ASTVผู้จัดการรายวัน-"สุวิทย์"โชว์หนังสือถอนตัวมรดกโลก ยันเพื่อรักษาอธิปไตยและดินแดนไทย จวก"นพเหล่" ตัวต้นเหตุที่ปล่อยให้เขมรนำพระวิหารเข้าสู่มรดกโลก อัดบัวแก้วตัวดี กลับลำไม่เห็นด้วย ทั้งที่ตอนหารือไม่เห็นมีใครขัด ครม."มาร์ค"ทำได้แค่รับทราบ พร้อมโยนรัฐบาลหน้าดำเนินการต่อ "ชวนนท์"พลิ้ว ระบุทีมไทยไม่เคยขัดแย้ง
เมื่อเช้าวานนี้ (28 มิ.ย.) นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาไทย ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ได้นำหนังสือที่ใช้ในการชี้แจงการขอถอนตัวของไทยออกจากการเป็นสมาชิกอนุสัญญามรดกโลก ซึ่งได้ลงรับเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา มาโชว์ต่อสื่อมวลชน และแจ้งว่าจะนำเข้าชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วย
**"สุวิทย์"ย้ำไม่อยากเสี่ยงเสียดินแดน
นายสุวิทย์กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์บังคับ ทำให้เราต้องตัดสินใจถอนตัว เพราะมีผลต่อเรื่องดินแดน และอำนาจประชาธิปไตยของไทย ในส่วนของปราสาทเขาพระวิหารและดินแดนโดยรอบ ซึ่งตั้งแต่ปี 2505 เราได้สูญเสียปราสาท และอำนาจอธิปไตยในสมัยนั้น ได้ทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวด ดังนั้น การตัดสินใจในการดำเนินการเรื่องนี้ ถ้าไม่ระมัดระวัง เราอาจจะสูญเสียบริเวณรอบตัวปราสาทให้กับกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง
"ผมขอถามว่า ถ้าคุณเป็นคนไทยที่รักชาติ รักแผ่นดิน คุณจะทำอย่างไรในการปกป้องอธิปไตย และรักษาดินแดน คุณจะยอมให้กัมพูชาและคณะกรรมการมรดกโลก องค์การยูเนสโก และศูนย์มรดกโลก ทำให้เราต้องสูญเสียอำนาจอธิปไตย และดินแดนหรือไม่ สำหรับผม ขอเรียนว่าในฐานะที่เป็นคนไทย รักชาติรักแผ่นดิน ผมยอมไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียว เพราะฉะนั้น อะไรก็ตาม ที่สุ่มเสี่ยงต่ออำนาจอธิปไตย และดินแดน ผมต้องป้องกันและปกป้องไว้ด้วยชีวิต ผมถามว่าการเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญามรดกโลก กับการสูญเสียอำนาจอธิปไตย ถ้าคุณเป็นคนไทย จะเลือกอย่างไหน ส่วนผมเลือกการดูแลรักษาผืนแผ่นดินไทย"
พร้อมกันนี้ นายสุวิทย์ได้ย้ำอีกว่า การเป็นภาคีอนุสัญญาจะกลับไปเป็นเมื่อไรอีกก็ได้ แต่ถ้าสูญเสียอำนาจอธิปไตย และดินแดนไปแล้ว ปราสาทพระวิหาร จะเอาคืนไม่ได้ จึงตัดสินใจถอนตัวออกจากสมาชิก และถ้าใครก็ตามคิดว่าจะกลับเข้าร่วมภาคีสมาชิกอนุสัญญาเมื่อไร ก็ต้องชี้แจงพี่น้องประชาชนเหมือนกันว่ากลับเข้าไปแล้ว จะไม่มีผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยและดินแดน และจะปกป้องอำนาจอธิปไตย และดินแดนของไทยอย่างไร
ทั้งนี้ นายสุวิทย์กล่าวว่า การลาออกครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง หรือเพื่อการหาเสียงเลือกตั้ง
