ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - โฆษก ทภ.2 เผยสถานการณ์ชายแดนไทย-เขมรหลังถอนตัวมรดกโลกพบกัมพูชาเคลื่อนไหวเสริมกำลังทหารประชิดชายแดนไทยมากขึ้น พร้อมฝึกยิงอาวุธหนักทั้งลูกระเบิด-ปืนใหญ่ ขณะทหารไทยตรึงกำลังคุมเข้มตลอดแนวเตรียมพร้อมตอบโต้ 24 ชม.ปกป้องอธิปไตยทุกตารางนิ้ว ฝาก ปชช.อย่าตื่นเกินเหตุให้เตรียมอพยพตลอดเวลา ด้าน"ผบ.ทบ."สั่งการหากถูกรุกล้ำก่อนให้ใช้อาวุธได้ทันที
วานนี้(27 มิ.ย.)ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2 ภายในค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 ในฐานะโฆษกกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังไทยถอนตัวจากภาคีสมาชิกอนุสัญญามรดกโลกว่า การถอนตัวจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยเพราะหากคณะกรรมการมรดกโลกมีมติอะไรออกมาก็ไม่เกี่ยวพันหรือไม่ผูกพันกับประเทศไทยในการปฏิบัติ ส่วนประเทศกัมพูชาจะเข้าไปบริหารจัดการ หรือบูรณะปราสาทพระวิหารก็สามารถดำเนินการได้ แต่ต้องไม่กระทบกับดินแดนของไทย ถ้าปฏิบัติเช่นนี้ปัญหาก็ไม่น่าที่จะเกิดขึ้น
สำหรับการเคลื่อนไหวของกำลังฝ่ายกัมพูชานั้น พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า ก็มีบ้างเป็นเรื่องการสับเปลี่ยนกำลัง การเพิ่มเติมกำลัง การฝึกใช้อาวุธของฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวว่ามีการฝึกการใช้อาวุธ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยิงลูกระเบิด ปืนใหญ่ของทางฝ่ายกัมพูชา ส่วนฝ่ายไทยเรายังคงตรึงกำลังเข้มตลอดแนวชายแดน และเร่งปรับปรุงฐานที่มั่นให้แข็งแรงเพราะยิ่งอยู่นานเราก็ยิ่งพัฒนาให้มีความแข็งแรงปลอดภัยมากขึ้น
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวค่อว่า จากการเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา ทราบว่าล่าสุดเริ่มมีการเสริมกำลังเข้ามาประชิดแนวชายแดนมากขึ้น ฝ่ายไทยเราจึงต้องตรึงกำลังเข้มเช่นกัน ซึ่งเราไม่ต้องเสริมกำลังเข้าไปอีก เพราะที่มีอยู่ก็เพียงพอที่จะรักษาอธิปไตยเอาไว้ได้อยู่แล้ว ที่ผ่านมาเราก็มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังบ้าง เช่น การไปเลือกตั้งล่วงหน้า ส.ส.มีกำลังบางส่วนลงไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ได้รีบขึ้นไปประจำตามแนวแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังของไทยระดับผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ยังสามารถพูดคุยพบปะกันกับผู้นำทหารฝ่ายกัมพูชา มีปัญหาอะไรก็ยังเจรจากันได้ แต่เราไม่ได้ประมาท เพราะจากประสบการณ์หรือบทเรียนในแต่ละครั้งที่ผ่านมานั้น ในขณะที่หน่วยในพื้นที่พูดคุยพบปะกันดีๆ แต่ยังเกิดเหตุปะทะกันขึ้น เรื่องนี้เรากลัวจะมีเหตุการณ์ซ้ำรอยเกิดขึ้นอีก แต่ยังพัฒนาสัมพันธ์กันอยู่ และไม่ตั้งอยู่บนความประมาทมีการเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้หรือตอบโต้ในการปกป้องอธิปไตยของเราตลอดเวลา”
เมื่อถามว่าเรื่องนี้ทางผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และแม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) ได้กำชับอย่างไร พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า นโยบายและเจตนารมณ์ของ ผบ.ทบ.และ มทภ.2 นั้นได้ชี้แจ้งไปแล้วว่า ให้กำลังพลในพื้นที่แนวชายแดนใช้ความอดทนมากที่สุด และถ้ามีการยั่วยุจากทหารฝ่ายกัมพูชาหรือหากฝ่ายกัมพูชาเริ่มโจมตีก่อนเรา ถ้ามีความจำเป็นที่จะปกป้องอธิปไตยก็ต้องตอบโต้อย่างเหมาะสมตามที่เราได้ดำเนินการมา ทั้งนี้ เรายังยึดเจตนารมณ์ของ ผบ.ทบ.อย่างเคร่งครัด
“เหตุการณ์หลังจากนี้ไป คิดว่าในเร็วๆ นี้ไม่น่าที่จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่เราก็ไม่ได้ประมาท ซึ่งกำลังของฝ่ายไทยเฝ้าติดตามและเตรียมพร้อมไว้ตลอด 24 ชม.”
