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์ อันอาจเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งที่มิให้มีการจูงใจเพื่อให้มีการลงคะแนนให้พรรคการเมืองหรือใส่ร้ายให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของพรรคการเมืองใด
ขณะที่กรณีของ นายพิชิฏ ชื่นบาน ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 53 ที่เป็นบุคคลผู้มีลักษณะ “ต้องห้าม” มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เพราะนายพิชิฏเคยถูกศาลฎีกาจำคุก 6 เดือน ในคดีติดสินบนผู้พิพากษา เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2551 ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และการพ้นโทษของนายพิชิฏจนถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง ถือว่ายังไม่ครบ 5 ปี ดังนั้นถือว่า “ขาดคุณสมบัติ” ของผู้สมัครส.ส.
สำหรับผู้สมัคร ส.ส.ในระบบเขต (ที่มีชื่อเสียง) ที่กกต.ยังไม่ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งในช่วงแรก พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส่วนพรรคเพื่อไทย อาทิ นายการุณ โหสกุล, นายสามารถ แก้วมีชัย จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ นายสถาพร มณีรัตน์ นายวรชัย เหมะ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ และพรรคภูมิใจไทย อาทิ นางพรทิวา นาคาศัย, นางนันทนา สงประภา และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เข้ายื่นคำร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบ “พรรคเพื่อไทย” ในพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตการเลือกตั้ง ซึ่งประกอบไปด้วยกรณีการส่งอีเมลของ “นายวิม รุ่งวัฒนจินดา” รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ส่งต่อไปยัง นายพงศ์ศักดิ์ พรรคเพื่อไทย และสื่อมวลชนฉบับต่างๆ ซึ่งจดหมายทั้ง 2 ฉบับ เข้าข่ายให้ผลตอบแทนสื่อมวลชน เพื่อแลกกับการนำเสนอข่าวของพรรคเพื่อไทยในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
ทั้งนี้ นายวิม ได้ออกมายอมรับว่าเป็นอีเมลของตัวเองจริง และที่สำคัญนายวิมเป็นถึงกรรมการบริหารพรรค และเป็นผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 108 ซึ่งการให้ผลตอบแทนต่อสื่อมวลชนของนายวิม อาจถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่รู้ผลประกาศของ กกต. บรรดาว่าที่ ส.ส. พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะสาย นปช. ก็ออกมาขู่ว่าให้ กกต. ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ รวมถึง นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช. ถึงกับประกาศกร้าวในการแถลงข่าวเมื่อวันพุธที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า “ ขอให้คนเสื้อแดงใช้เวลาช่วงนี้ชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์... ถ้าผลประโยชน์ประชาชนถูกทำลายอีก ทางนปช.ก็พร้อมออกมารักษาผลประโยชน์ประชาชน”
**เกมแขวน “ปู-มาร์ค” ลดกระแส “ยี้” หรือส่งสัญญาณอันตราย
ทั้งนี้ ถ้าจะให้วิเคราะห์คำสั่ง "แขวน" ของกกต.ครั้งนี้ โดยเฉพาะกรณีไม่ประกาศชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ว่าที่นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย และ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ที่กำลังจะกลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี โดยรายของยิ่งลักษณ์นั้นดูแล้วหนักกว่าอภิสิทธิ์มาก เพราะที่โดนแขวนไม่ใช่เรื่องไปผัดหมี่ที่โคราช แต่เป็นกรณีป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่ชูสโลแกน "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” เพราะ "ทักษิณ" ติดโทษแบนการเมืองห้าปี แต่เพื่อไทยกลับชูให้เป็นตัวเอกในการหาเสียงเลือกตั้ง เลยทำให้ "ยิ่งลักษณ์" ต้องรับผิดชอบไปด้วย รวมทั้งเรื่องหนักๆ อย่างการที่นางเยาวภาและนายสมชายไปช่วยหาเสียง