** จวกยูเนสโกไม่ให้เกียรติไทย
นายสุวิทย์กล่าวว่า ในวันนี้ เราทำทุกอย่างที่ควรจะต้องทำแล้ว แต่ทางศูนย์มรดกโลก องค์การยูเนสโก และคณะกรรมการมรดกโลก ยังมองไม่เห็นความสำคัญ และความอ่อนไหวของเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ฉะนั้น เมื่อเขาต้องการนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ตนได้ขอเวลาในการเจรจากันอีกครั้งได้หรือไม่ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้พยายามติดต่อผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก แต่ผู้อำนวยการใหญ่ไม่ยอมรับสายของนายอภิสิทธิ์ ในฐานะที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร และนายอภิสิทธิ์ ก็ได้ใช้ความพยายามที่จะเจรจากับผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก ก่อนที่จะมีการพิจารณา และได้ขอให้การประชุมเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน แต่เขาก็ยังไม่ยินยอม ไม่ให้เกียรตินายกรัฐมนตรีไทย ไม่ให้เกียรติประเทศไทยเลย ตนขอถามว่า ถ้าเขาไม่ให้เกียรติเรา แล้วเราจะไปให้เกียรติเขาทำไม
**ห่วงปัญหาเขตแดนลามถึงน่านน้ำไทย
นายสุวิทย์กล่าวถึงกรณี นายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ การถอนตัวครั้งนี้ว่า นายนพดล เองไม่ใช่หรือที่เป็นคนนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณา จนขึ้นทะเบียนมรดกโลก ตนคิดว่าการขึ้นทะเบียนในคราวนั้นเอง ที่ทำให้เป็นปัญหา ทำให้เกิดผลกระทบมาในครั้งนี้ ตนจึงคิดว่าตรงนี้ใครก็ตามที่มาเป็นรัฐบาลต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า คุณจะปกป้องอธิปไตยและดินแดนอย่างไร
ส่วนเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่มีการปักปันเขตแดน บริเวณปราสาทพระวิหาร และข้ออ้างของกัมพูชาที่นำขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกนั้น จะมีผลกระทบไม่ใช่เฉพาะบริเวณปราสาทพระวิหารเท่านั้น แต่จะมีผลกระทบถึงเรื่องผลประโยชน์บริเวณทะเล ในเรื่องบ่อน้ำมัน และหลายเรื่องที่กระทบตรงนี้ รวมถึงผลประโยชน์การพัฒนาพื้นที่บริเวณทางเข้าที่ติดอยู่กับปราสาทพระวิหารด้วย
เมื่อถามว่า การถอนตัวเช่นนี้ มีการบอกกับประชาชนตามแนวชายแดนหรือไม่ว่า จะต้องทำตัวอย่างไร นายสุวิทย์ กล่าวว่า ได้พูดคุยกับทางทหารมาตลอด ว่า สถานการณ์เป็นอย่างไร และถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผลกระทบจะเป็นอย่างไร ได้พิจารณาทุกด้านอย่างรอบคอบแล้ว ส่วนการทบทวนนั้น ในส่วนของตน จะทบทวนก็ต่อเมื่อศูนย์มรดกโลก องค์การยูเนสโก และคณะกรรมการมรดกโลก ยอมรับถึงความอ่อนไหว และปัญหาการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา
เมื่อถามว่า ทำไมไม่ปล่อยให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้ดำเนินการ นายสุวิทย์กล่าวว่า ถ้าเผื่อว่าวันนี้ตนไปยอมรับมติของคณะกรรมการ ตนก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี และก็ต้องมีคนถามตนว่า แผนบริหารจัดการที่ร่างอยู่ในมติ หายไปไหน แสดงว่า ตนมีการรับรองมติแล้วหรือไม่ ซึ่งตนไม่เคยรับรองเลย ตรงนี้เป็นส่วนที่ตนรอไม่ได้
**หมกเม็ดให้เขมรทำตามใจชอบ
ต่อมาเวลา 11.30 น. นายสุวิทย์ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมครม.ว่า ในส่วนหนังสือจากผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโกที่มาถึงนายกรัฐมนตรีในภายหลัง และมีข้อความเขียนว่า ที่ประชุมไม่ได้มีการพิจารณาร่างแผนบริหารจัดการของกัมพูชา เป็นการยืนยันในส่วนที่กัมพูชาไปอ้างว่า มีการพิจารณาแผนบริหารจัดการไปแล้ว ที่สำคัญในขณะที่มีการพูดจาก่อนที่ร่างมติดังกล่าวจะเข้าที่ประชุม เราก็ถามเพื่อขอคำยืนยัน แต่เขาก็ไม่เคยยืนยันกับเรา ซึ่งเหมือนกับหมกเม็ด สอดไส้ และเมื่อเราถอนตัวแล้ว ถึงมาปฏิเสธในเรื่องนี้ว่า ไม่มีการพิจารณาแผนบริหารจัดการ ตนถามว่าหากเราไม่ถอนตัว ข้อมติที่ออกมาไม่มีเรื่องของแผนบริหารจัดการคนไทยจะเข้าอย่างไร รวมทั้งยูเนสโก จะทำหนังสือมาอย่างนี้หรือไม่
