xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ปู” โลกเบี้ยว ว่าที่นายกฯ หัวหลักหัวตอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลายคนคงนึกไม่ถึงว่า นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ชนะศึกเลือกตั้ง 3 กรกฎาคมที่ผ่านมาช่วงเวลา “ฮันนีมูน” ของ “รัฐบาลปูแดง1” จะจบสิ้นลงเร็วถึงเพียงนี้

ทั้งนี้ เพราะยังไม่ทันที่จะมีพระบรมราชโองการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี รัฐบาลปูแดง 1 ก็เริ่มนับถอยหลังและมีสารพัดปัญหาที่รอความพินาศฉิบหายมาเยือน ทั้งการแย่งชิงชามข้าวกับเก้าอี้รัฐมนตรีที่ใครๆ ต่างก็พากันบินไปล็อบบี้กับ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ส่งผลทำให้โคลนนิงผู้น้องมีสภาพไม่ต่างอะไรจาก “หัวหลักหัวตอ”

ขณะที่บรรดานโยบาย “สัญญาว่าจะให้” ของพรรคเพื่อไทยที่ใช้ตกเขียวตอนหาเสียงเลือกตั้ง ก็เริ่มล่มปากอ่าวตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล แสดงให้เห็นถึงความพลิ้วและความไม่ตรงไปตรงมาตามสันดานนักการเมือง จนทำให้กระแส “ดีแต่โม้” มาแรงสูสีกับ “ดีแต่พูด” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

รวมทั้งความแตกแยกภายในระหว่างพรรคเพื่อไทยและขบวนการเสื้อแดงที่เริ่มทำลายตัวเองทีละน้อย ตลอดถึงนโยบายปรองดองที่สะเทือนใจคนเสื้อแดงเพราะทำท่าว่า เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือแล้วก็ต้องไปสยบยอมต่อบุคคลที่คนเสื้อแดงถือเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่าง “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

วันนี้ ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศที่ชื่อ ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจึงมีค่าไม่ต่างอะไรจาก “ปูโลกเบี้ยว” ที่ต้องเผชิญกับ “ทุกขลาภ” เพราะอาสาพี่ชายมาเป็นหนังหน้าไฟในการแก้ปัญหา และมีค่าเป็นแค่ “หุ่นเชิด” หรือ “นายกฯ เล่นขายของ” ที่ไม่มีใครเห็นคุณค่าหรือเห็นหัวเลยแม้แต่น้อย

ระบอบทักษิณกำลังทำลายตัวเองและทำลาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ในอีกไม่ช้า

**กระสันเป็นรัฐมนตรี ไม่มีใครเห็นหัว “น้องปู”

ดูเหมือนว่า ณ เวลานี้ ว่าที่รัฐบาลสุดพิเศษผู้เป็นขวัญใจมหาชนคนรากหญ้าอย่างพรรคเพื่อไทยและว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศอย่าง “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กำลังเผชิญกับปัญหาที่สาหัสสากรรจ์ยิ่งตั้งแต่ยังไม่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าเป็นนายกรัฐมนตรี

โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เองที่เวลานี้สังคมกำลังตั้งคำถามหนักๆ ว่า มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่นอมินีหรือนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดที่ไม่มีปากมีเสียงและไม่มีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาใหญ่ที่ “ผู้มีบารมีนอกพรรคเพื่อไทย” อย่าง นช.ทักษิณ ชินวัตร โคลนนิงผู้พี่ที่ออกมาเล่นบทบาท “นายกรัฐมนตรีตัวจริง” ผ่านการให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นถี่ยิบ และส่งสัญญาณถึงความเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงในการจัดตั้งรัฐบาลและการวางตัวรัฐมนตรี ส่งผลให้บรรดาหัวหน้ามุ้งต่างๆ ในพรรคเพื่อไทย แห่ขึ้นเครื่องบินไปพบเพื่อต่อรองเก้าอี้ แถมต่างกลุ่มก๊วนต่างก็ไม่มีใครยอมใคร ส่งผลทำให้บรรยากาศภายในพรรคถึงขั้นไม่ยอมทักทายและมองหน้ากันเลยทีเดียว

