xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คำสารภาพจากราชประสงค์ “ผมปล่อยแดงเผาเมือง” “ผมเลี้ยงไข้ขบวนการล้มเจ้า” “ผมให้ประกันผู้ก่อการร้าย”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การตัดสินใจปราศรัยใหญ่ที่ “แยกราชประสงค์” ที่ตั้งชื่ออย่างสวยหรูว่า "ดับไฟประเทศ" ของ “พรรคประชาธิปัตย์” ภายใต้การนำของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรค และ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการพรรค ในวันที่ 23 มิถุนายน มิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังเข้าตาจนและห่างไกลจากชัยชนะในศึกเลือกตั้ง 3 กรกฎาคมไปทุกที

เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว พรรคประชาธิปัตย์คงไม่เลือกแก้เกมด้วยการประกาศตนเป็นศัตรูกับกองทัพเสื้อแดงของพรรคเพื่อไทยชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันถึงขั้นไม่เผาผี โดยตัดสินใจทิ้งไพ่ใบสุดท้ายด้วยการนำเหตุการณ์ “แดงเผาบ้านเผาเมือง” ที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของคนไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ มาปลุกผีเพื่อหวังเพิ่มคะแนนเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์ หลังโพลจากทุกสำนักและความจริงในพื้นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “พรรคเพื่อไทย” ของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย พร้อมทั้งส่งผลให้พลพรรคประชาธิปัตย์ต้องกลับไปอดอยากปากแห้งจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ยุทธศาสตร์ “หากินกับศพ” ครั้งนี้ คำถามสำคัญที่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์จะต้องตอบก็คือ ใครทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพดังกล่าว? ใครปล่อยให้คนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง? ใครให้ประกันและมีความคิดปรองดองกับแกนนำแดงเผาบ้านเผาเมือง? และใครเลี้ยงไข้ขบวนการล้มเจ้าเอาไว้โดยที่มิได้จัดการตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่อยู่ในอำนาจ?

มิใช่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

มิใช่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

และมิใช่ พรรคประชาธิปัตย์หรอกหรือ

**ผมปล่อย “แดงเผาเมือง”

ความจริงก็ไม่น่าแปลกใจอะไรนักกับการที่พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจตั้งเวทีเพื่อเปิดปราศรัยใหญ่ที่ “แยกราชประสงค์” เพราะผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองพรรคนี้อย่างต่อเนื่องย่อมรับรู้ได้ถึงความตั้งใจที่จะหยิบยกประเด็น “แดงเผาบ้านเผาเมือง” มาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งโดยตลอด

ตัวอย่างที่ชัดเจนก็เช่น การออกหนังสือ “ประเทศไทยของเรา อย่าให้ใครเผาอีก” ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเขียนบทความ “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” ลงใน “เฟซบุ๊ก” โดยโจมตี “นช.ทักษิณ ชินวัตร” และแกนนำคนเสื้อแดงว่า เป็นต้นเหตุของความตาย 91 ศพ

แน่นอน เป้าหมายของพรรคประชาธิปัตย์ย่อมไม่ใช่คนเสื้อแดงที่บูชา “ลัทธิทักษิณ” ราวกับเป็นเทพเจ้า เพราะไม่ว่าจะยกแม่น้ำทั้ง 5 มาอธิบายอย่างไร ประชาชนของ “เจ้ามูลเมือง” ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หากแต่พรรคประชาธิปัตย์มีเจตนาที่ตอกย้ำภาพแห่งความหฤโหดในครั้งนั้นเพื่อต่อสู้กับ “ยุทธศาสตร์โหวตโน” ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ทำให้คะแนนเสียงที่เคยโหวตให้พรรคประชาธิปัตย์หายวูบไปจนน่าใจหาย