นายสุวิทย์กล่าวว่า ในมติข้อ 5 ของวาระเขาพระวิหาร เขียนเปิดช่องให้ทางกัมพูชาทำอย่างไรก็ได้กับตัวปราสาทพระวิหาร ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซม การบูรณะ การขอรับเงินช่วยเหลือจากทางยูเนสโก จากทางศูนย์มรดกโลก ซึ่งประเทศไทยเองก็ปฏิเสธมาตลอด ว่าเราไม่ยินยอมจนกว่าการปักปันเขตแดนจะแล้วเสร็จและได้รับอนุญาตจากประเทศไทยให้เข้าไปดำเนินการได้
อย่างไรตาม ในส่วนนี้จะเป็นประเด็นปัญหา และสาระสำคัญ ซึ่งที่ประชุมครม. ได้มีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปตรวจสอบดูมติในข้อ 5 อีกครั้ง ซึ่งตนได้ดูอย่างรอบครอบแล้วว่า มติ ข้อ 5 เป็นประเด็นปัญหา และจะเป็นข้อความที่ทางกัมพูชาสามารถนำมาอ้างได้ ในการขอเงินและความช่วยเหลือเพื่อส่งคนขึ้นไปบนพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร
"ผมบอกและยืนยันกับยูเนสโกกับศูนย์มรดกโลกอยู่ตลอดเวลาว่า การปกป้องคุ้มครองตัวปราสาทนั้นทำได้ง่ายนิดเดียว คือ กัมพูชาต้องถอนทหารออกจากตัวปราสาท และบริเวณตัวปราสาท และไม่ใช้เป็นฐานปืนใหญ่มายิงถล่มประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ผมพูดกับยูเนสโกมา 3 ปีแล้ว โดยได้นำรูปไปให้ยูเนสโกได้ดูด้วยว่ามีการตั้งปืนใหญ่อยู่ในตัวปราสาทเลย ทั้งนี้ ยูเนสโกทราบดี แต่ทางยูเนสโกเอง ไม่มีความพยายามที่จะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างชัดเจนแต่ประการใด" นายสุวิทย์กล่าว
**อัดบัวแก้วกลับลำไม่เห็นด้วย
นายสุวิทย์ยังกล่าวถึง ท่าทีของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไม่เห็นด้วยภายหลังการตัดสินใจถอนตัวจากภาคีมรดกโลก ว่า ก่อนจะตัดสินใจถอนตัว ตนได้ถามที่ประชุมแล้วว่าใครมีความเห็นเป็นอย่างอื่นหรือไม่ ก็ไม่มีใครแสดงความคิดเห็นเป็นอื่น โดยตนยังได้ถามทางกระทรวงการต่างประเทศว่า เห็นด้วยหรือไม่ โดยย้ำหลายครั้ง ซึ่งนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรมว.ต่างประเทศ อธิบดีกรมสนธิสัญญา และเจ้าหน้าที่อีกหลายคน ก็ไม่มีใครเห็นเป็นอื่น ตนก็บอกตรงๆ ว่า ตนเปิดกว้าง เพราะเป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง ซึ่งก็มีความเห็นต่างๆ นานา ว่า เรื่องนี้รับได้ เรื่องนี้รับไม่ได้ แต่ในที่สุดตนก็ได้ดูว่า อะไรที่จะต้องดำเนินการ เนื่องจากมาตรการดังกล่าว ตนก็พยายามดูว่า ถ้าเราจะหลีกเลี่ยงในการถอนตัวจากการเป็นภาคีสมาชิกได้ เราพยายามที่จะทำอยู่แล้ว
"ผมไม่เข้าใจว่าตอนนั้นทำไมถึงไม่ทักท้วง ทั้งที่ประชุมด้วยกัน โดยนายชวนนท์ อธิบดีกรมสนธิสัญญา และกฎหมาย ทั้งคู่ก็เห็นด้วย แต่มาตอนหลังกระทรวงการต่างประเทศกลับมาบอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะอะไร" นายสุวิทย์กล่าว