ทั้งมุ้งของเจ๊แดง-นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ผู้เป็นพี่สาวและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่บินตรงไปบรูไนขอเก้าอี้ 4 รัฐมนตรีให้กับเด็กในคาถาของตัวเอง ไหนจะผู้เฒ่าแห่งเมืองสุพรรณ นายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นข่าวไปต่างประเทศ แต่แล้วในช่วงวิ่งเต้น ป๋าเติ้ง-คนที่ทำให้คุณหญิงแจ่มใสกลายเป็นคุณหญิงไม่แจ่มใสกลับลงทุนลงแรงเดินทางไปบรูไนพร้อมกับก๊วนของเจ๊แดง

แถมยังมีพี่สะใภ้-คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ตั้งวงเจรจาเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรีที่อาคารชินวัตร 3 อีกต่างหาก

ปัญหาดังกล่าวทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงกับควันออกหูและให้สัมภาษณ์ด้วยความไม่พอใจว่า “เก้าอี้นายกรัฐมนตรีอยู่ที่นี่จะไปขอที่ดูไบทำไม ขอยืนยันว่า การจัดตั้ง ครม.จะต้องผ่านความเห็นชอบจากดิฉันและกรรมการบริหารพรรคเสียก่อน”

เรียกว่าโมโหจนมือไม้สั่นและตัวสั่น เพราะกลายเป็นตัวตลกของสังคมจนต้องวีนและเหวี่ยงเพื่อให้สภาพจิตใจกลับคืนสู่สภาพปกติบ้าง

แต่ว่าที่นายกรัฐมนตรีอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มิได้สร้างความยำเกรงหรือทำให้ใครเชื่อได้อยู่ดี เพราะสุดท้ายแล้ว ถนนทุกสายก็มุ่งสู่ นช.ทักษิณเหมือนเดิม และไม่ปรากฏว่ามีกลุ่มก๊วนการเมืองหรือหัวหน้ามุ้งต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกพรรคเพื่อไทยเดินทางมาเจรจาขอต่อรองเก้าอี้กับตัวเธอแต่ประการใด จน น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องยอมรับว่ามีการแห่แหนไปพบ นช.ทักษิณที่บรูไนจริง แต่ก็ออกตัวหรือแก้ตัวว่า ไม่ได้ไปเพื่อล็อบบี้หรือขอเก้าอี้รัฐมนตรี หากเป็นการเดินทางไปเยี่ยมเยียนพี่ชายตามปกติเท่านั้น

แน่นอน คงไม่มีใครเชื่อสิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษ์พูด เพราะคนอย่างนายบรรหารที่ยอมลงทุนบินไปบรูไนด้วยตัวเอง คงไม่ใช่ไปเพราะเพื่อเยี่ยมคนอย่างนช.ทักษิณให้เสียเกียรติอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 อย่างแน่นอน

สิ่งที่พอดูจะทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีอำนาจตัดสินใจด้วยตัวเองและพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำโดยไม่มีการบิดเบือนก็คือ การพาน้องไปป์-ด.ช.ศุกเสกข์ อมรฉัตร ลูกชายไปรับประทานอาหารที่ร้านออริกาโน่ พิซ๋าแอนด์พาสต้า ในห้างสรรพสินค้าในห้างคริสตัลพาร์คเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ตามต่อด้วยการพาน้องไปป์ไปชอปปิงที่ตลาด อ.ต.ก. รวมถึงพาลูกชายคนเดียวไปชมฟุตบอลและถ่ายรูปร่วมกับร็อบบี้ ฟาวเลอร์ที่ย้ายมาสังกัดสโมสรเมืองทองฯ ยูไนเต็ด และปิดท้ายด้วยการพาน้องไปป์ทำบัตรประจำตัวประชาชน

คนที่อยู่เคียงข้างและรู้ใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในเวลานี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ น้องไปป์ลูกแม่ปู

อำนาจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีอยู่แค่นั้นจริงๆ เพราะวันนี้ นช.ทักษิณไม่ได้เพียงแค่คิดอย่างเดียวเท่านั้น แต่ลงมือทำด้วยตัวเองอีกต่างหาก

**พี่แม้วคิด น้องปูทำไม่ได้ ชิ...หายแล้วพี่น้องเอ๊ย

ขณะที่ปัญหาการนำนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ไปสู่การปฏิบัติจริง ทั้งการยกเลิกกองทุนน้ำมัน ปรับเงินเดือนปริญญาตรีเริ่มต้นที่ 15,000 บาท หรือค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ก็เริ่มออกทะเลและยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นภาพ “การโกหกคำโต” หรือ “นโยบายดีแต่โม้” ประทับตราอยู่บนหน้าผากของ น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยมากขึ้นทุกที เพราะนอกจากจะเป็นเพียงแค่นโยบายหลอกลวงประชาชนที่หวังผลเฉพาะหน้าแค่การเลือกตั้งแล้ว ยังกลายเป็นเรื่องโอละพ่อที่มิได้เป็นไปตามคำคุยโวโอ้อวดแต่อย่างใด แถมสังคมยังได้รู้เช่นเห็นชาติถึง “คำบิดเบือน” บนลิ้นสารพัดแฉกอีกต่างหาก

เพราะขณะที่ นช.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยออกนโยบายขายฝันในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเอาไว้อย่างสวยหรู แต่ในทางปฏิบัติแล้วไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่ายดาย ดังนั้น ภาระจึงตกหนักอยู่กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะไม่สามารถทำได้ตามที่หาเสียงเอาไว้ได้ เข้าข่าย ผู้มีบารมีนอกพรรคชื่อนช.ทักษิณคิด แต่ว่าที่นายกรัฐมนตรีชื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ทำไม่ได้

ทั้งกรณีการยกเลิกกองทุนน้ำมัน เพื่อทำให้ราคาเบนซิน 95 ลดลง 7.50 บาทต่อลิตร 91 ลด 6.70 ดีเซลลด 2.20 บาทต่อลิตร ที่ทำไปทำมาก็ได้คำตอบชัดเจนว่า ไม่ได้ยกเลิกกองทุนน้ำมัน หากแต่เป็นมาตรการที่นำมาใช้ชั่วคราว โดยเป็นการงดเว้นการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทน ซึ่งหากสถานการณ์ทางด้านพลังงานดีขึ้นก็จะนำกลับมาใช้ใหม่ เช่นเดียวกับการกลับหลังหันมาใช้นโยบายรับจำนำข้าว ซึ่งส่งผลทำให้บรรดาโรงสีพากันกว้านซื้อข้าวมากักตุนไว้เป็นจำนวนมาก รวมถึงการถมทะเลเพื่อสร้างเมืองใหม่ที่เต็มไปด้วยสารพัดปัญหาที่กระทบกับธรรมชาติและนำมาซึ่งเสียงคัดค้านจมหู

แต่ที่หนักหนาสาหัสที่สุดเห็นจะเป็นกรณีขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันที่แสดงให้เห็นถึงคำโกหกที่ชัดเจนยิ่ง เพราะขณะที่พรรคเพื่อไทยออกนโยบายนี้เพื่อหาเสียง บรรดาผู้ใช้แรงงานก็วาดฝันถึงอนาคตที่สวยหรู แต่พอชนะการเลือกตั้งจริง นช.ทักษิณกลับพูดว่า จะใช้เฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น ส่วนพื้นที่อื่นๆ ค่าแรงขั้นต่ำจะต่ำกว่านั้น

งานนี้เล่นเอา น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงกับน้ำท่วมปากและเฉไฉไปต่างๆ นานาเมื่อถูกถามจี้ในประเด็นดังกล่าว อ้างว่า ขอให้ กกต.รับรองผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการก่อน แล้วค่อยมาคุยกันในรายละเอียด

และเมื่อถามย้ำว่า ตกลงค่าแรงขั้นต่ำจะได้ครอบคลุมทุกพื้นที่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม และเร่งเดินขึ้นรถส่วนตัวทันที