ที่สำคัญคือ พรรคประชาธิปัตย์ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการประกาศสารพัดนโยบายเพื่อการหาเสียงในครั้งนี้ เนื่องจากผลงานตลอดกว่า 2 ปีในการเป็นรัฐบาลที่ผ่านมา ประชาชนคนเคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์รู้ซึ้งถึงสัจธรรมชนิดหยั่งลึกลงไปใน DNA ว่า พรรคนี้ “ดีแต่พูด” และนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่า ผลงานที่โดดเด่นของพรรคนี้คืออะไร นอกจากปัญหาข้าวยากหมากแพง ไข่ชั่งกิโล น้ำมันปาล์มขาดแคลน ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องหากินกับศพด้วยการจัดเวทีปราศรัยราชประสงค์ เพราะพวกเขาเชื่อว่า โศกนาฏกรรมที่คนเสื้อแดงก่อจะทำให้คนที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนใจอีกครั้ง

แต่สิ่งที่ทำให้การเดินหมากเกมนี้ของนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมีสภาพไม่แตกต่างอะไรจาก การ “ยิงปืนกระสุนด้าน” ก็คือ ความจริงใจในการหยิบยกเรื่องนี้มานำเสนอต่อสาธารณชน เนื่องเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ไม่เคยสนใจที่จะจัดการสะสางและอธิบายความจริงให้สังคมส่วนใหญ่ได้เข้าใจ ดังนั้น จึงมิอาจมองเป็นอย่างอื่นได้ว่า นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์มีเจตนา “เลี้ยงไข้” เอาไว้หวังผลในการเลือกตั้งเท่านั้น

ทั้งนี้ แม้ปากของนายอภิสิทธิ์จะประกาศออกมาว่า ไม่ได้คาดหวังเรื่องคะแนนเสียง แต่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คงไม่มีใครคล้อยตามลมปากของนายอภิสิทธิ์

ดังเช่นที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า “ทำไมผ่านมาถึง 2 ปีไม่มีการชี้แจง จะมาเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ ก่อนวันเลือกตั้งเพียงแค่ 11 วัน ส่วนตัวมองว่า เป็นสันดานของนักการเมือง คุณต้องการเพียงแค่คะแนนเท่านั้น ทำทุกอย่างเพียงต้องการเป็นรัฐบาล...พรรคประชาธิปัตย์ทำเพื่ออะไร เพราะต้องการคะแนนจากกลุ่มคนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใดที่ปรากฏตามผลโพลหรือไม่”

ถามว่า การเกิดโศกนาฏกรรมเผา “ห้างเซ็นทรัลเวิลด์” ตลอดรวมถึงกว่า 39 อาคารในกรุงเทพฯ ที่ถูกเผาทำลาย ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงเทพ โรงภาพยนตร์สยาม การไฟฟ้านครหลวง สาขาคลองเตย อาคารมาลีนนท์ อาคารตลาดหลักทรัพย์ โรงแรมเซ็นจูรี่ปาร์ค ห้างสรรพสินค้าเซ็นเตอร์วัน อาคารมหาทุนพลาซ่า บิ๊กซี ราชดำริ ร้าน 7-11 นับสิบร้าน ฯลฯ ไม่นับรวมถึงในต่างจังหวัดที่มีการเผาศาลากลางจังหวัดในหลายพื้นที่ เช่น อุดรธานี ขอนแก่น มุกดาหาร ฯลฯ เป็นฝีมือของใคร

แน่นอน คำตอบชัดเจนยิ่งว่าคือคนเสื้อแดง

แต่คนที่สามารถป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง ทว่า ไม่ดำเนินการอะไร แถมยังนั่งงอมืองอเท้ารอคอยเพื่อให้ “เวลา” เป็นเครื่องคลี่คลายสถานการณ์พร้อมกับอ้างว่า “คาดไม่ถึง” รวมทั้งยังมีหน้าประกาศ “เรดแมป” ในการปรองดองกับคนเสื้อแดงอย่างชายชื่อ “อภิสิทธิ์” สมควรที่จะรับผิดชอบด้วยหรือไม่

คำตอบก็คือ ต้องรับผิดชอบ

เพราะโศกนาฏกรรมเผาบ้านเผาเมืองมิใช่เรื่องที่เกิดฉับพลับทันที หากแต่เพาะเชื้อมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะ นับแต่การล้มประชุมอาเซียนที่พัทยา การพยายามฆ่านายอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทย สงกรานต์เลือดที่วางแผนใช้รถแก๊สก่อวินาศกรรมในปี 53 แล้วจึงมีการปะทุเดือดที่แยกราชประสงค์และสี่แยกคอกวัว