ขณะที่กรณีของ "อภิสิทธิ์" เรื่องไปแคะขนมครกเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องใหญ่คือ การสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐจัดงานมหกรรมลดค่าของชีพประชาชน โดยนำสินค้าไปจำหน่ายในราคาที่ต่ำเกินจริงในช่วงที่มีการเลือกตั้งล่วงหน้าที่จังหวัดสมุทรปราการ
อย่างไรก็ตาม ข่าวจากวงในของกกต.สายหนึ่งบอกว่า เหตุที่กกต.แขวน ก็ไม่ได้มีอะไรมาก นั่นก็คือ ว่าที่ส.ส.คนไหน ฝ่ายสืบสวนสอบสวนของกกต.รายงานว่ามีคนร้องเรียนคัดค้านการประกาศผลรับรองสมาชิกภาพ กกต.ก็จับแขวนทันที แล้วขอเวลาอีก 7 วัน คือ การประชุมใหญ่กกต.นัดหน้า 19 ก.ค. 54 (ซึ่งจะมีการพิจารณารับรองความเป็น ส.ส. อีกครั้ง) ค่อยมาคุยกันอีกที ช่วงนี้ก็ให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและกกต.จังหวัดที่ว่าที่ส.ส.เขตคนไหนชื่อยังไม่ได้รับการรับรอง ก็ให้ทำรายงานสรุปและแนบเอกสารหลักฐานต่างๆ มาให้ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้ง
ซึ่งว่ากันว่า กรณีของยิ่งลักษณ์ และอภิสิทธิ์ ดูแล้วไม่ได้มีอะไรมาก ท้ายที่สุดแล้วก็คงจะได้ประทับตราให้ “ผ่าน” ไปในที่สุด
เพราะทั้งสองคนคือ "แคนดิเดต" นายกรัฐมนตรี และเป็นผู้นำพรรคใหญ่สองพรรค ถ้ากกต.เลือกที่จะรับรองเพียงคนใดคนหนึ่ง เช่น รับรองอภิสิทธิ์ แต่ไม่รับรองยิ่งลักษณ์ หรือรับรองยิ่งลักษณ์ แต่ไม่รับรองอภิสิทธิ์ ก็ต้องถูกคนทั้งสองพรรครวมถึงกองเชียร์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของกกต.ว่า "สองมาตรฐาน" อย่างแน่นอน
แต่ถ้าหาก กกต.เล่นใช้วิธี "ปล่อย" ไปเลยทั้งสองคน ทั้งที่เพิ่งมีการร้องไปยังกกต. ก็จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาทันทีว่า ทำงานแบบขอไปที ทำไมไม่มีการสอบสวนหาพยานหลักฐาน และตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ประมาณว่ากกต.จะ "โดน" เองทั้งขึ้นทั้งล่อง
แต่หากดองไว้สัก 7 วันหรือเร็วกว่านั้น ด้วยการเรียกประชุมก่อน 19 ก.ค. 54 คนก็จะมองว่า กกต.ไม่เอนเอียง ไม่มีคำว่า "สองมาตรฐาน" มีหลักการทำงานที่ตรวจสอบก่อน ไม่ใช่ทำตัวเป็น "ตรายาง" เห็นว่ายิ่งลักษณ์กำลังจะเป็นนายกรัฐมนตรีเลยไม่อยากขวางกระแส ส่วนอภิสิทธิ์ ก็ให้เกียรติและไม่เคยวิจารณ์กกต.ในทางลบอะไรเลย ก็เลย ประทับตรา “ผ่าน”ให้ไปแบบง่ายๆ
จะว่าไปแล้ว "มาร์คและปู" เหมือนเกิดมา "คู่กัน" บนเส้นทางการเมือง เพราะนอกจากต้องแข่งกันเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังต้องร่วมอยู่ใน 16 รายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ที่โดนแขวนอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นมา ทั้งฝ่ายกฎหมายของเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ที่ต้องเปิดข้อกฎหมายทั้งรัฐธรรมนูญ-กฎหมายเลือกตั้ง กันอย่างเคร่งเครียด
โดยฝ่ายกฎหมายเพื่อไทยก็ยัง "มึนตึ๊บ!" ว่าทำไม กกต.ถึงแขวนปาร์ตี้ลิสต์บางคน และประกาศชื่อบางส่วน โดยมีการเปิดตำราข้อกฎหมายเพื่อดูอำนาจของกกต.อย่างหนัก แต่ส่วนใหญ่ยังเชื่อว่ากกต.จะประกาศรับรองทั้งหมด เพราะหากกกต.เห็นว่ามีผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์คนไหนทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ก็เป็นเรื่องรายบุคคลที่ต้องไปดำเนินคดีเรื่องทำผิดกฎหมายกันไป เข้าทำนอง "ปล่อยก่อนสอยทีหลัง"
ขณะที่ข่าวอีกสายหนึ่งก็มองว่า การประกาศแขวนครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา และอาจจะเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างออกมา โดยสังเกตได้จากการออกมาขู่คำรามจากเบื้องสูงเบื้องต่ำของทั้งคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย รวมถึงการปล่อยข่าวเรื่อง “นายกฯสำรอง” ที่จะมาเป็นตัวตายตัวแทนคือ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ทั้งนี้ เนื่องจากข้อหาแต่ละข้อหาที่พรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญนั้นดูจะหนักหนาสาหัสไม่น้อย