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวอีกว่า สำหรับประชาชนตามแนวชายแดนก็ให้มีการเตรียมพร้อมในการอพยพ แต่ขออย่าได้ตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะเจ้าหน้าที่ทหารเรามีชุดประชาสัมพันธ์ลงให้ความรู้ข่าวสาร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าฝ่ายกัมพูชาจะเชื่อคำสั่งผู้นำอย่างสมเด็จฯ ฮุน เซน เพียงคนเดียว และตอนนี้ยังไม่มีการสั่งอะไรเป็นพิเศษ ฉะนั้น ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนว่าไม่ต้องห่วงเราสามารถที่จะปกป้องอธิปไตยได้โดยที่ไม่เสียเปรียบประเทศใดทั้งสิ้น
**ผบ.ทบ.วอนคนชายแดนอย่าตื่นตระหนก
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับการดูแลสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชานั้นทางกองทัพบกได้ดำเนินการมาแล้วอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะกัน เราได้เพิ่มเติมกำลังและปรับกำลังตลอดเวลา โดยเฉพาะการจัดเตรียมสถานที่กำบังเพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพล ขณะที่ทางกัมพูชาเองก็ได้มีการเตรียมป้องกันไว้เช่นกัน
ทั้งนี้ ฝ่ายเราจะต้องเตรียมการป้องกันเป็นหลัก ไม่ต้องการที่จะไปรุกรานใครทั้งสิ้นและที่ผ่านมาเราก็ไม่เคยเป็นคนเริ่มต้นสถานการณ์ก่อน ขณะนี้กองทัพบกก็เฝ้าติดตามสถานการณ์และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด นายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งการผ่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมมาแล้ว กองบัญชาการกองทัพไทยโดยทั้ง 3 เหล่าทัพจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนการดูแลประชาชนตามแนวชายแดนนั้นจะให้กองทัพภาคที่ 2 ไปทำความเข้าใจ นอกจากนี้ยังได้จัดแพทย์ พยาบาล และกำลังพล เข้าไปทำความเข้าใจ และดูแลสุขภาพจิต
“ประชาชนในพื้นที่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกมันอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ ผมแน่ใจว่าทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีใครอยากให้เกิดสงครามหรือมีการสู้รับกันเกิดขึ้น เนื่องจากมีบทเรียนกันมาแล้ว ผู้บาดเจ็บ สูญเสียคือประชาชนเป็นส่วนใหญ่ที่เดือดร้อน นอกจากนี้ ยังมีทหารอีกส่วนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งก็ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ส่วนการเจรจาพูดคุยหรือการทำสิ่งใดก็ตามมีขั้นตอน และมีการแก้ไขปัญหาไปตามลำดับ ไม่ใช่ว่าเราจะใช้กำลังเพียงอย่างเดียว แต่หากเจรจากันไม่ได้ก็จะต้องหาวิธีกันต่อไป โดยเฉพาะการมุ่งไปสู่การประชุมระหว่างไทย-กัมพูชาในการแก้ไขปัญหาในระดับกระทรวงกลาโหม หรือการประชุม จีบีซี โดยจะหลีกเลี่ยงการปะทะกันให้มากที่สุด ที่ผ่านมากองทัพบกก็ดูแลพื้นที่ตามแนวเขตแดนตามปกติ และยังไม่มีการละเมิดดินแดนต่างๆ โดยเราจะต้องแยกประเด็นกับการประชุม ทั้งนี้ เมื่อเราถอนตัวออกแล้วก็จะต้องดูในเรื่องประเด็นของศาลโลกต่อไป”
**"สุวิทย์"แฉ"เขาพยายามเอาทุกอย่าง"
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์เสร็จ ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงข่าวกรณีการยื่นหนังสือถอนตัวจากการเป็นสมาชิกภาคีมรดกโลก หลังสมาชิกภาคีมรดกโลกรับข้อเสนอของประเทศกัมพูชาในการจัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร ได้เดินมาจับมือกับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมกับกล่าวว่า “เขาพยายามเอาทุกอย่าง”