แต่นายอภิสิทธิ์ก็มิได้ทำอะไรที่จะหยุดยั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้

แม้กระทั่งกลุ่มคนเสื้อแดงนำโดย “นายพายัพ ปั้นเกตุ” ยกพลบุกโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก และผู้ป่วยหนักจำต้องย้ายหนีด้วยความหวาดกลัว รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ไม่สามารถสกัดกั้นพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนของคนเหล่านั้นได้

ในวันนั้นทั้งพยาบาลและหมอ ต่างพูดเหมือนกันว่า มีถังแก๊สวางไว้ตลอดแนว ตรงสี่แยกหน้า รพ. มีการต่อท่อ คลุมไว้ด้วยยางรถยนต์ ราดน้ำมันไว้พร้อม

สิ่งที่สังคมไม่เข้าใจคือ ในขณะที่คนเสื้อแดงกำลังตกเป็นรองในเหตุการณ์บุกโรงพยาบาลจุฬาฯ นายอภิสิทธิ์กลับนำ “โรดแมป” แนวทางปรองแดงแห่งชาติ 5 ข้อออกโทรทัศน์ในช่วงไพรม์ไทม์-ละครน้ำเน่ายอดฮิต แถมพ่วงท้ายด้วยการกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย.

ดังนั้น จึงเกิดคำถามตามว่า ทำไมนายอภิสิทธิ์ถึงได้นำสะพานเลี่ยมทองและฝังเพชรมาหยิบยื่นให้แก่แกนนำม็อบเสื้อแดง ทั้งๆ ที่สังคมได้ประจักษ์ในจุดหมายที่แท้จริงว่า พวกเขาคือม็อบที่ไม่ได้มาชุมนุมด้วยความสงบ สันติและอหิงสา หากแต่เป็นม็อบที่มีกองกำลังติดอาวุธเป็นของตนเอง

รายงานข่าวในทางลับแจ้งด้วยว่า ก่อนหน้าที่ RED MAP จะตกผลึกทางความคิดชนิดสะเด็ดน้ำเช่นนี้ ได้มีการประสานงานและต่อสายไปถึง “นช.ทักษิณ ชินวัตร” เจ้าของม็อบเสื้อแดงตัวจริงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเมื่อนายใหญ่ตกลงโอเค โรดแมปทั้ง 5 ข้อจึงถูกร่างขึ้นมาร่วมกัน เช่นเดียวกับกำหนดวันเลือกตั้งที่ขีดเส้นใต้เอาไว้ในวันที่ 14 พ.ย. โดยขุนพลที่เป็นตัวแทนฝ่าย นช.ทักษิณมีอยู่ 3 คนคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา และน.พ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช

และว่ากันว่า 1 ใน 3 คนนี้คือผู้ที่ร่างโรดแมปครั้งนี้ให้กับนายอภิสิทธิ์อีกต่างหาก

ขณะที่ตัวแทนเจรจาของนายอภิสิทธิ์ประกอบไปด้วย นายกรณ์ จาติกวณิช นาย กอร์ปศักดิ์ สภาวสุและ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร

**”ผมให้ประกันผู้ก่อการร้าย”

นอกจากนี้ ถามว่านายอภิสิทธิ์เคยคิดจะทวงถามความยุติธรรมให้กับทหารที่ต้องพลีชีพเพื่อค้ำบัลลังก์นายกรัฐมนตรีอย่าง “พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม” รวมถึงทหารหาญรายอื่นๆ จากฝีมือกองกำลังติดอาวุธบ้างหรือไม่

คำตอบก็คือไม่ เพราะตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลนายอภิสิทธิ์นอกจากจะไม่ได้ดำเนินการอะไรกับบรรดา “ผู้ต้องหา” ในคดีก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมืองที่แยกราชประสงค์

แถมเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมแล้ว นายอภิสิทธิ์ยังมีท่าทีปรองดองกับคนเหล่านั้นอีกต่างหาก ทั้งการต้อนรับขับสู้แกนนำแดงที่ถูกควบคุมตัว ณ “ค่ายนเรศวร” ราวกับไปพักผ่อนในรีสอร์ต กระทั่งประชาชนคนรักชาติทนไม่ได้ ความจริงจึงปรากฏออกมาสู่สายตาสาธารณชน หรือการให้ความช่วยเหลือในการประกันตัวของคนเสื้อแดงคนแล้วคนเล่าให้พ้นคุก

“เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองจบ มีคนเสื้อแดงถูกจับ หลายคนไม่มีทนาย ผมก็สั่งให้คนไปช่วย ทำให้หลายคนได้ประกันตัวออกมา ออกมาก็ด่าผม คนที่สนับสนุนก็ด่าผมว่าปล่อยออกมาทำไม”นายอภิสิทธิ์รับสารภาพว่าให้การช่วยเหลือคนเสื้อแดงจริงในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.54

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ก็จะพบความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากแห่งความหลอกลวงหลายประการ

เพราะต้องไม่ลืมว่า ภายหลังเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ภายหลังม็อบแดงเก็บผ้าเก็บผ่อนกลับบ้าน สถานการณ์ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ในขณะนั้นอยู่ในสภาพที่เป็นต่อ คะแนนนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะคนเห็นถึงพฤติกรรมที่โหดร้ายของคนเสื้อแดงในการเผาบ้านเผาเมือง แต่แทนที่นายอภิสิทธิ์จะขยายผลและสร้างความเข้าใจให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ นายอภิสิทธิ์กลับเลือกที่จะเดินเกมปรองแดงเหมือนเดิม

ประหนึ่งนายอภิสิทธิ์คาดหวังว่าจะเป็น “คนดี” ในสายตาของคนเสื้อแดง นายอภิสิทธิ์คาดหวังว่าจะเป็น “คนดี” ในสายตาของนานาชาติ โดยมิได้คำนึงถึง “ระบบนิติรัฐ” แต่อย่างใด

ด้วยเหตุดังกล่าวนี่กระมังจึงทำให้ความรับรู้และความเข้าใจของประชาชนที่มีต่อคนเสื้อแดงเปลี่ยนแปลงไป เพราะรัฐบาลทำประหนึ่งว่า คนเหล่านี้เป็นประชาชนที่ทำผิดกฎหมายธรรมดาๆ มิใช่ผู้ก่อการร้ายที่เผาบ้านเผาเมือง ขณะที่บรรดาแกนนำคนเสื้อแดงก็นำไปขยายผลว่า เหตุที่รัฐบาลให้ประกันตัวเพราะจำนนต่อหลักฐาน คนเสื้อแดงไม่ได้เผาบ้านเผาเมือง

ความหน่อมแน้มในการทำแผนปรองดอง ในการสนับสนุนการให้ประกันตัวแกนนำแดงได้กลายเป็นแต้มต่อหรือข้ออ้างให้แก่คนเสื้อแดง

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ในขณะที่สังคมกำลังมะรุมมะตุ้มเรื่องความปรองดองกันอยู่ จู่ๆ ก็มีข่าวที่ทำเอาสั่นสะเทือนกันอีกรอบเมื่อมีข่าวเล็ดลอดออกมาจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษร่วมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ศึกษาความเป็นไปได้ในการ “นิรโทษกรรม” ให้แก่ขบวนการก่อการร้ายเสื้อแดง

และสิ่งที่ตอกย้ำความผิดพลาดที่ชัดเจนที่สุดคือ การปล่อยตัว 7 แกนนำคนเสื้อแดง และ 1 แนวร่วม จำเลยในคดีก่อการร้าย ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายนิสิต สินธุไพร นายขวัญชัย ไพรพนา นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และนายภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง โดยพยานคนสำคัญล้วนแล้วแต่เป็นคนในอาณัติของรัฐบาลทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการกองบัญชาการตำรวจนครบาล 1 หรือผู้การแต้ม ไม่ว่าจะเป็นนายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากนายอภิสิทธิ์ ที่มีความเห็นชัดเจนว่าหากคนเหล่านี้ได้รับการปล่อยตัวให้ออกมาสู้คดีนอกคุกน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความปรองดองในประเทศ

แถมดีเอสไอที่เคยคัดค้านมาโดยตลอด แต่เที่ยวนี้กลับไม่มีปัญหา ดังนั้น จึงมิอาจมองเป็นอย่างอื่นได้ว่า รัฐบาลไฟเขียวกับการให้ประกันตัวในครั้งนี้

แต่การณ์กลับไม่เป็นไปตามที่ “มาร์คโพเดียม” วาดฝันเอาไว้ เพราะแทนที่หลังจากรัฐบาลเดินเกมยุทธศาสตร์ "ปรองแดง" แล้ว น่าจะทำให้บ้านเมืองสงบขึ้นเพื่อปูทางไปสู่การยุบสภาตามที่รัฐบาลได้โปรยยาหอมให้กับประชาชนที่หวังเห็นสถานการณ์บ้านเมืองกลับไปสู่ความสงบเรียบร้อย กลายเป็นว่า ภายหลังเมื่อวันที่แกนนำเสื้อแดงได้รับอิสรภาพพวกเขาได้ประกาศชัดว่าจะต่อสู้และแสดงออกทางการเมืองอย่างเต็มที่ หลายคนเริ่มออกมาเคลื่อนไหวร้อนแรงขึ้นทุกขณะ แถมยังวางปฏิทินล่วงหน้าไว้อย่างถี่ยิบ

เริ่มด้วยการเดินสายของ นายขวัญชัย ไพรพนา และ น.พ.เหวง โตจิราการ ที่ยังเหิมเกริมประกาศบนเวทีคนเสื้อแดง จังหวัดขอนแก่น ด้วยท่าทีแข็งกร้าวและปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดงให้เดินหน้าสู้ต่อไป โดยเฉพาะ น.พ.เหวง ประกาศภารกิจหลักของคนเสื้อแดงคือการโค่นล้มระบบอำมาตยาธิปไตยให้สิ้นไปจากแผ่นดินไทย เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงอย่างถาวร ขณะเดียวกันต้องนำฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชนในเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดงปีที่แล้วมาลงโทษให้จงได้

ต่อด้วย การจัดพิธีทำบุญที่วัดปทุมวนาราม ให้กับผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม จำนวน 91ศพ ซึ่งก็เหมือนเดิมโดยคนเสื้อแดงออกมาร่วมชุมนุมกว่า 2,000 คน โดยนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ยังได้สุมไฟแค้นให้กับคนเสื้อแดงไม่จบสิ้น ด้วยการฟื้นฝอยหาตะเข็บด้วยการโยนว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายล้มเลิกการเจรจา สุดท้ายจึงนำไปสู่การเสียชีวิตของคนเสื้อแดงจำนวนมาก ในวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

และที่เด็ดที่สุดก็คือ การเรียกระดมพลครั้งใหญ่เนื่องในวาระครบรอบ 1 ปีของการเคลื่อนไหว โดยกำหนดวันเวลาและสถานที่เอาไว้เสร็จสรรพ คือนัดชุมนุมกันที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 12 มีนาคม ซึ่งก็นับว่าเป็นโปรแกรมที่ถูกวางไว้อย่างเหมาะเจาะ เพราะจะเป็นช่วงที่พรรคเพื่อไทย ได้เปิดแผลรัฐบาลเสร็จสิ้นกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นสภาผู้แทนราษฎร ช่วงวันที่ 9-12 มีนาคม พอดิบพอดี

ต่อเนื่องด้วยการการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 10 เมษายนที่บริเวณสี่แยกคอกวัว และปิดท้ายด้วยการชุมนุมใหญ่ครบรอบ 1ปี เหตุการณ์ 19 พฤษภาคม ที่แยกราชประสงค์

ดังนั้น จึงสายเกินไปแล้วที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณจะมายืนปราศรัย “บีบน้ำตาจรกา” เรียกคะแนนสงสารที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะผู้ที่ทำให้ประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ก็คือตัวของประชาธิปัตย์เอง

**”ผมเลี้ยงไข้ขบวนการล้มเจ้า”

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์พยายาม “โหนเจ้า” เพื่อสร้างคะแนนเสียงให้กับตัวเองด้วยการประกาศว่า “ไม่เลือกเราแก๊งล้มเจ้ามาแน่” นั้น ถามว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้ดำเนินการอะไรบ้างกับเหล่ากออันชั่วร้ายของ “ขบวนการล้มเจ้า” บ้าง