“การเลือกตั้งจบไปแล้ว อย่าไปฝันว่ายังไม่ได้เลือกตั้ง ในขณะนี้ถือว่าพรรคเพื่อไทยมีความชอบธรรมจากประชาชนให้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งผู้แทนที่จะเข้าสู่สภาก็เกินกว่าครึ่งที่มีความเห็นให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับความคิดเห็นของประชาชน เพราะฉะนั้นจะไม่มีความเห็น หรือเหตุการณ์ใดก็ตามที่จะมาเปลี่ยนแปลงได้”นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว
ขณะเดียวกันเพื่อไม่ให้เป็นที่เอิกเกริก ชื่อของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจึงถูกหยิบมาอยู่ในโผของการแขวนครั้งนี้ด้วย เพื่อลดกระแสสองมาตรฐาน ซึ่งก็มีความเป็นไปได้อีกเช่นกันว่าทั้งสองอาจถูกใช้เป็นเหยื่อในการบูชายัญร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในท้ายที่สุด ซึ่งถ้าเหตุการณ์เป็นไปในทำนองนั้นจริงโดยกกต.ไม่รับรองยิ่งลักษณ์ไปจนถึงวันเลือกนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยจะก้าวสู่หายนะอีกครั้ง เพราะคนเสื้อแดงได้ประกาศกร้าวให้ทราบโดยทั่วกันแล้ว...
**สัญญาว่าจะให้ :ข้อหาที่ต้องลุ้น
อย่างไรก็ตาม วิบากกรรมของพรรคเพื่อไทยยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะยังมีผู้ร้องต่อกกต.ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ในกรณีต่างๆ อาจเข้าข่ายความผิด การหลอกลวงให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม โดยความผิดดังกล่าวกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. มาตรา 53 (5) ที่ระบุว่า "ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อจูงใจผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ลงคะแนนให้แก่ตนเอง ผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองใด ด้วยการหลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม ของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด"
ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าว มีระวางโทษ ตามมาตรา 137 จำคุก 1-10 ปี ปรับสองหมื่นถึงสองแสนบาท และให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง มีกำหนด 10 ปี อย่างไรก็ตาม หาก กกต.ตีความว่า กรณีดังกล่าวเป็นการกระทำผิดตามมาตรา 53 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งจริง ก็อาจทำให้พรรคเพื่อไทยมีปัญหา และอาจถูก “ยุบพรรค” ได้
เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 ระบุว่า หากหัวหน้าพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองใด มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำแล้ว มิได้ระงับยับยั้งหรือแก้ไข การฝ่าฝืนพ.ร.บ.เลือกตั้งฯ และทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคนั้น และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของหัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหารพรรคการเมือง 5 ปี
ทั้งนี้ ว่าไปแล้ว การหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา หลายพรรคการเมืองหาเสียงด้วยนโยบาย “สัญญาว่าจะให้” ซึ่งเข้าข่ายทำผิดกฎหมายเลือกตั้งชัดเจน หลักฐานมัดแน่นทั้งเพื่อไทย, ประชาธิปัตย์, ภูมิใจไทย, ชาติไทยพัฒนา และชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ที่หาเสียงติดสินบนผู้มีสิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า และทำอะไรต่อมิอะไรแบบไม่เห็นหัว กกต. ที่เป็น “เสือกระดาษ” ที่ละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้มีการทำผิดกันอย่าง โจ๋งครึ่ม!