** ครม.เห็นด้วยลาออกจากมรดกโลก
แหล่งข่าวจากที่ประชุมครม.กล่าวว่า ในการประชุมครม. วานนี้ (28 มิ.ย.) มีรัฐมนตรีหลายคนไม่ได้เข้าร่วมประชุม อาทิ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งมีรายงานว่า ติดภารกิจที่ต่างประเทศ จึงทำให้ไม่ได้รับฟังการรายงานเรื่องมรดกโลก
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้หารือสถานการณ์น้ำท่วม จ.น่าน สถานการณ์ท่อก๊าซฯ รั่ว ที่อ่าวไทย และเรื่องสุดท้ายที่มีการหารือร่วม 1 ชั่วโมง คือ เรื่องที่นายสุวิทย์ประกาศถอนตัวออกจากการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลก โดยเรื่องดังกล่าวนายสุวิทย์ ได้รายงานและชี้แจงให้ครม.รับทราบ และเข้าใจเหตุผลของการประกาศถอนตัวดังกล่าว ซึ่งครม. ส่วนใหญ่ชื่นชม และแสดงความเห็นด้วยกับการตัดสินใจของนายสุวิทย์ โดยก่อนที่จะมีการประกาศถอนตัว นายสุวิทย์ได้ปรึกษา นายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีได้หารือกับทาง ผู้บัญชาการทหารบก ถึงการดูแลบริเวณชายแดนไว้แล้ว
"นายสุวิทย์ได้ระบุว่า ได้ทำตามที่นายกรัฐมนตรีแนะนำให้ไปพูดคุยกับตัวแทนจากบาห์เรน หลังจากนายกรัฐมนตรีเคยโทรศัพท์ไปพูดคุยและบาห์เรน มีท่าทีสนับสนุนไทย แต่เมื่อถึงเวลาจะเข้าร่วมการประชุมนั้น กลับมีท่าทีที่เปลี่ยนไป โดยไม่อยากพูดคุยกับตัวแทนฝ่ายไทย และวันประชุม ก็ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมด้วย อ้างเหตุผลว่าป่วยกะทันหัน ดังนั้น นายกรัฐมนตรี จึงได้แสดงความเห็นถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปว่า อาจมีคนไปพูดอะไร ทำให้เขามีท่าทีเปลี่ยนไป"แหล่งข่าวกล่าว และวิเคราะห์ว่า คนที่ไปพูดอะไรนั้นน่าจะเป็นคนที่อยู่นอกประเทศก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.กระทรวงแรงงาน ได้แสดงความเห็นถึงท่าทีของกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่มีแหล่งข่าวออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย กับการกระทำของนายสุวิทย์นั้น เป็นการแสดงท่าทีที่ไม่เหมาะสมนัก
**"ฮุนเซน"ท้าไทยออกเป็นมติครม.
ภายหลังการประชุมจบลง นายกรัฐมนตรี นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายปณิธาน วัฒนายากร รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยกันถึงการให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ท้าทายทางการไทย ให้แสดงความเป็นลูกผู้ชาย โดยการออกหนังสืออย่างเป็นทางการ หรือเป็นมติครม.ในการถอนตัวจากมรดกโลก
** "มาร์ค"เผยมรดกโลกส่งจม.ชี้แจง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ทางผู้อำนวยใหญ่ของยูเนสโก ได้ทำหนังสือถึงตน ยืนยันมติของคณะกรรมการมรดกโลกชัดเจนว่า ไม่ได้มีการพิจารณาในเรื่องของแผนบริหารจัดการพื้นที่ของกัมพูชา ส่วนการที่เราแสดงเจตนาเรื่องการถอนตัว เขาได้ขอให้เราได้พิจารณา ฉะนั้น ตนขอบอกว่า ไม่แปลกใจ และไม่ถือสา สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ออกมาพูดอะไร เพราะว่าหลอกชาวโลกไม่ได้หรอก ทางยูเนสโกก็ยืนยันแล้วว่าไม่ได้พิจารณาเรื่องแผนบริหารจัดการของทางกัมพูชาแต่อย่างใด ก็คงจะรู้สึกเสียหน้าและมีอาการเป็นธรรมดา
ผู้สื่อข่าวถามว่าหมายถึงว่า จะมีการทบทวนเรื่องการถอนตัวออกจากภาคีสมาชิกอนุสัญญามรดกโลกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของรัฐบาลต่อไปที่จะดำเนินการขั้นตอนต่างๆ เพราะว่าการแสดงเจตนาถอนตัว เราได้ทำไปแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนต่างๆ เท่านั้นเอง ระหว่างนี้ก็ให้ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงวัฒนธรรม ได้ดูในข้อมติที่เขาผ่านออกมา แม้ว่าจะไม่มีการพิจารณาแผนบริหารจัดการ แต่ก็อยากให้ดูรอบคอบว่ามีผลกระทบอย่างไร