นายอภิสิทธิ์เคยใช้อำนาจและสื่อที่อยู่ในมือกระทำการอันใดเพื่อปกป้องสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะของคนไทยทั้งชาติบ้างหรือไม่

ผลลัพธ์จากการที่นายอภิสิทธิ์ปล่อยปละละเลยในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้เกิดขึ้น พร้อมทั้งปล่อยให้แกนนำเสื้อแดงและนักการเมืองในเครือข่ายระบอบทักษิณสร้างเรื่องมอมเมาจนทำให้ประชาชน “หลงผิดเป็นชอบ” ได้นำไปสู่การก่อกำเนิดของ “หมู่บ้านเสื้อแดง” อันเป็นปฐมบทของรัฐไทยใหม่ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติและ “สถาบัน” อย่างมีนัยสำคัญ

และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ เป็นหมู่บ้านที่ก่อกำเนิดในยุคที่ไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

แต่ที่หนักไปกว่านั้นก็คือ ในยุคที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีได้ทำให้เหล่ากอของขบวนการล้มเจ้าขยายตัวอย่างหนักจน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี คงไม่ประทานสัมภาษณ์พิเศษนายวุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรผู้ดำเนินรายการ “วู้ดดี้เกิดมาคุย” ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายนว่า....

“อยากให้ทูลกระหม่อมพ่อได้รับความเป็นยุติธรรมที่ท่านควรจะได้รับ รวมทั้งสมเด็จแม่ด้วย ท่านทรงตรากตรำเหลือเกินจริงๆ อยาก แต่ยังไม่กล้าขอ อยากขอเวลาทีวี วันละ 10 นาที หลังข่าว อยากจะฉายหนังสั้นพระราชกรณียกิจว่า พระองค์นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีทรงทำอะไรบ้าง สงสารท่านเถอะ”

และมีพระดำรัสซ้ำอีกครั้งเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ในการเสด็จทรงเยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ซึ่งไปตรวจสุขภาพและรักษาโรคแก่ราษฎรที่โรงเรียนชุมชนบ้านสร้างค้อ หมู่ที่ 12 ต.สร้างค้อ อ.ภูพาน จ.สกลนคร ว่า “ใครไม่รักพระองค์ก็น่าแปลก เพราะพระองค์ท่านทำงาน 60 ปี ทรงตรากตรำ พร้อมทั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ดูทุกเรื่องทั้งศิลปาชีพ การค้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯต่างจังหวัดไม่หยุด เวลานี้พระกำลังถดถอย ธันวาคมนี้ก็มีพระชนมพรรษา 84 พรรษาแล้ว”

นี่คือความจริงที่พรรคประชาธิปัตย์มิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

ดังนั้น การตัดสินใจกากบาทให้พรรคประชาธิปัตย์จึงมิได้เป็นหลักรับประกันใดๆ ได้ว่า ความวุ่นวายในบ้านในเมืองจากฝีมือของคนเสื้อแดงจะไม่เกิดขึ้น ยิ่งถ้าพรรคประชาธิปัตย์เข้าป้ายมาเป็นอันดับ 2 และใช้อำนาจสีเขียวบีบบังคับให้พรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็กเข้าร่วมด้วยแล้ว บ้านเมืองก็จะยิ่งวุ่นวายและเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองก็จะกลับมาอีกครั้ง

ดังนั้น การตัดสินใจกากบาทให้พรรคประชาธิปัตย์จึงมิได้เป็นหลักรับประกันใดๆ ได้ว่า ขบวนการล้มเจ้าจะไม่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญอีกต่อไป

ด้วยเหตุดังกล่าว การเปิดปราศรัยใหญ่ของนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ที่แยกราชประสงค์จึงไม่ต่างอะไรกับใบเสร็จหรือ “คำสารภาพ” ให้เห็นถึงความผิดพลาดของตัวเองในอดีตที่ชัดแจ้งและชัดเจนที่สุดจนมิอาจตัดสินใจมอบความไว้วางใจในการบริหารประเทศได้อีกต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น