นับแต่วันที่รัฐบาลได้ประกาศยุบสภา และจัดให้มีการเลือกตั้งโดยทั่วไปขึ้น ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 พรรคการเมืองและนักการเมือง “นักเลือกตั้ง” ทั้งหลายต่างมุ่งหน้ารณรงค์หาเสียงแข่งขันกันเสนอนโยบายประชานิยม ลด แลก แจก แถม สารพัดคำสัญญาที่จะให้ เสนอให้อันเป็นการจูงใจประชาชนผู้ใช้สิทธิให้ไปลงคะแนนเลือกตั้งแก่ตน ทั้งๆ เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ มาตรา 53 (1) (2) ที่บัญญัติห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
(1) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด (2) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม แก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถาบันการศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด...............ความผิดตาม (1) หรือ (2) ให้ถือเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมาย ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้ แม้จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ ทุกพรรคการเมืองก็ยังฝ่าฝืน โดยมิได้ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง และ กกต.ก็เพิกเฉย มิได้ดำเนินการ
การรณรงค์หาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ดังกระหึ่มไปพร้อมๆ กับเสียงปืน ที่รัวกระหน่ำ ไล่ล่าสังหารหัวคะแนนของปรปักษ์หรือคู่แข่งขัน ขณะเดียวกัน สื่อของรัฐก็โหมโฆษณาเชิญชวนประชาชนให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยบอกแต่เพียงให้เลือกคนที่รัก และเลือกพรรคที่ชอบ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงหาได้มีคนที่รัก หรือพรรคที่ชอบให้ประชาชนเลือกแต่อย่างใดไม่ เพราะทั้งคนและพรรคก็ล้วนแต่เป็นพวกหน้าเดิมๆ ที่ทำความเสียหายต่อประเทศชาติบ้านเมืองมาแล้วทั้งสิ้น พวกหนึ่งก็เผาบ้านเผาเมือง ล้มเจ้า ก่อจลาจล ต้องหาคดี เป็นผู้ก่อการร้าย คิดการใหญ่ หวังล้มระบอบ เปลี่ยนประเทศ
อีกพวกหนึ่ง ก็ปล่อยให้เกิดการเผาบ้านเผาเมือง ขบวนการล้มเจ้า ขยายตัวเข้มแข็ง ขบวนการก่อการร้าย และผู้นำจลาจล ก่อสงครามกลางเมือง เหิมเกริม โดยมิได้เกรงกลัวกฎหมาย และขื่อแปรของบ้านเมือง เป็นรัฐบาลแต่ไม่ทำหน้าที่ ยังเลี้ยงไข้พวกเสื้อแดงก่อการร้ายไว้ข่มขู่ และข่มขืนประชาชนแล้วมาร้องไห้บีบน้ำตาจระเข้ ไว้ต่อรองให้หันมาสนับสนุนตน อันเป็นความเลว และความชั่วร้ายพอๆ กัน มิพักต้องพูดถึงเรื่องพฤติกรรมการโกงกิน และทุจริตคอร์รัปชัน ขายชาติ ขายแผ่นดินที่มีความเลวร้ายพอๆ กัน
เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่สามารถเป็นอนาคต และความหวังของประชาชนได้ แต่ใช้การยุบสภาหนีปัญหา ทิ้งความรับผิดชอบ วาดฝันว่า การเลือกตั้งจะล้างความผิด ทำให้ประชาชนลืมความล้มเหลว ใช้การเลือกตั้งผลัดหน้าทาแป้งแต่งตัวให้ตนเองเข้าสู่อำนาจอีกครั้งอย่างไม่แคร์ต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของตน ไม่สนใจเสียงเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่เสียใหม่ ไม่นำพาต่อกระแสสังคมที่เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติ หยุดขบวนการล้มเจ้าอย่างขุดรากถอนโคนเสีย ด้วยเหตุที่การเมืองและการเลือกตั้งครั้งนี้ มิอาจเป็นความหวัง เป็นทางเลือก หรือเป็นคำตอบให้กับประชาชนและประเทศชาติได้
ประชาชนผู้รักชาติ รักประชาธิปไตย และรักความเป็นธรรม จึงได้ร่วมกัน รณรงค์และต่อสู้กับนักการเมือง และพรรคการเมือง เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ด้วยสำนึก และตระหนักว่า หากปล่อยให้ประเทศชาติตกอยู่ในกำมือของพรรคการเมือง และนักการเมือง ดังที่กล่าวมาแล้ว ย่อมนำพาประเทศจมปลักสู่ความหายนะ ไร้อนาคต และดูจะมืดมนตกอยู่ในวังวนของวงจรอุบาทว์ทางการเมือง ไม่มีที่สิ้นสุด อาวุธสำคัญที่ประชาชนใช้ตอบโต้สั่งสอนนักการเมืองครั้งนี้ ก็คือ การ Vote No หรือการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่กาในช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” นั่นเอง อันถือเป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่สามารถกระทำได้ เป็นสิทธิที่มีติดตัวประชาชนพลเมืองทุกคนตามรัฐธรรมนูญ และในความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีผู้ใดจะมาทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียซึ่งสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวได้ และเป็นสิ่งที่ประชาชนพลเมืองทุกคน มีอยู่โดยเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 3, 4, 5, 6 และ 30
การไปใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชน ไม่ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกคนใด หรือพรรคใด โดยกาในช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” ย่อมเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และเป็นการแสดงออกของประชาชนพลเมืองในการใช้อำนาจอธิปไตยของตน และในฐานะศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การใช้สิทธิของประชาชนดังกล่าว ผู้ใดจะลบล้าง หรือทำลายโดยทำให้เสื่อมเสียหรือสิ้นผลในทางกฎหมายย่อมมิได้ บทบัญญัติกฎหมายใดที่บัญญัติไว้อันเป็นการไม่เคารพหลักการดังกล่าว หรือโดยขัด และแย้งต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ให้การรับรองและคุ้มครองไว้ ย่อมมิอาจมีผลบังคับ
การที่มีนักกฎหมายบางท่าน หรือนักวิชาการบางคน กระทั่งการอ้างความเห็น ของ กกต.ก็ตาม หากขัดต่อหลักการดังกล่าว ย่อมมิอาจรับฟังได้ อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ Vote No หรือไม่ประสงค์ลงคะแนน เป็นการสามัคคีลุกขึ้นมาต่อสู้ของภาคประชาชนที่แสดงออกถึงการปฏิเสธระบอบการเมือง พรรคการเมือง และนักการเมือง ที่เห็นและเป็นอยู่ในประเทศไทย ว่าถึงเวลาที่จะต้องมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการเมืองของประเทศไทยครั้งใหญ่เสียที เป็นการรณรงค์ที่มีเป้าหมายทางการเมืองเป็นหลัก และมีผลทางกฎหมายรองรับสนับสนุน หากมีความเห็นแตกต่างในทางกฎหมาย ผลอันรับฟังได้เป็นที่สุดย่อมต้องขึ้นอยู่ที่คำวินิจฉัยของศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิทางการเมือง จึงย่อมอยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย
การที่นักการเมือง นักเลือกตั้งออกมาโหมกระแสตอบโต้ โจมตีการ Vote No อย่างหนักในโค้งสุดท้าย ย่อมเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า การรณรงค์ Vote No ของประชาชนประสบผลสำเร็จ และประสบชัยชนะทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้นักการเมือง และพรรคการเมืองต่างดิ้นทุรนทุราย ไม่ว่าพวกเขาจะดิ้นรนอย่างไร จะใช้สารพัดวิชามารอย่างไร ก็มิอาจขวางกระแสธารนี้ได้ เพราะวันนี้ประเทศต้องการการหลุดพ้นจากระบอบการเมืองเก่า ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลง Vote No จึงเป็นชัยชนะของประชาชน และผลทางกฎหมายที่ใครก็มิอาจทำลายได้
(1) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด (2) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม แก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถาบันการศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด...............ความผิดตาม (1) หรือ (2) ให้ถือเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมาย ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้ แม้จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ ทุกพรรคการเมืองก็ยังฝ่าฝืน โดยมิได้ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง และ กกต.ก็เพิกเฉย มิได้ดำเนินการ
การรณรงค์หาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ดังกระหึ่มไปพร้อมๆ กับเสียงปืน ที่รัวกระหน่ำ ไล่ล่าสังหารหัวคะแนนของปรปักษ์หรือคู่แข่งขัน ขณะเดียวกัน สื่อของรัฐก็โหมโฆษณาเชิญชวนประชาชนให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยบอกแต่เพียงให้เลือกคนที่รัก และเลือกพรรคที่ชอบ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงหาได้มีคนที่รัก หรือพรรคที่ชอบให้ประชาชนเลือกแต่อย่างใดไม่ เพราะทั้งคนและพรรคก็ล้วนแต่เป็นพวกหน้าเดิมๆ ที่ทำความเสียหายต่อประเทศชาติบ้านเมืองมาแล้วทั้งสิ้น พวกหนึ่งก็เผาบ้านเผาเมือง ล้มเจ้า ก่อจลาจล ต้องหาคดี เป็นผู้ก่อการร้าย คิดการใหญ่ หวังล้มระบอบ เปลี่ยนประเทศ
อีกพวกหนึ่ง ก็ปล่อยให้เกิดการเผาบ้านเผาเมือง ขบวนการล้มเจ้า ขยายตัวเข้มแข็ง ขบวนการก่อการร้าย และผู้นำจลาจล ก่อสงครามกลางเมือง เหิมเกริม โดยมิได้เกรงกลัวกฎหมาย และขื่อแปรของบ้านเมือง เป็นรัฐบาลแต่ไม่ทำหน้าที่ ยังเลี้ยงไข้พวกเสื้อแดงก่อการร้ายไว้ข่มขู่ และข่มขืนประชาชนแล้วมาร้องไห้บีบน้ำตาจระเข้ ไว้ต่อรองให้หันมาสนับสนุนตน อันเป็นความเลว และความชั่วร้ายพอๆ กัน มิพักต้องพูดถึงเรื่องพฤติกรรมการโกงกิน และทุจริตคอร์รัปชัน ขายชาติ ขายแผ่นดินที่มีความเลวร้ายพอๆ กัน
เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่สามารถเป็นอนาคต และความหวังของประชาชนได้ แต่ใช้การยุบสภาหนีปัญหา ทิ้งความรับผิดชอบ วาดฝันว่า การเลือกตั้งจะล้างความผิด ทำให้ประชาชนลืมความล้มเหลว ใช้การเลือกตั้งผลัดหน้าทาแป้งแต่งตัวให้ตนเองเข้าสู่อำนาจอีกครั้งอย่างไม่แคร์ต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของตน ไม่สนใจเสียงเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่เสียใหม่ ไม่นำพาต่อกระแสสังคมที่เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติ หยุดขบวนการล้มเจ้าอย่างขุดรากถอนโคนเสีย ด้วยเหตุที่การเมืองและการเลือกตั้งครั้งนี้ มิอาจเป็นความหวัง เป็นทางเลือก หรือเป็นคำตอบให้กับประชาชนและประเทศชาติได้
ประชาชนผู้รักชาติ รักประชาธิปไตย และรักความเป็นธรรม จึงได้ร่วมกัน รณรงค์และต่อสู้กับนักการเมือง และพรรคการเมือง เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ด้วยสำนึก และตระหนักว่า หากปล่อยให้ประเทศชาติตกอยู่ในกำมือของพรรคการเมือง และนักการเมือง ดังที่กล่าวมาแล้ว ย่อมนำพาประเทศจมปลักสู่ความหายนะ ไร้อนาคต และดูจะมืดมนตกอยู่ในวังวนของวงจรอุบาทว์ทางการเมือง ไม่มีที่สิ้นสุด อาวุธสำคัญที่ประชาชนใช้ตอบโต้สั่งสอนนักการเมืองครั้งนี้ ก็คือ การ Vote No หรือการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่กาในช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” นั่นเอง อันถือเป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่สามารถกระทำได้ เป็นสิทธิที่มีติดตัวประชาชนพลเมืองทุกคนตามรัฐธรรมนูญ และในความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีผู้ใดจะมาทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียซึ่งสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวได้ และเป็นสิ่งที่ประชาชนพลเมืองทุกคน มีอยู่โดยเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 3, 4, 5, 6 และ 30
การไปใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชน ไม่ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกคนใด หรือพรรคใด โดยกาในช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” ย่อมเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และเป็นการแสดงออกของประชาชนพลเมืองในการใช้อำนาจอธิปไตยของตน และในฐานะศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การใช้สิทธิของประชาชนดังกล่าว ผู้ใดจะลบล้าง หรือทำลายโดยทำให้เสื่อมเสียหรือสิ้นผลในทางกฎหมายย่อมมิได้ บทบัญญัติกฎหมายใดที่บัญญัติไว้อันเป็นการไม่เคารพหลักการดังกล่าว หรือโดยขัด และแย้งต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ให้การรับรองและคุ้มครองไว้ ย่อมมิอาจมีผลบังคับ
การที่มีนักกฎหมายบางท่าน หรือนักวิชาการบางคน กระทั่งการอ้างความเห็น ของ กกต.ก็ตาม หากขัดต่อหลักการดังกล่าว ย่อมมิอาจรับฟังได้ อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ Vote No หรือไม่ประสงค์ลงคะแนน เป็นการสามัคคีลุกขึ้นมาต่อสู้ของภาคประชาชนที่แสดงออกถึงการปฏิเสธระบอบการเมือง พรรคการเมือง และนักการเมือง ที่เห็นและเป็นอยู่ในประเทศไทย ว่าถึงเวลาที่จะต้องมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการเมืองของประเทศไทยครั้งใหญ่เสียที เป็นการรณรงค์ที่มีเป้าหมายทางการเมืองเป็นหลัก และมีผลทางกฎหมายรองรับสนับสนุน หากมีความเห็นแตกต่างในทางกฎหมาย ผลอันรับฟังได้เป็นที่สุดย่อมต้องขึ้นอยู่ที่คำวินิจฉัยของศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิทางการเมือง จึงย่อมอยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย
การที่นักการเมือง นักเลือกตั้งออกมาโหมกระแสตอบโต้ โจมตีการ Vote No อย่างหนักในโค้งสุดท้าย ย่อมเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า การรณรงค์ Vote No ของประชาชนประสบผลสำเร็จ และประสบชัยชนะทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้นักการเมือง และพรรคการเมืองต่างดิ้นทุรนทุราย ไม่ว่าพวกเขาจะดิ้นรนอย่างไร จะใช้สารพัดวิชามารอย่างไร ก็มิอาจขวางกระแสธารนี้ได้ เพราะวันนี้ประเทศต้องการการหลุดพ้นจากระบอบการเมืองเก่า ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลง Vote No จึงเป็นชัยชนะของประชาชน และผลทางกฎหมายที่ใครก็มิอาจทำลายได้