** เย้ย"ฮุนเซน"โวยเพราะเสียหน้า
เมื่อถามต่อว่า กรณีที่ทางสมเด็จ ฮุนเซน ใช้เล่ห์เหลี่ยมโจมตีเรา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนอยากจะเรียนย้ำอีกครั้งว่า ก็รู้สึกเห็นใจ เพราะรู้สึกเสียหน้า เนื่องจากไปเที่ยวป่าวประกาศว่าเป็นชัยชนะ และวันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ทางยูเนสโก ก็บอกว่าไม่ได้พิจารณาแผนบริหารจัดการของกัมพูชา
เมื่อถามว่ามีแผนรองรับผลกระทบที่จะเกิดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับแนวชายแดน เราได้คุยกับทางกระทรวงกลาโหมและทางกองทัพตั้งแต่ก่อนที่จะมีการแสดงเจตนาเรื่องการถอนตัว ซึ่งทางกระทรวงกลาโหมและทางกองทัพก็ได้มีการรายงานว่าทางกัมพูชามีกการเคลื่อนไหวอยู่ ซึ่งเรามีการติดตามและเฝ้าระวังอยู่ตลอด มันก็เป็นการบ่งบอกถึงเจตนาของทางกัมพูชา
**โยนรัฐบาลหน้าตัดสินใจต่อ
เมื่อถามว่า ทางรัฐบาลได้มีการเตรียมแผนรอรับเหตุการณ์สำหรับอนาคตไว้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้ให้ทางหน่วยงานทราบประเด็นต่างๆ แต่ทางคณะรัฐมนตรี คงไปกำหนดสิ่งที่ผูกพันกับทางรัฐบาลหน้าไม่ได้ในขณะนี้ ซึ่งมันเป็นเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ ส่วนกระทรวงการต่างประเทศก็ให้เขาเอาตัวข้อมติที่ทางคณะกรรมการมรดกโลกออกมา นำมาศึกษาให้ชัดเจน เหมือนกับที่ทางยูเนสโกยืนยันมาแล้วว่าแผนบริหารจัดการของกัมพูชายังไม่ได้รับการพิจาณา ซึ่งก็อยากให้เขายืนยันมาว่าในเรื่องของข้อมติที่ออกมา ในทางปฏิบัตินั้น คือ อะไร ซึ่งเขาแสดงเจตนาชัดว่า เขาต้องการทำงานกับเราต่อไป
เมื่อถามว่า เท่ากับว่าการที่จะต้องทำจดหมายอย่างเป็นทางการในรัฐบาลชุดนี้จะไม่ทำแน่นอน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลนี้คงทำไม่ได้ เพราะว่าจะไปขัดกับรัฐธรรมนูญว่าจะไปผูกพันกับรัฐบาลหน้า
** เชื่อเขมรเตรียมเปลี่ยนเวทีเล่น
นายปณิธาน วัฒนายากร รักษาการรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความเห็นถึงท่าที และการเคลื่อนไหวของกัมพูชา หลังจากที่นายสุวิทย์ ยื่นหนังสือถอนตัวออกจากภาคีอนุกรรมการมรดกโลกว่า ขณะนี้ ทางฝ่ายกัมพูชากำลังเสียหน้า โดยเฉพาะสมเด็จฮุน เซน อยู่ในอาการโกธรอย่างมาก ที่ไทยถอนตัวออกจากภาคี เพราะไม่เป็นไปตามเกมที่ฝ่ายเขาคาดไว้ ซึ่งตนมองว่าการเคลื่อนไหวของกัมพูชาจากนี้ น่าจะขยับเปลี่ยนไปเล่นเวทีอื่น ที่อยู่ในระดับนานาชาติเช่นกัน
