ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากเกิดเหตุภาพหลุด “ปูเคลิ้ม” อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของ “อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง” แกนนำก่อการร้าย “เผาบ้านเผาเมือง” ที่หนีคุกหนีตะรางอยู่ในขณะนี้ จนเป็นที่ฮือฮากันทั้งประเทศ จน “ปูแดง” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงกับร้อนรนทนไม่ไหวต้องเอา “สามี” ออกมาเปิดตัวในงานวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 44 ปี เหมือนอยากบอกเป็นนัยกับสาธารณชนว่าฉันมี “ผัว” แล้วนะ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “สามี” คนนี้เลยสักแอะ
ภาพและเสียง รวมถึงพฤติกรรมหลายอย่างที่ผ่านมาทั้งก่อนหน้าและหลังจากที่เธอเดินเข้ามาเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทย ทำให้หลายคนมองว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ “ไม่จริงใจ” ทั้งหมดที่เธอทำเป็นการ “เสแสร้ง” แกล้งทำเพื่อหวังผลทางการเมือง เหมือน “นช.ทักษิณ ชินวัตร” พี่ชายในไส้เธอไม่มีผิด
อย่างล่าสุด, เรื่องการ “ดีเบต” ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” เลือกที่จะนอนนิ่งทำ “แพลงกิ้ง” อยู่ในพรรคโดยผลักหลังดันให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคที่ไม่มีบทบาทอะไรเลย และไม่ได้เป็นคนอาสามาเป็นผู้นำประเทศในนามพรรคเพื่อไทย ให้ออกมา “ดีเบต” กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่พรรคประชาธิปัตย์ส่งเข้าประกวด เพื่อเป็นการโชว์วิสัยทัศน์ ให้ประชาชนเห็น “กึ๋น” ของคนที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ
โดยงานนี้พีเน็ตเขาจัดใหญ่ถ่ายทอดโทรทัศน์ทั้งฟรีทีวี, เปย์ทีวี, ทีวีดาวเทียม ทั่วประเทศ ซึ่งประชาชนเขาอยากเห็น “ตัวจริง” ขึ้นเวทีเพื่อประชันวิสัยทัศน์และปัญญา เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจเลือกคนที่มี “ความพร้อม” ที่สุดมาเป็นผู้นำของเขา แต่ “เจ๊” กลับทิ้งโอกาสพิสูจน์ “ความพร้อม” ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 16 ของโลก อย่างที่ นช.ทักษิณ เศรษฐีหนีคุกผู้เป็นพี่ชายของเธอคุยโวโอ้อวดไว้ และที่สำคัญ เธอยังทิ้งโอกาสที่จะพิสูจน์ความเป็น “ตัวเอง” เพื่อสลัดภาพความเป็นซีอีโอบริษัทพี่, เป็นนายกฯในนามพี่, กระทั่งเป็น “โคลนนิ่ง” ของพี่
แล้วอย่างนี้ “ตัวตน” ของยิ่งลักษณ์อยู่ที่ไหน เพราะสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ทุกวันนี้มันไม่ต่างจาก “ภาพลวงตา” ที่เศรษฐีหนีคุกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ภายใต้สคริปต์ “ปรองดอง สมานฉันท์ แก้ไขแต่ไม่แก้แค้น” เป็น “ปู โคลนนิ่ง” ที่ถูกโหลดโปรแกรมมาให้พูดและทำตามบทที่เศรษฐีหนีคุกผู้เป็นพี่ชายและกุนซือลิ่วล้อของเขาวางแผนการและเขียนบทขึ้นมา
คนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาก็รู้กันตั้งนานแล้วว่า “เจตนา” ของคนพวกนี้คืออะไร และยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้นจากบทบาทและลีลาการออดอ้อนออเซาะขอเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ก่อนหน้านี้ รวมถึง “เล่มเกวียน” ล่าสุดที่เธอใช้อ้อนว่าอยากเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ซึ่งความจริงไม่ต้องการอยากพบแต่อย่างใด และไม่อาจมองเป็นอื่นได้นอกจากเป็นการ “เปิดหน้าชก” ของสองพี่น้องที่ต้องการเปิดเกม “ชี้เป้า” ว่าป๋าและขุนทหารเหล่านี้แหละ คือผู้อยู่เบื้องหลังการ “โค่นอำนาจ” ของพวกเขา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้กระทบชิ่งไปถึง “เบื้องสูง” ซึ่งเป็นความพยายามของเศรษฐีหนีคุกมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ซึ่งหลักฐานก็มีให้เห็นมากมายเต็มไปหมด ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรกันอีก
อย่างล่าสุด นช.ทักษิณ เหิมเกริมหนักถึงขั้นให้สัมภาษณ์เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ เดอร์ สปีเกล ในเยอรมนี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย นช.ทักษิณ ได้ตอบคำถามของ เดอร์ สปีเกล ที่ถามถึงกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งในยุคของ นช.ทักษิณ ก็มีผู้ถูกตัดสินโทษด้วยกฎหมายนี้เช่นกัน... ว่า "เมื่อคุณอยู่ในอำนาจ บางครั้งคุณก็ถูกยั่วยวนใจให้ใช้อำนาจนี้ อย่างไรก็ดี พระมหากษัตริย์ได้ปรามในเรื่องการใช้อำนาจนี้”
SPIEGEL : When you were prime minister, many critics of the monarchy were also convicted.
Thaksin : When you're in power, you can sometimes fall for the temptation to use this power. However, the king talked me out of it.
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ทำไมพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเข้าจัดการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นช.ทักษิณ ตอบว่า
“พระองค์ทรงมีพระชนมายุมากแล้วและทรงประชวร และทรงถูกห้อมล้อมด้วยคนไม่ดี”
SPIEGEL : Why won't the king step in and sort things out now?
Thaksin : He is very old and sick, and he's surrounded by the wrong people.
โดยในช่วงท้าย เดอร์ สปีเกล ถามว่า ทำไมไม่กลับไปสู้คดีในไทย นช.ทักษิณ ตอบว่า จะกลับหากมีหลักประกันว่าจะได้รับการไต่สวนโดยยุติธรรม แต่ในเวลานี้ตนเอง ครอบครัว และผู้สนับสนุนไม่อาจคาดหวังถึงความยุติธรรมได้
และในตอนท้ายของการให้สัมภาษณ์ นช.ทักษิณ บอกว่า อยากกลับเมืองไทยในเดือนธันวาคม ซึ่งบุตรสาวคนโตจะแต่งงาน และถึงตอนนั้นน้องสาว (ยิ่งลักษณ์) อาจกำลังเป็นผู้นำประเทศ โดยก่อนหน้านี้ นช.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศถึงเหตุผลในการกลับประเทศช่วงปลายปีว่า ต้องการมาถวายพระพร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา... แต่ นช.ทักษิณ ไม่ได้บอกต่อว่า ผู้ที่จะมานำประชาชนจุดเทียนชัยถวายพระพร ในเดือนมหามงคล เป็นคนในตระกูล “ชินวัตร” หัวหน้าคนเสื้อแดงที่เขาวางตัวเอาไว้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม “นช.ทักษิณ” ก็ยังเป็น “นช.ทักษิณ” ที่ “หมิ่นเจ้า” และหมิ่นกระบวนการยุติธรรมไทย ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
กระทั่งมาถึงโค้งสุดท้ายของ “ศึกเลือกตั้ง” ครั้งนี้ ก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่า นช.ทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สองพี่น้อง “โคลนนิ่ง” ได้เปิดหน้าชกกับ “อำมาตย์” อย่างคนที่มั่นใจในชัยชนะเต็มที่ !