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบกลับว่า รมว.กลาโหม ได้สั่งการให้ดูแลในพื้นที่ให้ดีที่สุด รวมถึงนายกรัฐมนตรี ก็ได้โทรศัพท์มาสั่งการเช่นกัน นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวกับนายสุวิทย์ ทิ้งทายก่อนขึ้นเครื่องว่า “เยี่ยม”
วานนี้(27 มิ.ย.)ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2 ภายในค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 ในฐานะโฆษกกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังไทยถอนตัวจากภาคีสมาชิกอนุสัญญามรดกโลกว่า การถอนตัวจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยเพราะหากคณะกรรมการมรดกโลกมีมติอะไรออกมาก็ไม่เกี่ยวพันหรือไม่ผูกพันกับประเทศไทยในการปฏิบัติ ส่วนประเทศกัมพูชาจะเข้าไปบริหารจัดการ หรือบูรณะปราสาทพระวิหารก็สามารถดำเนินการได้ แต่ต้องไม่กระทบกับดินแดนของไทย ถ้าปฏิบัติเช่นนี้ปัญหาก็ไม่น่าที่จะเกิดขึ้น
สำหรับการเคลื่อนไหวของกำลังฝ่ายกัมพูชานั้น พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า ก็มีบ้างเป็นเรื่องการสับเปลี่ยนกำลัง การเพิ่มเติมกำลัง การฝึกใช้อาวุธของฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวว่ามีการฝึกการใช้อาวุธ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยิงลูกระเบิด ปืนใหญ่ของทางฝ่ายกัมพูชา ส่วนฝ่ายไทยเรายังคงตรึงกำลังเข้มตลอดแนวชายแดน และเร่งปรับปรุงฐานที่มั่นให้แข็งแรงเพราะยิ่งอยู่นานเราก็ยิ่งพัฒนาให้มีความแข็งแรงปลอดภัยมากขึ้น
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวค่อว่า จากการเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา ทราบว่าล่าสุดเริ่มมีการเสริมกำลังเข้ามาประชิดแนวชายแดนมากขึ้น ฝ่ายไทยเราจึงต้องตรึงกำลังเข้มเช่นกัน ซึ่งเราไม่ต้องเสริมกำลังเข้าไปอีก เพราะที่มีอยู่ก็เพียงพอที่จะรักษาอธิปไตยเอาไว้ได้อยู่แล้ว ที่ผ่านมาเราก็มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังบ้าง เช่น การไปเลือกตั้งล่วงหน้า ส.ส.มีกำลังบางส่วนลงไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ได้รีบขึ้นไปประจำตามแนวแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังของไทยระดับผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ยังสามารถพูดคุยพบปะกันกับผู้นำทหารฝ่ายกัมพูชา มีปัญหาอะไรก็ยังเจรจากันได้ แต่เราไม่ได้ประมาท เพราะจากประสบการณ์หรือบทเรียนในแต่ละครั้งที่ผ่านมานั้น ในขณะที่หน่วยในพื้นที่พูดคุยพบปะกันดีๆ แต่ยังเกิดเหตุปะทะกันขึ้น เรื่องนี้เรากลัวจะมีเหตุการณ์ซ้ำรอยเกิดขึ้นอีก แต่ยังพัฒนาสัมพันธ์กันอยู่ และไม่ตั้งอยู่บนความประมาทมีการเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้หรือตอบโต้ในการปกป้องอธิปไตยของเราตลอดเวลา”
เมื่อถามว่าเรื่องนี้ทางผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และแม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) ได้กำชับอย่างไร พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า นโยบายและเจตนารมณ์ของ ผบ.ทบ.และ มทภ.2 นั้นได้ชี้แจ้งไปแล้วว่า ให้กำลังพลในพื้นที่แนวชายแดนใช้ความอดทนมากที่สุด และถ้ามีการยั่วยุจากทหารฝ่ายกัมพูชาหรือหากฝ่ายกัมพูชาเริ่มโจมตีก่อนเรา ถ้ามีความจำเป็นที่จะปกป้องอธิปไตยก็ต้องตอบโต้อย่างเหมาะสมตามที่เราได้ดำเนินการมา ทั้งนี้ เรายังยึดเจตนารมณ์ของ ผบ.ทบ.อย่างเคร่งครัด
“เหตุการณ์หลังจากนี้ไป คิดว่าในเร็วๆ นี้ไม่น่าที่จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่เราก็ไม่ได้ประมาท ซึ่งกำลังของฝ่ายไทยเฝ้าติดตามและเตรียมพร้อมไว้ตลอด 24 ชม.”