**ทหารไทยเตรียมพร้อม
แหล่งข่าวจากกองทัพบก กล่าวถึงสถานการณ์หลังไทยถอนตัวจากการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกว่า มีความอ่อนไหวสูง เพราะทั้งสองฝ่ายอยู่ในภาวะคุมเชิงซึ่งกันและกัน และต่างฝ่ายต่างมีการเสริมกำลังทหารเพื่อตรึงพื้นที่ 4.6 ตารางกม. ไว้ก่อนหน้าที่คณะกรรมการมรดกโลกจะมีการประชุม ที่สำคัญ คือ ฝ่ายกัมพูชาเริ่มมีการปรับกำลัง ขยับแนวเข้ามาเล็กน้อยบริเวณภูมะเขือ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ทำให้กำลังทหารไทยที่ประจำการหน้าแนวต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
"ที่กัมพูชาต้องเสริมกำลังทหารมากขึ้น เพราะเกรงว่าฝ่ายไทยจะเปิดศึกก่อน เพื่อหวังล้มการเลือกตั้งในประเทศ ที่พรรคเพื่อไทยกำลังมาแรง เขาเชื่อว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จะร่วมมือกับกองทัพ ในการสร้างสถานการณ์ชายแดนขึ้น" แหล่งข่าว กล่าว
ทั้งนี้ จากการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เชื่อว่ากัมพูชาต้องการรอดูผลการเลือกตั้งภายในประเทศไทยก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เป็นรัฐบาล ซึ่งสมเด็จฮุน เซนได้ประกาศก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมีของขวัญมอบให้รัฐบาลใหม่ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นการถอนวาระออกจากศาลโลก ซึ่งจะพิจารณาใน 2 สัปดาห์นี้ แต่หากเป็นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ กัมพูชาอาจจะต้องใช้สถานการณ์รุนแรงบริเวณตามแนวชายแดน เพื่อเป็นข้อมูลในการแสดงให้ศาลโลกเห็นว่าเกิดการสู้รบและปะทะกันระหว่างทหารสองชาติ และตัดสินตามการร้องขอให้ศาลโลก ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว และอาจสุ่มเสี่ยงที่สหประชาชาติจะส่งกองกำลังเข้ามาจัดการปัญหาในพื้นที่
**มทภ.2ยันกำลังพลพร้อมรบ
พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนว่า จากการที่เราถอนตัวออกจากมรดกโลก ได้มีความเคลื่อนไหวในด้านต่างๆ ตามแนวชายแดนบ้างส่วน ซึ่งจริงๆ แล้วยังไม่มีอะไร เป็นเพียงการสับเปลี่ยนกำลังและเตรียมพร้อม สำหรับของไทยเองเมื่อออกสนามแล้วยืนยันเราพร้อม 100% ไม่ต้องเตรียมการอะไรเพิ่มเติม แต่หากมีอะไรเพิ่มเติมหรือการเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา เราก็มีการดำเนินการ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของยุทธการไม่สามารถพูดได้ ส่วนกำลังของกองทัพภาคที่ 2 ในขณะนี้มีเพียงพอ แต่หากดำเนินการอะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องมีกองหนุนตลอดเวลาส่วนนี้เราได้วางแผนไว้หมดแล้ว
"จุดที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้ ก็เหมือนกันทุกจุด และสามารถเกิดการปะทะขึ้นได้ทุกจุด เนื่องจากกำลังเผชิญหน้ากันตลอดแนวชายแดน แต่หากเกิดขึ้นจุดไหนเราสามารถที่ปรับได้ทันกาล เนื่องจากฝ่ายเรามีการซักซ้อมไว้หมดแล้ว ถึงขณะนี้ยังไม่มีการเสริมกำลังในพื้นที่แต่อย่างใด ยืนยันกำลังเราพร้อมเต็มที่ในขณะนี้"
**อ้างกต.ไม่ได้ขัดแย้ง"สุวิทย์"
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศ ไม่เห็นด้วยกับการถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก ว่า ขอยืนยันว่า ตนได้อยู่ร่วมการประชุมตั้งแต่ต้น และร่วมเจรจาต่อรองฝั่งผู้แทนยูเนสโก และกัมพูชามาตลอด โดยท่าทีของไทยไปในแนวทางเดียวกัน คือ ขอให้มีการเลื่อนแผนบริหารจัดการ แต่ขณะเดียวกันเรื่องการบูรณะ การปฏิสังขรณ์ตัวปราสาท ต้องมีการตกลงในรายละเอียดกันก่อน ซึ่งทุกครั้ง ตนจะรายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบถึงความเป็นไปและความคืบหน้าทุกครั้ง