เพราะเมื่อสำรวจตรวจสอบนโยบายและการปราศรัยหาเสียงของแต่ละพรรคการเมือง จะเห็นได้ชัดเจนว่าล้วนแต่เต็มไปด้วยนโยบายที่สัญญาว่าจะให้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งให้ในลักษณะปัจเจกบุคคลและกลุ่มองค์กร ชุมชน ฯลฯ แทบทุกพรรคมีคำมั่นสัญญามั่นเหมาะเป็นตัวเงินชัดเจน
โดยเฉพาะ “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งเมื่อเอ็กซเรย์นโยบายพรรคจะพบความผิดที่เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ มาตรา 53 ซึ่ง รายการที่พรรคเพื่อไทยได้ “สัญญาว่าจะให้” กับประชาชนมีมากมาย อย่างเช่น พักหนี้เกษตรกร ไม่เกิน 500,000 บาท 5 ปี และหนี้ไม่เกิน 5 ล้านบาทยืดหนี้ 10 ปี, เพิ่มกองทุนหมู่บ้านอีก 1 ล้านบาท, รีไฟแนนซ์ หนี้ส่วนบุคคลไม่เกิน 500,000 บาท นาน 3 ปี และหนี้เกิน 500,000-1 ล้านบาท ปรับโครงสร้างหนี้, จบปริญญาตรีมีเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท, ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน
ออกบัตรเครดิตการ์ดสำหรับเกษตรกร, เบี้ยผู้สูงอายุ อายุ 60 ปี ได้ 600 บาท อายุ 70 ปี ได้ 700 บาท อายุ 80 ปี ได้ 800 บาท อายุ 90 ปี ขึ้นไปได้ 1,000 บาท, เลิกกองทุนน้ำมัน เพื่อทำให้ราคาเบนซิน 95 ลดลง 7.50 บาทต่อลิตร 91 ลด 6.70 ดีเซลลด 2.20 บาทต่อลิตร, แจก Tablet ให้เด็ก ป. 1 ทุกคน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีโฆษณาหลอกลวงประชาชนด้วยความเท็จ เช่น บอกว่าจะทำให้ “คนไทยหายจนภายใน 4 ปี” “จะปราบปรามยาเสพติดให้หมดภายใน 12 เดือน” “สร้างรถไฟฟ้าให้ครบ 10 สาย แต่ละสายเก็บ 20 บาท” เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม คำสัญญาว่าจะให้ ได้กลายเป็นบ่วงรัดคอเพื่อไทย ซึ่งทำให้ผู้ใช้แรงงานทวงค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท บัณฑิตใหม่ฝันถึงเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท นักเรียนทุกคนรอแจกคอมพิวเตอร์ เกษตรกรตั้งตาคอยพักหนี้ รีไฟแนนซ์หนี้ส่วนบุคคล คืนภาษีผู้ซื้อบ้านซื้อรถ ลดราคาน้ำมัน เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุหัวละพัน รับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ขณะที่เสียงค้านเริ่มดัง ห่วงการใช้จ่ายเกินตัวจนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจพาชาติล่มจม
ทั้งนี้ ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยที่ได้มาด้วยคำสัญญาต่างๆ นานา จึงทำให้ภารกิจสำคัญของเพื่อไทยหลังได้รับชัยชนะจึงไม่ใช่แค่เรื่องการนิรโทษกรรม “ทักษิณ” ที่แอบซ่อนไว้เบื้องหลังเท่านั้น แต่ยังต้องทำให้ “คำสัญญาว่าจะให้” กลายเป็นจริงให้ได้ เพื่อรักษาคะแนนนิยมไม่ให้มวลชนรากหญ้าด่าว่า “ดีแต่พูด” เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถ้าไม่อย่างนั้น “สัญญาว่าจะให้” ก็จะกลายเป็นสัญญา “หลอกว่าจะให้” ไปในที่สุด
เมื่อเป็นเช่นนี้ คำถามที่ตามมาก็คือ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย “จะทำได้ไหม” และคำถามที่(อาจจะ)สำคัญกว่าก็คือ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย “จะได้ทำหรือเปล่า” !?