ทว่า คำตอบสุดท้ายจากปาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ทำให้รู้เช่นเห็นชาติกันมากขึ้นเพราะนโยบายดังกล่าวจะเริ่มต้นในเดือนมกราคม 2555 หรือต้องรอไปอย่างน้อยอีก 6 เดือนนั่นเอง

เรียกว่ายังไม่ได้ทันเป็นรัฐบาล นโยบายต่าง ก็ถูกจับผิดได้ว่า เป็นเพียงแค่คำโฆษณาหาเสียงที่โก้หรูแต่มิได้เป็นจริงในทางปฏิบัติ

แถมสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยังออกมาคัดค้านนโยบายดังกล่าวอีกต่างหาก เพราะจะทำให้ธุรกิจ SMEs เจ๊งระเนระนาด และทำให้แรงงานต่างด้าวทะลักกันเข้ามาในประเทศไทย พร้อมแสดงจุดยืนว่า ถ้าหากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จะประกาศใช้นโยบายนี้จริง จะต้องหาเงินเพื่อมาอุดหนุนให้กับภาคเอกชน

นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) กล่าวแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายว่าหากได้เป็นรัฐบาลจะขึ้นค่าจ้างเป็น 300 บาทต่อวัน รวมทั้งปรับเงินเดือนผู้จบปริญญาตรีรุ่นใหม่เป็น 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน ทำให้พี่น้องแรงงานเทคะแนนเสียงให้ ถ้าไม่ทำตามที่สัญญาไว้ก็เหมือนเป็นการหลอกพี่น้องแรงงานทั่วประเทศ

ส่วนการเรียกประชุมทีมงานเศรษฐกิจก็เป็นเพียงพิธีกรรมฉากหนึ่งเท่านั้น เพราะเอาเข้าจริงแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเอง ต้องรอทำเนียบคณะรัฐมนตรีแห่งดูไบที่มีพี่ชายทักษิณเป็นผู้นำสรุปในขั้นตอนสุดท้าย(อ่านบทวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจอย่างละเอียดใน “เมื่อประชานิยมตีกลับ รัฐบาล 'เจ๊ปู'กระอักเละ ! ตั้งแต่ยังไม่ตั้งไข่ หน้า 7-8)

“ดิฉันมีความสามารถพอที่จะตัดสินใจเองได้ และจะเป็นผู้นำด้วยตัวของตัวเอง” ใครจะไปเชื่อคำกล่าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์

**แดงกัดกันเอง-ทวงบุญคุณเพื่อไทยระบอบทักษิณทำลายตัวเอง

ปัญหาสำคัญและปัญหาใหญ่ปัญหาสุดท้ายที่กำลังกลายเป็นปัจจัยที่ทำลาย “ระบอบทักษิณ” และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้พินาศลงไปก็คือ ความขัดแย้งในขบวนการเสื้อแดงที่หลังจากได้รับชัยชนะก็บังเกิดความแตกแยกอย่างขนานใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกแยกในกลุ่มแกนนำ

เมื่อกลุ่มก๊วนของนายชินวัฒน์ หาบุญพาดที่ประกอบด้วยนพ.ประแสง มงคลศิริ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ นายวิสา คัญทัพและนางไพจิตร อักษรณรงค์ แตกหักกับนางธิดา ถาวรเศรษฐและนพ.เหวง โตจิราการถึงขั้นขับไล่ให้ลาออกจากตำแหน่งรักษาการประธาน นปช.