"ในวันเสาร์ ที่เกิดเรื่อง เราได้มีการนัดให้มีการสนทนาทางโทรศัพท์ ระหว่างนายกรัฐมนตรี กับผอ.ใหญ่องค์การยูเนสโก ประมาณเวลา 1 ทุ่มครึ่ง ของเวลาในปารีส ซึ่งนายกฯ ก็พร้อมที่จะพูดคุยด้วย แต่ปรากฏว่า มีการนำร่างข้อมติของปราสาทเขาพระวิหารเข้าที่ประชุมก่อน เราก็ยกมือในที่ประชุมว่า ขณะนี้นายกฯ ของไทยกำลังจะมีการพูดคุยกับ ผอ.ใหญ่ยูเนสโก ขอให้เลื่อนเรื่องนี้ออกไปก่อน แต่ทางประธานที่ประชุมอ้างว่า ยังไม่มีการแจ้งอย่างเป็นทางการ จึงไม่มีการเลื่อนตามที่ไทยร้องขอ"
**คุยข่ม "ฮุน เซน"ไม่เจ๋งจริง
นายชวนนท์กล่าวอีกว่า ขณะนี้เราไม่ได้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ สื่อบางฉบับรายงานว่าเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หรือดำเนินการผิดพลาด หรือไม่มีเพื่อน หรือกัมพูชาเป็นฝ่ายล็อบบี้เก่ง ตรงนี้ชัดเจนแล้วว่า ถ้ากัมพูชาเก่งจริงคงไม่พลาดมา 3 ปี และขณะนี้ก็ยังไม่รู้กำหนดว่า แผนการจัดการของเขาจะเริ่มได้เมื่อไร ต้องไม่ลืมว่า เราเริ่มต้นหมือนตามหลังเขา เพราะรัฐบาลยุคพรรคพลังประชาชนได้ปล่อยให้กัมพูชาไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอยู่เพียงฝ่ายเดียว ผ่านแถลงการณ์ร่วมที่ลงนามโดย รมว.ต่างประเทศ (นายนพดล ปัทมะ) ดังนั้น การที่เราต้องตามไปชี้แจง และแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยตลอด 3 ปี ซึ่งไม่มีใครเข้าใจง่ายๆ แต่ที่ประชุมครั้งสุดท้าย ไม่มีชาติไหนยกมือบอกว่าสนับสนุนให้กัมพูชาเสนอแผน ตรงนี้จึงแสดงให้เห็นว่า เราได้ทำงานเป็นผลพอสมควร
ส่วนที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า เราไม่เหมาะสมที่จะถอนตัว ทำให้ไม่มีเวทีชี้แจงนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า เวทีการพูดคุยยังมีอยู่ ไม่ว่าจะผ่านกลไก เจบีซี จีบีซี หรือ อาร์บีซี แต่ขณะนี้เราเห็นว่าการคงอยู่ในภาคมรดกโลก ทำให้เราต้องรับรองข้อมติที่ยังมีข้อสงสัยอยู่ การประกาศถอนตัวเพื่อไม่เป็นพันธะกับไทย ในการไปรับรอง หรือทำให้บานปลายออกไปในกรณีที่เป็นผลลบกับประเทศ ซึ่งเราก็ยังยึดเส้นเขตแดนตามแนวสันปันน้ำ กัมพูชา เสนออะไร หรือเข้ามาบูรณะอะไร หากเลยแนวสันปันน้ำ จะต้องขออนุญาตประเทศไทย และต้องผ่านกระบวนการที่ถูกต้องก่อน และเชือว่ายูเนสโก ก็จะมีท่าทีมาพูดคุยกับไทยมากขึ้น ว่าจะแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างไร
** ปชป.ยันนำไปใช้หาเสียงแน่
นพ.บุรณัชย์ สมุทรรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ข้อมูลชุดนี้จะถูกใช้ในเวทีหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ในช่วง 1 สัปดาห์ที่เหลือก่อนการเลือกตั้งนี้ แน่นอน เพราะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก นโยบายต่างประเทศระหว่าง 2 พรรค อาจจะเรียกได้ว่าเป็นนโยบายที่แตกต่างมากที่สุดในทุกนโยบาย นอกเหนือจากการล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันที่จะคำนึงถึงศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ก่อนจะเอาใจประเทศเพื่อนบ้าน