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวอีกว่า สำหรับประชาชนตามแนวชายแดนก็ให้มีการเตรียมพร้อมในการอพยพ แต่ขออย่าได้ตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะเจ้าหน้าที่ทหารเรามีชุดประชาสัมพันธ์ลงให้ความรู้ข่าวสาร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าฝ่ายกัมพูชาจะเชื่อคำสั่งผู้นำอย่างสมเด็จฯ ฮุน เซน เพียงคนเดียว และตอนนี้ยังไม่มีการสั่งอะไรเป็นพิเศษ ฉะนั้น ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนว่าไม่ต้องห่วงเราสามารถที่จะปกป้องอธิปไตยได้โดยที่ไม่เสียเปรียบประเทศใดทั้งสิ้น
**ผบ.ทบ.วอนคนชายแดนอย่าตื่นตระหนก
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับการดูแลสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชานั้นทางกองทัพบกได้ดำเนินการมาแล้วอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะกัน เราได้เพิ่มเติมกำลังและปรับกำลังตลอดเวลา โดยเฉพาะการจัดเตรียมสถานที่กำบังเพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพล ขณะที่ทางกัมพูชาเองก็ได้มีการเตรียมป้องกันไว้เช่นกัน
ทั้งนี้ ฝ่ายเราจะต้องเตรียมการป้องกันเป็นหลัก ไม่ต้องการที่จะไปรุกรานใครทั้งสิ้นและที่ผ่านมาเราก็ไม่เคยเป็นคนเริ่มต้นสถานการณ์ก่อน ขณะนี้กองทัพบกก็เฝ้าติดตามสถานการณ์และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด นายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งการผ่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมมาแล้ว กองบัญชาการกองทัพไทยโดยทั้ง 3 เหล่าทัพจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนการดูแลประชาชนตามแนวชายแดนนั้นจะให้กองทัพภาคที่ 2 ไปทำความเข้าใจ นอกจากนี้ยังได้จัดแพทย์ พยาบาล และกำลังพล เข้าไปทำความเข้าใจ และดูแลสุขภาพจิต
“ประชาชนในพื้นที่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกมันอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ ผมแน่ใจว่าทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีใครอยากให้เกิดสงครามหรือมีการสู้รับกันเกิดขึ้น เนื่องจากมีบทเรียนกันมาแล้ว ผู้บาดเจ็บ สูญเสียคือประชาชนเป็นส่วนใหญ่ที่เดือดร้อน นอกจากนี้ ยังมีทหารอีกส่วนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งก็ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ส่วนการเจรจาพูดคุยหรือการทำสิ่งใดก็ตามมีขั้นตอน และมีการแก้ไขปัญหาไปตามลำดับ ไม่ใช่ว่าเราจะใช้กำลังเพียงอย่างเดียว แต่หากเจรจากันไม่ได้ก็จะต้องหาวิธีกันต่อไป โดยเฉพาะการมุ่งไปสู่การประชุมระหว่างไทย-กัมพูชาในการแก้ไขปัญหาในระดับกระทรวงกลาโหม หรือการประชุม จีบีซี โดยจะหลีกเลี่ยงการปะทะกันให้มากที่สุด ที่ผ่านมากองทัพบกก็ดูแลพื้นที่ตามแนวเขตแดนตามปกติ และยังไม่มีการละเมิดดินแดนต่างๆ โดยเราจะต้องแยกประเด็นกับการประชุม ทั้งนี้ เมื่อเราถอนตัวออกแล้วก็จะต้องดูในเรื่องประเด็นของศาลโลกต่อไป”
**"สุวิทย์"แฉ"เขาพยายามเอาทุกอย่าง"
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์เสร็จ ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงข่าวกรณีการยื่นหนังสือถอนตัวจากการเป็นสมาชิกภาคีมรดกโลก หลังสมาชิกภาคีมรดกโลกรับข้อเสนอของประเทศกัมพูชาในการจัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร ได้เดินมาจับมือกับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมกับกล่าวว่า “เขาพยายามเอาทุกอย่าง”
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบกลับว่า รมว.กลาโหม ได้สั่งการให้ดูแลในพื้นที่ให้ดีที่สุด รวมถึงนายกรัฐมนตรี ก็ได้โทรศัพท์มาสั่งการเช่นกัน นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวกับนายสุวิทย์ ทิ้งทายก่อนขึ้นเครื่องว่า “เยี่ยม”