ดูได้จากการที่ นช.ทักษิณ ผู้พี่ตระเวนจ้อสื่อนอกบอกว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งเขามั่นใจเต็มร้อยว่า พรรคเพื่อไทยได้ชัยชนะและได้เป็นรัฐบาล สามารถยึดกุมอำนาจรัฐได้อีกครั้งอย่างแน่นอน และนอกจากอ้างโพลทุกโพลที่ระบุออกมาว่าพรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์อย่างขาดลอยทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นช.ทักษิณ ยังชี้นำให้เสร็จสรรพเรียบร้อยว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะด้วยเสียงข้างมาก แต่ก็จะจัดตั้งรัฐบาลผสมดึงเอาพรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามาร่วม
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง หากผลการเลือกตั้งผิดเพี้ยนกลับตาลปัตร พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ หรือได้จำนวน ส.ส.ต่ำกว่าเป้าดังกล่าว เชื่อเถอะว่านั่นจะเป็นเหตุผลทำให้เครือข่ายระบอบทักษิณลุกขึ้นมาบอกว่า “ถูกปล้น” ถูกโกงการเลือกตั้ง สร้างเงื่อนไขออกมาป่วนกันอีกรอบ และอาจเกิดเหตุการณ์ “เผาใหญ่” อีกครั้ง เพราะคนเสื้อแดงรับข้อมูลจากการปลุกระดมจนเชื่อฝังหัวแล้วว่า มี “อำนาจแฝง” หรือ “อำนาจนอกระบบ” เข้ามากดดันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป
ทั้งที่ในความเป็นจริง อาจเป็นผลมาจากการรณรงค์แบบ “ข่มขู่” ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยการวาดภาพให้น่ากลัวว่า “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” หรือจะปล่อยให้ “พวกเผาเมือง” ได้เข้าสภาหรือเข้ามาเป็นรัฐบาลอย่างนั้นหรือ รวมถึงการออกมาเตือนสติอย่างแข็งกร้าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ประกาศว่าจะไม่ยอมให้พวกที่โยงใยกับขบวนการล้มเจ้าได้เหิมเกริมเดินเข้าสภา และเป็นการเปิดหน้าชนกันเต็มตัว เพราะมีการเอ่ยชื่อออกมากันอย่างชัดเจนว่าตัวการสำคัญที่อยู่ต่างประเทศเวลานี้คือ จักรภพ เพ็ญแข และ ใจลล์ อึ๊งภากรณ์ ซึ่งการระบุชื่ออกมาแบบนี้ก็สามารถโยงใยไปถึงเครือข่ายว่ามีใครกันบ้าง
เพราะแม้จะไม่พูดต่อ แต่สังคมทั่วไปก็ย่อมมองออกว่านี่คือการเชื่อมโยงไปถึง “นช.ทักษิณ” พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง ว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน เพียงแต่แยกบทบาทตามสถานการณ์ แต่มี “เป้าหมายสูงสุด” เดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การออกมา “เตือนสติ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดูอาการแล้วเหมือนกับการพุ่งชนเต็มตัว อาจเป็นเพราะกังวลว่าในวันข้างหน้าจะเอาไม่อยู่ หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงต้องสกัดเอาไว้ก่อน ด้วยการประกาศให้ชาวบ้านได้รับรู้ความจริง ก่อนการตัดสินใจชี้อนาคตว่ายังสมควรเลือกพวกขบวนการ “ล้มเจ้า” พวกผู้ก่อการร้าย “เผาบ้านเผาเมือง” ทำผิดกฎหมายให้เข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรหรือไม่
ขณะเดียวกัน ก็น่าจับตามองการประกาศกลับประเทศไทยในช่วงปลายปีของ นช.ทักษิณ อย่างมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า “พรรคเพื่อไทย” จะได้เป็นรัฐบาลหลังจากการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม ซึ่งน่าสังเกตว่าการประกาศกลับไทยในช่วงนี้ของ นช.ทักษิณ นั้นดูเหมือนต้องการชวนให้ขบคิดว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
เพราะช่วงปลายปีที่มีเดือน “ธันวาคม” ซึ่งประชาชนชาวไทยต่างถือเป็น “เดือนมหามงคล” และปีนี้ถือว่าเป็นปี “พิเศษ” ยิ่งไปกว่าทุกครั้ง ก็ย่อมมีความหมายไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และสำหรับ นช.ทักษิณ แล้วเชื่อว่าเขาจะต้องมีการวางแผนเอาไว้อย่างแนบเนียน ส่วนเป้าหมายจะ “สูงเทียมฟ้า” หรือไม่ เชื่อว่าประชาชนชาวไทยคง “รู้ทันทักษิณ” เป็นอย่างดี !