ด้วยข้อหาเป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่รับฟังความคิดเห็นคนอื่น รวบอำนาจ ทำให้มีปัญหากับคนเสื้อแดงกลุ่มย่อยๆหลายกลุ่ม

“อยากเตือนไปยัง นพ.เหวง แต่ก่อนตะโกนด่าทักษิณร่วมกับพันธมิตรฯ วันนี้ไม่มีที่จะยืนถึงมาอยู่กับ นปช.อีกไม่นานคุณจะได้เข้าสภา ดังนั้น อย่ามาปกป้องเมียที่เป็นประธาน นปช.ดีกว่า วันนี้ภรรยาของคุณเป็นแค่รักษาการประธานไม่ใช่ตัวจริง”นายชินวัฒน์สบถอย่างไม่ไว้หน้า

เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล

นี่คือสิ่งที่นางธิดาและนพ.เหวงกำลังจะได้รับจากขบวนการเสื้อแดงและเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เบื้องหลังของเรื่องนี้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ เพื่อกำจัดพวกหัวแข็งที่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของนายใหญ่โดยไม่มีข้อโต้แย้ง ดังเช่นที่นางธิดากล่าวว่า “การเคลื่อนไหวของนายชินวัฒน์มีวาระพิเศษและมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคำแจกแจงที่เกี่ยวข้องกับแดงสยามและบ้านเลขที่ 111 แต่บอกไม่ได้ว่าเบื้องหลังเป็นใคร ส่วนที่กล่าวหาว่าดิฉันมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั้น ดิฉันเป็นคนที่พูดแล้วมีแอ็กชั่น พูดเสียงดังนั้น ตรงนี้สามารถแก้ปัญหาได้ไม่จำเป็นต้องนำมาเป็นข่าว พูดคุยกันภายในได้”

สังคมเริ่มรับรู้ความจริงในอีกมิติหนึ่งว่า ในขณะที่ปาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศเดินหน้าปรองดอง แต่ภายในขบวนการเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยเองกลับเต็มไปด้วยความแตกแยก ก๊วนธิดาแดง-หมอเหวงทะเลาะกับก๊วนนายชินวัตน์ ส่วนภายในพรรคเพื่อไทยเองก็ตบตีกันชุลมุนเพื่อแย่งกันเป็นรัฐมนตรี

ไหนจะปัญหาท่าทีที่เปลี่ยนไปของว่าที่นายกรัฐมนตรีที่มีต่อศัตรูของคนเสื้อแดงที่ชื่อว่า “อำมาตย์” เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์แบะท่าขอเข้าพบ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษที่คนเสื้อแดงถือเป็น “ศัตรู”หมายเลข 1 ของไพร่แดง รวมกระทั่งถึงบรรดาขุนทหารและกองทัพในการคัดเลือกบุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จนมีกระแสข่าวเรื่องการหยิบยื่นผลประโยชน์มหาศาลให้กับญาติคนเสื้อแดง 91 ศพ โดยอ้างเรื่องความปรองดอง ซึ่งก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจบังเกิดขึ้นในหมู่คนเสื้อแดงทุกที(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในข่าว “ไพร่แดงรับไม่ได้ไพร่ “ปู” ง้อ อำมาตย์ “ป๋า” หน้า 12)

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่ก๊วนนายชินวัฒน์จะยกขบวนขับไล่นางธิดาที่ประกาศและย้ำชัดเจนว่า ไม่ต้องการนิรโทษกรรมและต้องการให้มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริง 91 ศพ รวมถึงบทบาทของทหารและเกี่ยวข้องในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง

แน่นอน ผู้ที่สามารถจัดการปัญหาความแตกแยกในขบวนการเสื้อแดงย่อมไม่ใช่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หากแต่เป็น นช.ทักษิณเพียงคนเดียวอีกแล้วครับท่านว่าจะสั่งให้หันซ้ายหรือหันขวา

ประสบการณ์ทางการเมืองเพียง 40 วัน.....เริ่มต้นจากศูนย์กลายเป็นปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1....แถมไม่ต้องดิ้นรนพิสูจน์ความสามารถให้คนในพรรคยอมรับ แต่ลอยมาจากฟ้าตามคำสั่งของ นช.ทักษิณ กำลังทำลาย น.ส.ยิ่งลักษณ์อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

วันนี้ ชัยชนะของพรรคเพื่อไทย และการก้าวขึ้นเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีจึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่ง“ทุกขลาภ” ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และเป็นการนับถอยหลังชัยชนะที่รอวันแพ้

กำลังโหลดความคิดเห็น