**ถึงเวลายุบพรรค-เลือกตั้งใหม่
ขณะเดียวกันก็ยังมีข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณาว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะหรือไม่ และพรรคเพื่อไทยทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจนถึงขั้นต้อง “ยุบพรรค” ด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ เพราะกรณีการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่คำนวณเป็นเงินได้นั้นอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดในกฎหมายเลือกตั้งได้ ซึ่งเรื่องนี้ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ได้ยื่นคำร้องขอให้ กกต.ยุบพรรค ซึ่งไม่ใช่เฉพาะพรรคเพื่อไทยเท่านั้น แต่ยังได้ยื่นคำร้องให้ยุบพรรคการเมืองที่สำคัญอีก 4 พรรคด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้นพรรคการเมืองหลายพรรค โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ได้มีหลักฐานปรากฏหลายครั้งว่ามี นช.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งห้ามเกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นผู้ทรงอิทธิพลในพรรคและช่วยหาเสียงให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างเปิดเผย ในขณะที่คนในพรรคเพื่อไทยก็แสดงความเห็นทางสาธารณะหลายครั้ง โดยยอมรับการอยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทยของทักษิณอย่างชัดเจน โดยปรากฏเป็นการโฆษณาหาเสียงอย่างโจ่งแจ้งว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” และ “ยิ่งลักษณ์คือโคลนิ่งของทักษิณ” เป็นต้น กรณีนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ได้ร้องต่อ กกต. ให้ยุบพรรคเพื่อไทยแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีการจัดการเลือกตั้งของ กกต. ซึ่งพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ไปยื่นคำร้องขอให้ กกต. อย่าได้รับรองผลการเลือกตั้งและประกาศให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 54 เป็นโมฆะ และจัดการเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เป็นไปโดยสุจริต เพราะมีการทุจริตเลือกตั้งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 72 ที่ระบุว่า รัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวกเลือกตั้ง แต่พล.ต.จำลองและผู้เสียหายกว่า 2 ล้านคน เสียสิทธิเลือกตั้ง ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 ก.ค.ได้ เนื่องจากเคยลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2550
ทั้งนี้ ตามมาตรา 110 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 กำหนดให้ กกต.หากเห็นว่า การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม กกต.สามารถประกาศให้การลงคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเป็นบัตรเสียทั้งหมดได้ เพื่อดำเนินการจัดการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด
“คมสัน โพธิ์คง” รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า หากกกต.ถูกฟ้องในฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กกต.จะมีความผิดทางกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เนื่องจากยังไม่ได้ชี้แจงข้อเรียกร้องในเรื่องต่างๆ ให้เกิดความกระจ่าง ไม่ว่าจะเป็นกรณี การกำหนดนโยบายหาเสียงของนักการเมืองและพรรคการเมือง, การควบคุมดูแลไม่ให้ผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ, นายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือกรณีที่ประชาชนเสียสิทธิเลือกตั้งจำนวน 2 ล้านคน หลังไม่ได้ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนการใช้สิทธินอกเขตเลือกตั้ง
ทั้งนี้ นายคมสัน ยังกล่าวอีกว่า กกต.จงใจละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งที่รู้ว่าการเลือกตั้ง ปี 2554 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและแบบเขต แต่กกต.ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทำให้ประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวน 2 ล้านคนมีปัญหา ในทางกฎหมายถือว่ากกต. ไม่ใช้อำนาจจนทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อการเลือกตั้ง ดังนั้นหาก กกต.จะสร้างความเป็นธรรมต้องสั่งเลือกตั้งใหม่ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม การเสียสิทธิของ 2 ล้านคนนั้น นายคมสัน มีข้อมูลว่า หากได้รับสิทธิ์เลือกตั้งจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคะแนนเลือกตั้งประมาณ 21 จังหวัด และเปลี่ยนแปลงผู้ได้รับเลือกตั้งประมาณ 50 - 70 คน ขณะเดียวกันมองว่าการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นเหมือนการกระทำผิดที่สำเร็จแล้ว และอาจซ้ำรอยประวัติศาสตร์ กกต.ยุคของ วาสนา เพิ่มลาภ ที่ติดคุกเพราะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ ชัดเจนขนาดนี้ จะเอายังไงดีล่ะครับท่าน กกต.!?